ทั้งชีวิตนี้ของนาง สามารถติดค้างหนี้ชีวิตนับไม่ถ้วนได้ แต่มีเพียงสิ่งเดียวคือห้ามติดหนี้บุญคุณ เพราะหนี้บุญคุณเป็นสิ่งที่คนเช่นนางแบกรับเอาไว้ไม่ไหว ซูอี้คาดคะเนจากน้ำเสียงของนาง…
ขณะที่นางพูดว่าจะสังหารเขานั้นน้ำเสียงยืนกรานหนักแน่น ไร้ซึ่งความลังเลแม้สักครึ่งส่วน ชัดเจนยิ่งว่าไม่ได้เป็นการพูดล้อเล่น
แต่…ชดใช้บุญคุณ
เขาเองก็ไม่รู้ว่าชั่วขณะนั้นเขาเป็นอันใด กลับไปรับเคราะห์แทนหญิงสาวที่มีแผนการเช่นนี้อย่างประหลาด
“หึ…” ซูอี้ยันกายขึ้นเดินเข้าไปแล้วพลิกกายขึ้นหลังม้า หันไปมองหญิงสาวที่อยู่ข้างล่างยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง
ซื่อหรงมองมือของเขาแวบหนึ่ง แต่ไม่ยื่นมือรับ นางขึ้นหลังม้าด้วยตนเอง ยังคงนั่งอยู่ข้างหลังเขา
ซูอี้ไม่ได้หวดแส้ม้าออกจากตรอกไปทันที แต่หายใจเข้าลึกๆ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “เจ้าบอกเองว่าประตูเมืองถูกปิดไว้ทุกด้านแล้วมิใช่หรือ? ยามนี้ข้าไม่มีปัญญาจะต่อสู้กับใครแล้ว พวกเราจะไปอย่างไร?”
ซื่อหรงมองไปยังมุมกำแพงในมุมมืดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พูดเพียงว่า “มุ่งหน้าไปทางตรอกจูเชว่ทางทิศตะวันตกของเมือง”
ฟังคำพูดของนางแล้วดูเหมือนนางจะคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี
ในใจซูอี้ประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าไม่ได้พูดอันใด เพียงแต่ยักไหล่ “ข้าไม่คุ้นเคยกับเส้นทางที่นี่”
ซื่อหรงขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วยกมือขึ้นจับหัวไหล่ของเขาให้เบี่ยงตัวออกไป เมื่อซูอี้นั่งลงมั่นคงแล้วเขากลับได้นั่งอยู่ข้างหลังนางแทนเสียเอง
“นี่!” ซื่อหรงไม่ได้ให้โอกาสเขาตั้งตัว ควบม้าพุ่งโผนไปข้างหน้าทันที
ร่างของซูอี้โงนเงน รีบยื่นมือไปโอบเอวนางเอาไว้
เอวของหญิงสาวบอบบางยิ่งนัก เป็นความรู้สึกที่ดีงามไม่อาจบรรยายได้
แม้จะอยู่ในช่วงเวลาของความเป็นความตาย ทว่าซูอี้กลับอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้
หญิงสาวผู้นั้นราวกับไม่รู้สึกอันใด เพียงแต่ควบม้าไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ผู้ที่อาศัยอยู่ในละแวกตรอกจูเชว่นั้นล้วนเป็นผู้มีฐานะมั่งคั่ง ตรอกนี้มีระยะทางยาวไกล ซื่อหรงหวดแส้เร่งม้าเดินทางตลอด สุดท้ายมาสุดหยุดอยู่ที่ประตูที่สามของตรอกสุดท้าย
นางพลิกกายลงจากหลังม้า กลับไม่ได้เหลียวแลซูอี้แม้แต่น้อย และกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปด้านใน
ขณะที่ซูอี้ยังประหลาดใจไม่หายนางได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
ด้านในไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดใด ซูอี้จึงได้แต่ระแวดระวังป้องกันตัว เวลาผ่านไปราวๆ ประมาณหนึ่งก้านธูป ด้านในยังคงไร้ซึ่งเสียงและการเคลื่อนไหว ใจเขารู้สึกตุ๊มๆ ต่อมๆ ขณะที่กำลังลังเลว่าจะเข้าไปดูด้านในดีหรือไม่นั้น พลันได้ยินเสียงจากด้านในเป็นเสียงข้าวของแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ซูอี้ระมัดระวังตัวขึ้นทันที ถือกระบี่และลงจากหลังม้าไปแอบอยู่ด้านหลังประตู
ผ่านไปสักครู่ ประตูด้านข้างถึงเปิดออก หญิงสาวผู้นั้นนั่งรถม้าที่ประดับประดาอย่างหรูหราออกมา
ซูอี้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้วหน้าพลันดำคล้ำ “นี่คือเจ้า…”
ซื่อหรงไม่เอ่ยอันใด เพียงแต่โยนห่อผ้าให้กับเขาห่อหนึ่ง “ผลัดเปลี่ยนเสียเถิด”
ซูอี้รับห่อผ้านั้นมาเปิดดู ด้านในเป็นเสื้อผ้าของบ่าวรับใช้ชุดหนึ่ง เสื้อคลุมสีเทา และมีหมวกหนึ่งใบ
เขากลับไม่รู้สึกว่าพวกเขาแต่งกายเช่นนี้แล้วจะหนีรอดไปได้ ทว่าหญิงสาวผู้นั้นไม่ได้ฟังความเห็นของเขา ระหว่างที่พูดได้กระโดดลงจากม้า ลากร่างของซูหังที่ยังไม่ได้สติโยนเข้าไปใต้ตั่งนุ่มบนรถม้าเพื่อซ่อนเอาไว้
ซูอี้รู้สึกว่าตนเองนั้นเสียสติไปแล้ว ที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามคำสั่งของหญิงสาวผู้นี้อย่างไม่มีปากมีเสียง เพียงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าไป ซื่อหรงกลับไม่สนใจเขา หันกายไปขึ้นรถม้าแล้วปิดประตูรถก่อนจะกล่าวว่า “ไปเถอะ ไปประตูเมืองทางทิศตะวันออก”
ซูอี้เดินทางไปประตูทางทิศตะวันออก แต่คนเหล่านั้นคิดว่าเขาต้องกลับค่ายทหารเป็นแน่ เช่นนั้นนักฆ่าเหล่านั้นย่อมซ่อนตัวอยู่ที่ประตูเมืองทางทิศใต้แน่นอน
ซูอี้ได้แต่สลัดความสงสัยที่มีอยู่มากมายทิ้งไป กระโดดขึ้นรถ บังคับรถม้าไปตามทิศทางสู่ประตูทางทิศตะวันออก
กลายเป็นเช่นนี้แล้วคงต้องเลยตามเลย จิตใจของเขาจึงจะสงบลงได้ เขาบังคับรถม้าพุ่งไปข้างหน้า ขณะเดียวกันก็พิงกายกับประตูรถม้าอย่างเกียจคร้าน เอ่ยขึ้น “นี่ หากว่าถูกสกัดเอาไว้จะทำอย่างไรเล่า? ต่อให้พวกเราสามารถฝ่าทหาร ที่เฝ้าประตูเมืองไปได้ แต่จะสลัดทหารที่ไล่ตามภายหลังได้อย่างไร?”
นี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแต่ไม่ได้แก้ต้นเหตุ ทันทีที่ฝ่าประตูเมืองออกไปอาจจะทำให้องครักษ์แตกตื่น เมืองหมินแห่งนี้ไม่เหมือนเมืองหลวง ช่องระหว่างประตูเมืองนั้นไม่ได้ใหญ่มากนัก หากทำให้เกิดเป็นเรื่องใหญ่โตแล้ว นักฆ่าเหล่านั้นใช้เวลาไม่นานก็สามารถตามมาทันได้
หากเป็นหญิงสาวผู้นั้นเพียงผู้เดียวที่ต้องการหนียังพอจะเป็นไปได้ แต่เขาในยามนี้มีสภาพเช่นนี้ แล้วยังมีซูหังอีก เป็นไปไม่ได้แน่นอน
ในรถไม่มีการตอบกลับใดใด มีเพียงกรอบแกรบดังขึ้นจากนั้นก็เงียบลง
ซูอี้เองรู้สึกว่าตนพูดกับนางมากไปก็ไร้ประโยชน์ จึงได้แต่หุบปากเพื่อออมแรงเอาไว้
ตรอกจูเชว่อยู่ห่างจากประตูเมืองทางทิศตะวันออกไม่ไกลนัก ใช้เวลาราวหนึ่งก้านธูปก็มองเห็นประตูเมืองอยู่ด้านหน้าแล้ว
ซูอี้ไม่กล้าชะล่าใจ รีบปรับสีหน้าและใส่หมวกต่ำลงอีกเล็กน้อยเพื่อปิดบังใบหน้าและดวงตา
“เป็นผู้ใด? จอดรถ” เป็นไปตามที่ทั้งสองคนได้คาดไว้จริงๆ ยามนี้ประตูเมืองได้เพิ่มกำลังทหารยามแล้ว ปิดล้อมอย่างแน่นหนา มีคนตะโกนตั้งแต่ไกลๆ เพียงครู่เดียวก็มีทหารหมู่หนึ่งมาล้อมรถม้าไว้อย่างรวดเร็วราวกับเปลวไฟขวางทางข้างหน้าเอาไว้
“พวกเราอาศัยอยู่ในถนนจูเชว่ มีเรื่องด่วนต้องออกเมือง” ซูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจตนาทำให้แหบลงโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันไว้ก่อน แต่ไม่ได้ลงจากรถ พูดแล้วลูบไปที่เอวแล้วหยิบเงินโยนข้ามไป “รบกวนพี่ชายทุกท่านช่วยอำนวยความสะดวกด้วยเถิด”
หัวหน้าทหารยามผู้นั้นมองเขาแวบหนึ่ง บนใบหน้านั้นเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ พูดเสียงดังว่า “ไม่ได้ๆ คืนนี้ในเมืองมีโจรร้าย ศาลาว่าการพระนครมีคำสั่งลงมา ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถเข้าออกตามอำเภอใจ หากพวกเจ้าต้องการออกจากเมืองต้องรอให้ฟ้าสาง กลับไปๆ รีบกลับไป”
“พี่ชาย พวกเรามีเรื่องด่วนจริงๆ ท่านช่วยใช้อำนาจให้ความสะดวกเถิด” ซูอี้กล่าว น้ำเสียงนั้นประจบประแจงอยู่หลายส่วน
“บอกแล้วว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้” คนผู้นั้นถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมากลางดึกเช่นกัน จึงเต็มไปด้วยความโมโห อารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง ใบหน้าโกรธแค้นถลึงตามองเขา
ซูอี้รู้ว่าทำเช่นนี้คงออกไปไม่ได้ ขณะที่เขากำลังจะพูดนั้น คนในรถม้ากลับโยนสิ่งของออกมาจากทางหน้าต่าง
“ผู้ใด” เหล่าทหารระแวดระวังขึ้นมาทันใด หอกยาวต่างชี้ไปทางรถม้า
ซูอี้หายใจเข้าลึก กลับได้ยินเสียงของหญิงผู้นั้นดังขึ้นมาจากภายในรถม้า ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดใด กล่าวเพียงแค่ว่า “เปิดประตู”
ซูอี้ไม่รู้ว่านางเล่นตุกติกอะไรจึงยังคงเปิดประตูรถอย่างระแวดระวัง
เหล่าทหารที่ล้อมอยู่อย่างเคร่งเครียดต่างมองไป กลับเห็นเพียงด้านข้างของหญิงสาวผู้นั่งอยู่ด้านในรถม้า สวมเสื้อตัวในสีม่วง มีผ้าโปร่งปิดหน้า ร่างกายบอบบาง เงาด้านข้างของนางนั้นเต็มไปด้วยความสูงส่งและสง่างามยิ่งนัก
——————————————