ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 296 คนก่อน

จอมศาสตราพลิกดารา

หลี่มู่วางอำนาจบาตรใหญ่ยิ่ง ลงมืออีกครั้งอย่างไม่คิดจะใช้เหตุผล

เขาก้าวย่างตรงไปหาหวงเหวินหย่วน ทุกก้าวที่ย่ำลงดุจทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ราวกับทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์สั่นไหวตามจังหวะก้าวของเขา นี่เป็นพลังอำนาจที่น่าอัศจรรย์ถึงที่สุด มีเพียงยอดยุทธ์ที่แท้จริงจึงจะสามารถรู้สึกถึงได้

หวงเหวินหย่วนโมโหจนแทบคลั่งอยู่แล้ว

ข้ออ้างต่างๆ ที่เขาเตรียมเอาไว้ไม่ได้นำออกมาใช้เลย เดิมทีคิดจะทำให้หลี่มู่ต้องอับอายขายขี้หน้า จากนั้นค่อยสังหารทิ้ง ไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะเกินการควบคุมและเหนือคาดไปโดยสิ้นเชิง มิหนำซ้ำกลับกลายเป็นตัวเขาและองครักษ์ที่ถูกหลี่มู่ทำให้อัปยศ

“ข้าจะฆ่าเจ้า”

เมื่อเห็นแขนขาขององครักษ์ชราผมขาวหน้าบากถูกมือปราบของที่ว่าการหั่นเสียจนเละเทะ หวงเหวินหย่วนโมโหเดือดดาล

ปราณแท้ทั้งร่างของเขาหมุนวน พลังความมือเอ่อล้นออกจากใต้เท้าอย่างกะทันหัน

บนพื้นดิน จู่ๆ ปรากฏแท่งหินแทงทะลุพื้นขึ้นมาหลายแท่งราวกับดาบเหล็ก ก่อนพุ่งแทงไปทางหลี่มู่

พสุธาทิ่มแทง!

“ฝีมืออ่อนหัด”

หลี่มู่ร้องเฮอะ ไม่แม้แต่จะมอง กระทืบเท้าข้างหนึ่งเหยียบแท่งหินพสุธาทิ่มแทงจนสลายกลายเป็นผง

“อะไรกัน?”

หวงเหวินหย่วนหน้าเปลี่ยนสี

เขาที่เข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์ พลังลำดับที่หนึ่งที่เขาฝึกฝนใน ‘ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง’ ไม่เหมือนกับของขั้นเหนือมนุษย์ทั่วไป ไม่ใช่พลังไตซึ่งเก็บสารสำคัญ แต่เป็นพลังจากส่วนม้าม

ที่เรียกว่าม้ามเก็บความคิด สิ่งที่ได้มาภายหลังคือความคิดคาดคะเน สิ่งที่ฟ้าประทานมาคือความเชื่อ เอาชนะความอยาก ความคิดจึงก่อรูปร่าง พลังธาตุดินศูนย์กลางหวนคืนเป็นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ปราณแท้ธาตุดินจึงเสถียรและทรงพลังที่สุด พลังโจมตีระดับพระกาฬ ไม่อาจป้องกันได้ทัน การป้องกันนี้ถือเป็นที่หนึ่งในระดับเดียวกัน เพียงแค่กระทืบเท้าลงพื้น เขาก็อยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีทางแพ้ใคร นอกเสียจากพลังฝึกอีกฝ่ายจะเหนือกว่า

หินพสุธาภายใต้การควบคุมของเขาเหล่านั้นประดุจอาวุธเทพ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์ หากป้องกันไม่ทัน ฝ่าเท้าก็ถูกแทงทะลุได้ ทว่าหลี่มู่กระทืบเท้าก็ราวกระทืบดินโคลนเท่านั้น…หรือว่าเขาสวมรองเท้าเหล็กที่เป็นสมบัติเวทอยู่กัน?

“ตายซะ”

ปราณแท้ฟ้าประทานสีส้มเหลืองไหววนทั่วร่างหวงเหวินหย่วน เขากระทืบเท้าเหยียบลงพื้นดินอีกครั้ง

ปึงๆๆ!

หินพสุธากว่าสิบแท่งดั่งดาบหอก เปล่งแสงเย็นเยียบ ดีดขึ้นมาอีกครั้งที่ใต้เท้าของหลี่มู่

ขณะเดียวกัน หน้าหลังซ้ายขวารอบตัวหลี่มู่ล้วนมีหินพสุธาทิ่มแทงขึ้นมา กลายเป็นดาบ หอก กระบี่ ง้าว ขวาน ขวานวงพระจันทร์ ตะขอ ฉมวก และลูกธนู แน่นขนัดราวฝูงตั๊กแตนบิน แหวกผ่าอากาศพุ่งตรงเข้าหาหลี่มู่ เพียงพริบตาก็ปกคลุมร่างของหลี่มู่จนมิด

กลวิชาของขั้นเหนือมนุษย์ช่างน่ากลัวจริงๆ

เคร้งๆๆ

รอบตัวของหลี่มู่ แสงกระบี่สว่างวาบหลายเส้น

ดาบบินทั้งยี่สิบสี่เล่มล้อมรอบตัวหลี่มู่อย่างรวดเร็วราวดาวหาง ทำลายทุกอย่างที่เข้าใกล้รอบตัวเขาในระยะสามฉื่อจนป่นเป็นผุยผง

หลังจากได้สังเกตศึกษาขั้นเหนือมนุษย์สูงสุดสามคนในครั้งนั้น การใช้งานพลังในตอนนี้ของหลี่มู่ถือว่าอยู่ในขั้นสูงสุดแล้ว ระดับความยอดเยี่ยมแทบไม่แตกต่างจากขั้นเหนือมนุษย์สูงสุดเท่าใด เมื่อดาบเหินหาวอยู่ในมือของหลี่มู่ ยามนี้พูดได้เลยว่าถึงขีดสุดในด้านกลวิธีแล้ว

ประกายดาบราวกับสายฟ้า จุดที่วูบวาบล้วนกลายเป็นผงด้วยคมดาบ

หินพสุธาทิ่มแทงเหล่านั้น ไม่ว่าจะกลายเป็นรูปร่างอะไร ไม่ว่าบ้าคลั่งสักเพียงไหน ต่างก็ไม่อาจเข้าใกล้ตัวหลี่มู่ได้เลย

หลี่มู่ก้าวยาวเข้ามา แสงดาบพันล้อมรอบตัว ประหนึ่งเทพสงครามก็มิปาน

เพียงพริบตา สรรพอาวุธหินกล้าเต็มท้องฟ้าก็ราวกับควันไฟที่ถูกลมพัด สลายหายไปกลางอากาศ

“สังหาร!”

สายตาของหลี่มู่ดั่งสายฟ้า ดาบถลาลมทั้งยี่สิบสี่เล่มพลันแยกออกมาครึ่งหนึ่งแล้วพุ่งเข้าไปฟาดฟันหวงเหวินหย่วน

“ฮึ” หวงเหวินหย่วนเกิดโทสะขึ้นฉับพลัน

เขาขับเคลื่อนพลังวิชา ก่อนเหยียบปลายเท้าลงเบาๆ กำแพงหินกล้าสีส้มอมเหลืองหลายชั้นพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินใต้เท้า ตั้งตระหง่านบดบังอยู่ด้านหน้าเขา ราวกับกำแพงโล่คุ้มกันอย่างไรอย่างนั้น

มุมปากของหลี่มู่ปรากฏรอยยิ้มเย็นชา

“แย่แล้ว ทานไม่ไหวแน่…เหวินหย่วน รีบหลบไป” ผู้อาวุโสหลิวฉงที่อยู่อีกด้านรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที กระบี่ยาวกลางหลังเขากลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง พุ่งไปฟันดาบถลาลมทั้งสิบสอง ขณะเดียวกัน เขาใช้ท่าร่างตรงเข้าไปหาหวงเหวินหย่วนด้วยความเร็วดุจสายฟ้า แล้วผลักให้กระเด็นออกไป

ในพริบตานี้เอง กำแพงหินเบื้องหน้าแตกทลาย แสงสีเงินแล่นผ่านมา หัวไหล่ของเขารู้สึกชาทันใด

พลังจากแรงเฉื่อยมหาศาลหอบเข้ามา ซัดร่างของหลิวฉงกระเด็นถอยไปด้านหลัง

ยังดีที่เขามีประสบการณ์มาโชกโชน เมื่อพลังฟ้าดินหมุนโคจร พริบตาก็สามารถควบคุมร่างของตนเองให้นิ่งลงได้ เมื่อก้มลงมอง ก็พบว่ามีรูเลือดทะลุหน้าหลังปรากฏขึ้นที่หัวไหล่ เป็นแผลที่ถูกดาบบินของหลี่มู่แทงนั่นเอง

เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ

ตนเองเป็นถึงขั้นเหนือมนุษย์สูงสุดก้าวที่สี่ แต่กลับต้านทานดาบบินนี่ไม่ได้หรือ?

ปราณแท้คุ้มกาย สี่พลังธาตุผสมผสาน กลับต้านดาบบินนี้ไม่ได้?

ศัตรูเป็นแค่ขั้นฟ้าประทานรุ่นหลัง แต่ขั้นเหนือมนุษย์กลับไม่สามารถสัมผัสดาบบินของเด็กหนุ่มได้เลย

ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน ยิ่งปรากฏแววไม่อยากเชื่อมากขึ้นไปอีก

เพราะหวงเหวินหย่วนที่เมื่อครู่ถูกเขาผลักออกจากวิถีของดาบบิน และน่าจะหลีกพ้นจากการโจมตีครั้งนี้ไปได้แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร กลับถูกหลี่มู่บีบคอหิ้วไว้ราวกับหิ้วคอลูกเจี๊ยบเสียอย่างนั้น

ตอนนี้เอง หลี่มู่เผยสีหน้าเย้ยหยัน จ้องมาที่ตนเองอย่างหยามหยัน

“เจ้า…” หลิวฉงอ้าปากค้าง แต่พูดอะไรไม่ออก

เขาไม่อยากเชื่อว่าหลี่มู่จะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้

ภายใต้การคุ้มครองของขั้นเหนือมนุษย์ก้าวที่สี่ จอมยุทธ์ขั้นฟ้าประทานคนหนึ่งจับกุมขั้นเหนือมนุษย์ก้าวที่หนึ่งได้ และยังทำร้ายขั้นเหนือมนุษย์ก้าวสี่คนนั้นบาดเจ็บได้อีก?

เรื่องเช่นนี้เหมือนกับเด็กน้อยเพิ่งเกิดมาก็พูดได้ทันที เหลวไหลชัดๆ

ทว่า มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ตรงหน้า

บาดแผลบนไหล่ของหลิวฉงสมานอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ในอำเภอขาวพิสุทธิ์มีพลังฟ้าดินเข้มข้นเพียงนี้ พลังฟ้าดินที่หลิวฉงเหนี่ยวนำได้มากมายมหาศาล การฟื้นฟูบาดแผลเช่นนี้แทบเป็นเรื่องเพียงหนึ่งความคิดเท่านั้น

“เจ้าทำได้อย่างไร?” เขายังคงคิดไม่ตก

จากรายงานก่อนหน้านี้ ก็ได้ยินมาว่าหลี่มู่สังหารองค์ชายสองไป แต่นั่นก็เพราะองค์ชายสองกรำศึกกับหลี่กังกระบี่ธุลีแดงและสวีเซิ่งหมัดเทพทลายฟ้าจนเสียพลังไปเยอะนัก ยิ่งไปกว่านั้นหลี่มู่ยังมีสมบัติวิเศษอยู่ในมือ ถึงได้สังหารเขาลงได้ วันนี้ หลิวฉงระมัดระวังอย่างมากแล้ว ตอนที่หลี่มู่รับมือกับองครักษ์ชราผมขาวหน้าบากก่อนหน้า เขาก็ไม่ได้ลงมือ เพียงแค่คอยสังเกตพลังที่แท้จริงของหลี่มู่ แต่ปัญหาคือยามนี้หลี่มู่ยังไม่ได้ใช้งานสมบัติของตน ก็ยังทำได้ถึงขนาดนี้แล้ว

หลี่มู่หัวเราะเหอะๆ ไม่พูดไม่จา

เขาไม่สนใจอะไรอีก มือข้างหนึ่งที่บีบคอหวงเหวินหย่วน ออกแรงลากฝ่ายตรงข้ามมาด้านหน้าศพผู้บริสุทธิ์ทั้งสิบหกศพเหมือนลากสุนัขขี้เรื้อน

“คุกเข่าลง แล้วขอขมา สารภาพบาปเสีย” หลี่มู่กดคอของเขาลง เพื่อให้คุกเข่าลงไป

หวงเหวินหย่วนบันดาลโทสะ ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง และเอ่ยขึ้นว่า “หลี่มู่ เจ้ามันรนหาที่ตาย กล้าทำให้ข้าต้องอับอายเช่นนี้…”

กร๊อบๆ

หลี่มู่เตะกระดูกหัวเข่าของหวงเหวินหย่วนจนหลุด จากนั้นออกแรงเหยียบขาที่กระดูกแตกลงกับพื้นหินด้านล่าง เลือดสดไหลนองออกมาราวน้ำพุ หวงเหวินหย่วนเจ็บปวดจนร้องโหยหวน เหงื่อเย็นไหลอาบ

“เจ้ากล้าสังหารข้าก็เอาเลย สังหารเลย ฮ่าๆๆ” หวงเหวินหย่วนแสยะยิ้ม จ้องมองหลี่มู่เขม็ง หน้าตาโหดเหี้ยมเหมือนหมาป่าขู่คำราม ทั้งหน้าเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันและความพยาบาท

หลี่มู่ไม่สนใจ กดศีรษะของเขาลงต่ำก่อนกล่าว “คำนับครั้งที่หนึ่ง”

ศีรษะของหวงเหวินหย่วนถูกกดลงลงไปกระแทกกับแผ่นหิน กระทั่งแผ่นหินแตกเป็นเสี่ยง เหมือนกับการปักหัวไชเท้าลงดินโคลน

“คำนับครั้งที่สอง”

หลี่มู่ดึงเส้นผมของอีกฝ่ายขึ้นมา จากนั้นกดลงไปอีกที

“อึก…หลี่มู่ เจ้า…นักรบสังหารได้ แต่อับอายไม่ได้ เจ้าสังหารข้าเสียเลยสิ ฮ่าๆๆ ข้าเป็นถึง…ปิดภูผา…อึก…” หวงเหวินหย่วนดิ้นรนสุดชีวิต ทว่าก็ยังถูกหลี่มู่จับศีรษะกดลงไปที่เศษหินดินโคลนอย่างแรงอีกครั้ง เขาที่อ้าปากออก ไม่รู้ว่ามีดินโคลนยัดเข้าไปตั้งเท่าไร

หลิวฉงที่อยู่อีกด้านสีหน้าเปลี่ยนไปมา

เขาหวาดหวั่นเพราะพลังแท้จริงที่หลี่มู่แสดงออกมา กำลังจับสังเกตแต่ยังไม่มั่นใจ ในขณะที่หวงเหวินหย่วนยังไม่อยู่ในเงื่อนไขที่อันตรายถึงชีวิต เขาจึงยังไม่รีบร้อนลงมือ

“คำนับครั้งที่สาม”

หลี่มู่กดศีรษะของหวงเหวินหย่วนลงไปเป็นครั้งที่สาม

เมื่อทำเสร็จสิ้น เขาก็หยุดชะงัก ราวกับคิดอะไรบางอย่างออก จากนั้นจึงบ่นกับตัวเอง “ไม่ถูก คำนับมันเป็นวิธีพูดในงานแต่ง นี่เป็นการขอขมา ดังนั้นต้องใช้คำว่าโขกศีรษะสิ…อืม ก่อนหน้านี้ข้าพูดผิดไป ไม่นับนะ ขอโทษด้วย รบกวนเจ้าเริ่มใหม่อีกครั้งก็แล้วกัน”

หวงเหวินหย่วนได้ยินก็สับสนมึนงง

ไอ้ที่ผิด มันผิดที่คำพูดของเจ้าไม่ใช่หรือ ทำไมต้องเริ่มใหม่อีกรอบกันเล่า

ทว่าหลี่มู่ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้อ้าปาก ออกแรงจับศีรษะกดลงไปในเศษหินดินโคลนอีกครั้ง ก่อนเอ่ยว่า “โขกศีรษะครั้งที่หนึ่ง เพื่อขอขมาแก่ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกเจ้าสังหารเหล่านี้”

“โขกศีรษะครั้งที่สอง”

“โขกศีรษะครั้งที่สาม”

หลังจบการโขกศีรษะ ใบหน้าของหวงเหวินหย่วนถูกเศษหินบาดข่วนจนไม่เหลือเค้าเดิม จมูกเขียวหน้าบวมแดง

“นายท่าน พอได้แล้ว” ในที่สุดหลิวฉงก็เอ่ยปาก พลิกมือจับกระบี่ลายสนที่ลอยอยู่กลางอากาศเอาไว้มั่น “พอแค่นี้เถิด อย่าได้เอาแต่เหตุผลจนไม่อ่อนข้อให้คนอื่น”

หลี่มู่มองไปทางเขา ตอบกลับว่า “ถ้าข้าไม่หยุดแค่นี้แล้วจะทำไม?”

“เจ้า…” หลิวฉงสูดลมหายใจลึก กล่าวต่อว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าใช้วิธีอะไรถึงทำเรื่องในวันนี้ได้ ต่อให้เจ้ามีพลังเทียบขั้นเทวะก็ไม่มีประโยชน์อะไร ข้าขอเตือนเจ้า รีบปล่อยคุณชายหวงลงดีกว่า เขาเป็นถึงหลานชายของรองเจ้าสำนักทุ่งปิดภูผาหวงเซิ่งอี้ เจ้าควรจะคิดให้ดี”

คำพูดนี้ราวกับฟ้าผ่า ทำเอาคนที่อยู่รอบๆ มึนศีรษะกันหมด

ทุ่งปิดภูผา?

นั่นมันสำนักเทพของจักรวรรดิ

สูงส่งเหนือใคร เป็นตัวตนราวขุนเขาเทพที่ทำได้เพียงแหงนหน้าขึ้นมอง

และรองเจ้าสำนักทุ่งปิดภูผา ในแผ่นดินใหญ่เสินโจวนี้ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่สูงส่งคนหนึ่ง

ความสำคัญระดับนี้ ไม่ต่ำต้อยกว่าคนในราชวงศ์เลย

หลานชายคนหนึ่งของรองเจ้าสำนัก ถือเป็นบุคคลระดับสั่นสะเทือนฟ้าได้เลยเชียว

ทันใดนั้น บรรดาญาติผู้ตายที่ร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดและก่นด่าสาปแช่งหวงเหวินหย่วนก่อนหน้านี้ล้วนหุบปากเงียบโดยจิตใต้สำนึก ผู้คนที่มาล้อมดูค่อยๆ ก้าวถอยไปอย่างควบคุมไม่ได้ กระทั่งเฝิงหยวนซิง หม่าจวินอู่ เจินเหมิ่ง รวมไปถึงเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง ในพริบตานี้ก็หน้าถอดสีกันหมด

เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?

หลานชายของรองเจ้าสำนักทุ่งปิดภูผา เรื่องนี้…พวกเฝิงหยวนซิงก็เคยเดาเอาไว้ ภูมิหลังของหวงเหวินหย่วนคนนี้จะต้องใหญ่โตพอสมควร แต่ไม่คิดว่าจะใหญ่โตถึงระดับนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว แรงโจมตีเช่นนี้…ไม่ต่างจากฟ้าถล่มลงมาเลย

รอบด้านเงียบเป็นเป่าสาก

กระทั่งองครักษ์ชราผมขาวหน้าบากยังเป็นลมสลบไปเพราะความเจ็บ

หวงเหวินหย่วนหัวเราะร่าเสียงดัง ในเสียงหัวเราะแฝงการถากถางและความอำมหิต หยิ่งทะนงอย่างไม่ปิดบัง “หลี่มู่ เจ้ารู้แล้วสินะ คนที่เจ้ามาหาเรื่องด้วยคือใคร? ต่อให้เจ้าคุกเข่าร้องขอชีวิตกับข้า ข้าก็จะไม่ละเว้นเจ้า”

เขาจ้องเขม็งไปที่หลี่มู่ อยากจะเห็นใบหน้าหวาดกลัวลนลานจนน้ำตาไหลของฝ่ายนั้น

ทว่า บนใบหน้าของหลี่มู่มีเพียงความไม่แยแส

เขาเอ่ยว่า “เช่นนั้นหรือ? ภูมิหลังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าคนที่ข้าสังหารไปคนก่อน เขามีนามว่าฉินฟ่าน”

หวงเหวินหย่วนตกตะลึง สีหน้าเปลี่ยนเป็นตกใจหวาดกลัวในที่สุด