ตอนที่ 222-2 พูดคุยเปิดอก

ชายาเคียงหทัย

เมื่อมีสูตรยาที่บัณฑิตขี้โรคให้มา การปรุงยาของเสิ่นหยางกับท่านหมอหลินย่อมเบาแรงไปกว่าครึ่ง แน่นอนว่าก่อนอื่นสิ่งที่เสิ่นหยางกับท่านหมอหลินต้องทำ นั่นคือการพิสูจน์ให้แน่ใจว่าสูตรยาที่บัณฑิตขี้โรคให้มานั้น เป็นสูตรยาโบราณที่สืบทอดมาจากเมื่อหนึ่งพันปีก่อนจริงๆ ทั้งสองใช้วิธีการต่างๆ และความรู้ในการปรุงยาที่พวกตนรู้ทั้งหมด ทำให้มั่นใจว่าสูตรยานี้เป็นของจริงหรือของปลอม และเมื่อปรุงยาออกมาแล้ว สุดท้ายจะให้ออกฤทธิ์เช่นไร

พวกเขาใช้เวลาครึ่งเดือนเต็มๆ กว่าจะปรุงยาเม็ดที่ทำจากดอกปี้ลั่วเพียงดอกเดียวที่เหลืออยู่ในใต้หล้านี้ออกมาได้ในที่สุด แล้วนำส่งไปให้เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยา

ตัวดอกปี้ลั่วถือว่าไม่เล็กนัก ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับตัวยาอันล้ำค่าสารพัดชนิด จึงยิ่งทำให้มีปริมาณมากเสียยิ่งกว่ามาก แต่สุดท้ายเมื่อทำออกมาเป็นตัวยาแล้ว กลับเหลืออยู่เพียงห้าเม็ดเท่านั้น และหากมั่นใจแล้วว่าดอกปี้ลั่วได้สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้แล้วจริงๆ เช่นนั้นยาทั้งห้าเม็ดตรงหน้านี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นยาห้าเม็ดสุดท้ายในโลกนี้แล้ว

เมื่อได้เห็นยาเม็ดสีน้ำตาลเข้มที่มีกลิ่นหอมเตะจมูกตรงหน้านี้แล้ว ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างมีสีหน้ายินดีโดยไม่รู้ตัว

เสิ่นหยางยิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า “ท่านอ๋องลองกินดูสักหนึ่งเม็ดก่อนก็ได้ สามวันให้หลังค่อยกินอีกเม็ดหนึ่ง พิษภายในกายท่านก็จะถูกถอนออกไปจนหมด ส่วนเจ้าหนุ่มขี้โรคนั่น ร่างกายเขายังรับไม่ไหว ครั้งหนึ่งจะกินยาได้เพียงหนึ่งในสี่ส่วนเท่านั้น ใช้น้ำละลายก่อนค่อยกิน และกินหนึ่งครั้งทุกๆ ห้าวัน ใช้เพียงเม็ดเดียวก็เพียงพอแล้ว จากนั้นก็แค่ต้องหาหมอดีๆ สักคนคอยปรับสมดุลร่างกายให้ดีเป็นใช้ได้”

บัณฑิตขี้โรคมองเขาด้วยสายตาเรียบเย็น “ทำยาออกมาทั้งหมดห้าเม็ด แต่จะให้ข้าแค่เม็ดเดียว?”

ท่านหมอหลินส่งเสียงหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “พวกเราต้องการใช้แค่สองเม็ด ให้ที่เหลือเจ้าไปหมดเลยไหมเล่า แล้วเจ้าก็ลองกินตามท่านอ๋องครั้งละหนึ่งเม็ดดู? ร่างกายตัวเองอ่อนแอ แล้วยังมาโทษว่าหมอให้ยาเบาอย่างนั้นหรือ” ซึ่งเป็นการบอกอย่างชัดเจนว่า ร่างกายของบัณฑิตขี้โรคนั้นอ่อนแอเกินไปจึงใช้ยาแรงเกินไปไม่ได้ ยาที่ให้นั้นเห็นผลชงัดและรวดเร็วนัก แต่เป็นร่างกายของบัณฑิตขี้โรคเองที่รับไม่ไหว

หลิงเถี่ยหานยื่นมือไปตบไหล่บัณฑิตขี้โรค พร้อมเก็บขวดยาที่เสิ่นหยางส่งมาให้แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ขอบคุณท่านเสิ่นและท่านหมอหลินมาก ลำบากท่านทั้งสองแล้ว”

สีหน้าของท่านหมอทั้งสองจึงค่อยดีขึ้นมาเล็กน้อย

ท่านหมอหลินโยนสูตรยาให้สองแผ่นพร้อมเอ่ยว่า “ลองใช้ตามใบยาทั้งสองแผ่นนี้ดู ดูแลให้ดีสักปีครึ่งก็น่าจะใช้ได้แล้ว ยามปกติต้องคอยพักผ่อนให้ดี พักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ มิเช่นนี้ อาจจะเหลือโรคเรื้อรังไว้ได้”

หลิงเถี่ยหานเก็บใบยาทั้งสองแผ่นนั้นไว้อย่างดี รู้สึกขอบคุณท่านหมอหลินเป็นอย่างมาก ส่วนบัณฑิตขี้โรคถึงแม้จะมิได้พูดอันใด แต่เมื่อได้ยินที่ท่านหมอหลินพูด ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ยาที่ท่านหมอเทวดาทั้งสองเป็นคนปรุงขึ้น ช่างให้ผลที่วิเศษยิ่งนัก ม่อซิวเหยากินเข้าไปเพียงเม็ดเดียว พิษในกายก็หายไปกว่าครึ่ง สีหน้าก็ดูมิได้ขาวซีดเช่นแต่ก่อนอีก แม้แต่อุณหภูมิของร่างกายที่ปกติมักจะติดไปทางเย็น ก็กลับมาเป็นปกติขึ้นบ้าง เชื่อว่าหากพิษถูกขจัดออกไปหมดแล้ว และคอยบำรุงให้ดีอีกสักปี สุขภาพของม่อซิวเหยาก็คงกลับมาสมบูรณ์แข็งแรงเช่นเดิม

เพียงแต่ ตั้งแต่ที่พิษเริ่มถูกขจัดออกไป ขาของม่อซิวเหยาที่กลับมาเป็นปกติได้กว่าหนึ่งปี ก็เริ่มมีอาการเจ็บขึ้นมา ซึ่งทำให้เยี่ยหลีต้องลากตัวม่อซิวเหยาไปให้เสิ่นหยางตรวจดูอาการอีกครั้ง

เสิ่นหยางดูจะไม่แปลกใจกับอาการของเขา เขายกมือลูบหนวดที่เงางามของตนแล้วเอ่ยว่า “เมื่อปีก่อนข้าเคยพูดไว้แล้วว่า ที่ท่านอ๋องสามารถเดินเหินไปเป็นปกตินั้น ด้วยเพราะหญ้าเฟิ่งเหว่ย หญ้าเฟิ่งเหว่ยมีพิษร้อนที่รุนแรง ซึ่งสามารถปราบพิษเย็นของพิษถันหานได้ และก็ด้วยเพราะพิษร้อนของมัน ที่ทำให้ชีพจรขาทั้งสองข้างที่เคยอุดตันเพราะได้รับบาดเจ็บหนักของท่านอ๋อง ทะลุไปได้ชั่วคราว ยามนี้เมื่อพิษในกายท่านอ๋องถูกถอนออกไปแล้ว อาการบาดเจ็บที่ขาก็ย่อมกลับมาอีกครั้ง”

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “หรือว่าเมื่อพิษในกายท่านอ๋องถูกขจัดออกไปจนหมดแล้ว ท่านอ๋องก็จะกลับมาเดินไม่สะดวกอีกอย่างนั้นหรือ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ม่อซิวเหยาก็ยื่นมือมาจับมือขวาของเยี่ยหลีไว้แน่น

เยี่ยหลีจึงหันไปยิ้มน้อยๆ ให้เขา

เสิ่นหยางเอ่ยว่า “คงไม่ถึงกับเป็นเช่นนั้น เดิมทีพิษร้อนของหญ้าเฟิ่งเหว่ยก็เข้าไปจัดการกับบริเวณขาของท่านอ๋องแล้ว อย่างไรก็ยังออกฤทธิ์ให้ชีพจรที่เคยอุดตันให้ไหลลื่นขึ้นได้บ้างไม่มากก็น้อย เพียงแต่เดิมทีท่านอ๋องบาดเจ็บหนัก ทั้งยังเป็นอาการบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน จะไม่ให้เหลือผลข้างเคียงไว้เลยได้อย่างไร ยามนี้แค่เพียงเพราะเพิ่งถอนพิษออกไปจึงยังไม่คุ้นชินเท่านั้น ไว้รอให้พิษในกายท่านอ๋องถูกขจัดออกไปจนหมดเสียก่อน แล้วข้าค่อยให้ยาที่รักษาอาการบาดเจ็บเก่าอีกที ต่อไปก็น่าจะมีอาการขึ้นมาช่วงที่อากาศอึมครึมหรือมีฝนตกเท่านั้น คนจำนวนไม่น้อยที่มีอาการเช่นนี้ มิใช่เรื่องใหญ่อันใด”

เมื่อได้ยินเสิ่นหยางพูดเช่นนี้ เยี่ยหลีถึงค่อยวางใจลง เพราะถึงอย่างไรแม้แต่บาดแผลภายนอกที่สาหัสๆ ของเมื่อชาติที่แล้ว ถึงแม้จะได้รับการรักษามาเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะหายเป็นปลิดทิ้งจนไม่เหลือร่องรอยอันใดไว้เลย อีกอย่าง บาดแผลของม่อซิวเหยาก็ผ่านมาสิบปีแล้ว หากขาจะปวดขึ้นมายามฟ้าครึ้มหรือฝนตก แค่นั้นก็ถือว่าเป็นผลที่ไม่เลวมากๆ แล้ว

เยี่ยหลีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ลำบากท่านเสิ่นแล้ว”

เสิ่นหยางเก็บของไปพลาง เอ่ยยิ้มๆ ไปพลางว่า “พระชายาไม่ต้องเกรงใจไป ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ ท่านอ๋องก็ถือว่าหายดีแล้ว ข้าน้อยเองก็ได้ตัดเรื่องในใจออกไปได้เรื่องหนึ่งเช่นกัน”

เยี่ยหลีเองก็รู้ดีว่า ที่หลายปีนี้ เสิ่นหยางอยู่แต่ในตำหนักติ้งอ๋องไม่ออกไปที่ใดนั้น ก็ด้วยเพราะอาการป่วยของม่อซิวเหยา และความสัมพันธ์ระหว่างเสิ่นหยางกับม่อหลิวฟางตั้งแต่สมัยนั้น ณ ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำขอบคุณกันให้มากความอีก หลายปีมานี้สิ่งที่เสิ่นหยางทุ่มเทให้กับม่อซิวเหยาและตำหนักติ้งอ๋อง แค่เพียงคำพูดขอบคุณนั้น คงจะไม่จำเป็นอีกแล้ว

คนสนิทของตำหนักติ้งอ๋องทั้งหลายต่างลอบยินดีที่สุขภาพของท่านอ๋องจะกลับมาสมบูรณ์แข็งแรงอีกครั้ง

ทั่วทั้งซีเป่ยเริ่มเกิดคลื่นใต้น้ำขึ้น เมื่อร่องรอยการเดินทางของถานจี้จือและข่าวแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นที่ไม่รู้มาจากที่ใดและเริ่มแพร่งพรายออกไปตั้งแต่เมื่อใดกระจายออกไปทั่ว ถึงแม้ภายนอกทั่วทั้งเขตซีเป่ยจะยังคงดูสงบนิ่ง แต่ลึกๆ แล้วกลับไม่รู้ว่ามีสักกี่คนที่ลอบต่อสู้กันอย่างลับๆ หนึ่งในนั้นคนที่โชคร้ายที่สุด คงเป็นผู้ใดไปไม่ได้ นอกจากถานจี้จือ

เดิมทีถานจี้จือต้องการมาซีเป่ยเพื่อรับตัวซูม่านหลินกลับไปและแค่เพียงต้องการหาเรื่องปวดหัวให้ม่อซิวเหยาเท่านั้น ผู้ใดเลยจะรู้ว่าตั้งแต่เข้าเขตซีเป่ยมา กลับมีแต่เรื่องไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน เริ่มจากไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี ซึ่งนั่นยังไม่เท่าไร แต่หลังจากนั้นร่องรอยการเดินทางและฐานะของเขา จู่ๆ ก็ถูกเปิดเผยให้คนทั้งใต้หล้าได้รับรู้ ดังนั้นทุกวันนี้แค่เพียงต้องรับมือกับคนจากทั่วทุกสารทิศที่ต้องการเข้ามาถามเรื่องที่อยู่ของแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นและทรัพย์สมบัติ เขาก็วุ่นวายจนแทบไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้ว จะมีกระจิตกระใจไปหาเรื่องให้ม่อซิวเหยาเมื่อใดกัน

ถานจี้จือเองก็รู้ดีว่าที่ตนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นทุกวันนี้ ต้องมีตำหนักติ้งอ๋องคอยซัดคลื่นอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน แต่เขาเองที่เป็นคนเริ่มเล่นนอกกฎก่อน ปล่อยข่าวว่าแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นอยู่ในมือตำหนักติ้งอ๋อง ยามนี้เมื่อตนถูกเล่นงานเข้าบ้างจึงไม่มีหน้าไปกล่าวโทษตำหนักติ้งอ๋องที่โยนหินใส่คนที่ตกลงไปอยู่ในบ่อ

กลางดึกคืนหนึ่ง ถานจี้จือมองคนในชุดดำที่ปิดทางเขาไว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่รู้ว่าทุกท่านเป็นสหายจากที่ใด ไม่รู้ว่าข้าน้อยเคยทำอันใดล่วงเกินไว้หรือ”

คนในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเอ่ยเสียงเย็นว่า “ถานจี้จือ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเป็นไขสือ ส่งที่อยู่ของแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นกับสมบัติลับมาดีๆ เถิด แล้วพวกเราจะไว้ชีวิตเจ้า!”

ถานจี้จือหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “พวกเจ้ามิใช่คนกลุ่มแรกที่มาถามหาสมบัติกับข้า และก็คงมิใช่กลุ่มสุดท้าย ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าไปได้ยินเรื่องแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นมาจากที่ใด ข้ามีเพียงสองคำที่จะให้เท่านั้น ไม่มี!”

คนในชุดดำหัวเราะเสียงเย็น “หลินย่วน บุตรกำพร้าจากราชวงศ์ก่อน หากข้ามิได้สืบเรื่องฐานะของเจ้ามาโดยละเอียด แล้วพวกข้าจะมาที่นี่ได้อย่างไร เจ้าส่งที่อยู่สมบัติออกมาให้ดีๆ เถิด มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้าไร้มารยาท”

ถานจี้จือหลับตาลงด้วยความรำคาญใจ พลางประเมินคนในชุดดำที่ล้อมตนอยู่ หลายวันนี้เขาถูกคนพวกนี้ตามรังควานเสียจนเฉยชาไปหมดแล้ว ฐานะที่เขาเป็นบุตรกำพร้าจากราชวงศ์ก่อน ทำให้ข่าวที่ว่าเขารู้ถึงที่อยู่ของสมบัติลับฟังดูเป็นไปได้ขึ้นมากทีเดียว

เป็นถานจี้จือเองที่ไม่รู้จะพูดความขมขื่นในใจตนออกไปอย่างไร หากเขารู้ที่อยู่ของสมบัติลับ ก็คงไม่ต้องระหกระเหินอยู่ในซีเป่ยเช่นนี้หรอก

คนสามสี่กลุ่มก่อนหน้านี้ถูกเขาสังหารจนล่าถอยกันไปหมดแล้ว แต่ยามนี้เขาอยู่ตัวคนเดียว กลุ่มคนชุดดำตรงหน้าที่ล้อมเขาไว้อยู่นี้ มิใช่ว่าเขาจะสามารถรับมือด้วยตัวคนเดียวได้

เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว ถานจี้จือจึงเอ่ยปากว่า “อยากรู้ที่อยู่ของสมบัติลับ ได้ แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อพวกเจ้าได้แผนที่สมบัติลับไปแล้ว จะไม่ฆ่าข้าปิดปาก”

คนในชุดดำหัวเราะหึหึ “เรื่องนี้ถานจี้จือวางใจเถิด พวกข้าเพียงต้องการทรัพย์สินเงินทอง มิได้หมายเอาชีวิต หากคุณชายถานมอบที่อยู่ของสมบัติลับออกมา ก็สามารถไปได้ทันที”

ถานจี้จือเลิกคิ้วขึ้น “หากสิ่งที่ข้ามอบให้เป็นของปลอมเล่า”

“ก็นอกเสียจากว่าคุณชายถานคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่พบหน้าผู้คนอีก ใต้หล้าถึงแม้จะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ที่ที่จะให้คนเช่นคุณชายถานหลบซ่อนตัวได้นั้นคงมีไม่มากนัก”

ถานจี้จือพยักหน้า “ดี ข้าให้เจ้า!” พูดจบ เขาก็ยกแขนเสื้อขึ้นหยิบกระดาษแผนที่ชุดหนึ่งออกมาโยนให้

คนในชุดดำยื่นมือไปรับมา เมื่อเปิดออกดูก็เห็นว่าเป็นแผนที่ที่มีการทำสัญลักษณ์พิเศษไว้จริงๆ

“ข้าน้อยเชื่อใจคุณชายถาน ขอตัวก่อน” เขาโบกมือ แล้วก็พาคนในชุดดำกลุ่มนั้นถอยไปเงียบๆ ทันที

ถานจี้จือยืนอยู่บนพื้นโล่งๆ แววตาเป็นประกายเย็นวาบ เอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ ว่า “ในเมื่อให้แผนที่สมบัติลับไปแล้วชุดหนึ่ง จะให้อีกสักสองสามชุดก็คงไม่เป็นไรแล้วกระมัง จริงหรือไม่”