ตอนที่ 128 เล่ห์แค้น (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ที่กล่าวกันว่าพิชัยยุทธ์ชั้นยอดคือการเอาชัยด้วยกุศโลบายก็คือเช่นนี้

 

 

เสี่ยวชีฟังแล้วเหมือนตกอยู่ในเมฆหมอก ได้แต่ส่ายศีรษะถอนหายใจและกินลิ้นจี่ต่อ “เฮ้อ ในหัวพวกท่านวันๆ มีแต่เรื่องพวกนี้ เสี่ยวชีไม่เข้าใจเลย แต่เสี่ยวชีเข้าใจว่าที่คุณหนูใหญ่เกิดเรื่องวันนี้จะพัวพันถึงท่านแน่ นายน้อยสี่”

 

 

ชิวเย่ไป๋เลิกคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร”

 

 

เสี่ยวชีถ่มเมล็ดลิ้นจี่ ส่ายศีรษะกล่าวว่า “ข้าน้อยก็อาศัยการแอบฟังด้วยกำลังภายใน บ่าวไพร่ตระกูลนี้พิลึกพิลั่นทุกคน เห็นข้าเข้าใกล้หน่อยก็ถอยห่าง จึงฟังไม่ได้ใจความทั้งหมด”

 

 

ชิวเย่ไป๋ฟังแล้วก็ครุ่นคิด

 

 

ดูท่าเหมยเซียงจื่อฟื้นแล้วคงเกิดเรื่องบางอย่างแน่ เพียงแต่นึกไม่ออกว่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับตน คงมิใช่คุณหนูซาบซึ้งในพระคุณจนอยากแต่งงานกับตนเพื่อตอบแทนหรอกนะ

 

 

นางร้องเหอะเบาๆ แล้วปลิดลิ้นจี่อีกลูก

 

 

 

 

“ข้าจะแต่งกับเขา!”

 

 

เสียงของดรุณีอ่อนหวานแต่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ

 

 

“เซียงจื่อ อย่าเอาแต่ใจ” เหมยซูนั่งลงที่ขอบเตียงกล่าวเสียงนุ่มนวล

 

 

ผมยาวของดรุณีน้อยสยายบนเตียงและผ้าห่ม นางอิงกายกับหมอนแพรนุ่ม ใบหน้ารูปไข่ซีดเซียวแต่ไร้อารมณ์ “ข้ามิได้เอาแต่ใจ แต่พริบตาที่เขาเงยหน้าขึ้น ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องแต่งงานกับเขา และยิ่งกว่านั้นเขายังเห็นร่างกายข้าแล้วด้วย”

 

 

เหมยซูแววตาอับจนปัญญา “เซียงจื่อ ใต้เท้าชิวมิได้เห็นเจ้าหรอก เพียงแต่เจ้าเปียกไปทั้งตัว หญิงคนเรือจึงนำเสื้อกันฝนคลุมให้เจ้า”

 

 

เหมยเซียงจื่อหลุบตาลง กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเห็นแล้ว อีกอย่าง ข้าเห็นเขา ข้าก็นึกรักเขาแต่แรกแล้ว”

 

 

“เซียงจื่อ เจ้าเป็นหญิง พูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่เหมือนดรุณีในห้องหอเอาเสียเลย!” เหมยซูหน้าเย็นลง แต่น้ำเสียงยังคงนุ่มนวล

 

 

เหมยเซียงจื่อพลันช้อนตามองเขา แล้วหัวร่อเบาๆ “ดรุณีในห้องหอ จะเป็นดรุณีในห้องหอทำไมกัน ก็แค่เบี้ยในมือท่านเท่านั้น เจ้ารักใคร่ฟูมฟักข้ามาหลายปี ก็เพราะจะให้ข้าเป็นมีดที่คมกริบในมือท่านมิใช่หรือ!”

 

 

สิ้นรอยยิ้มของนาง น้ำเสียงกลายเป็นเกรี้ยวกราดและบาดหู

 

 

เหมยซูแลดูสภาพของนางแล้วก็ถอนใจ “เซียงจื่อ…”

 

 

เซียงจื่อพลันโอบเอวของเขา ใบหน้างดงามเงยขึ้นอย่างคาดคั้น ถลึงตากลมโต ใช้น้ำเสียงแทบจะเป็นวิงวอนว่า “ท่านพี่ เรียกข้าว่าเสี่ยวเซียงเอ๋อร์ได้หรือไม่ เมื่อก่อนท่านเรียกข้าเช่นนี้นี่นา ข้าไม่อยากเข้าวัง ท่านรู้อยู่แล้วว่าข้า…”

 

 

เหมยซูก้มลงมองดรุณีที่โอบตนอยู่ ปลายนิ้วไล้ไปตามใบหน้านาง กล่าวขัดขึ้นอย่างนุ่มนวลว่า

 

 

“เสี่ยวเซียงเอ๋อร์”

 

 

เหมยเซียงจื่อดีใจ แววปีติท่วมท้นในดวงตา “ท่านพี่…”

 

 

ริมฝีปากบางเฉียบของเหมยซูยิ้มอย่างนุ่มนวล จ้องมองดรุณีน้อยในอ้อมอก “เสี่ยวเซียงเอ๋อร์จะเป็นมีดได้อย่างไร เจ้าเป็นดวงแก้ววิเศษที่งดงามล้ำค่าที่สุดในมือพี่ต่างหากเล่า”

 

 

สิ้นเสียงพี่ชาย เหมยเซียงจื่อยิ้มค้าง นางแลดูบุรุษที่นางโอบไว้อย่างไม่อยากจะเชื่อ รู้สึกเย็นเยือกถึงกระดูก “ล้ำค่าที่สุด…”

 

 

นั่นมิใช่แสดงว่านางจะขายได้ราคามากขึ้นหรอกหรือ

 

 

“เซียงจื่อ ฟังนะ พี่จะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร เป็นชายาขององค์รัชทายาทไม่ดีหรือ” เหมยซูกอดเซียงจื่อไว้ เกยคางกับไหล่นาง

 

 

แต่เหมยเซียงจื่อกลับรู้สึกว่านี่เป็นอ้อมกอดที่หนาวเหน็บและไม่อ่อนโยนอีกต่อไป นางกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “ข้าเป็นหญิงตระกูลพ่อค้า ข้าว่าคงเป็นได้แค่สนมปลายแถว ไม่มีวันเป็นพระชายาได้หรอก อย่างมากก็แค่ข้าทาสของราชโอรสเท่านั้น”

 

 

นางมิใช่คนโง่อยู่แล้ว มีหรือจะคิดอาศัยรูปโฉมของตนก้าวข้ามเส้นแบ่งของวรรณะ

 

 

เหมยซูหัวร่อเบาๆ เชยคางนางขึ้น กล่าวอย่างเรียบง่ายว่า “เด็กโง่ อ๋อง โหว แม่ทัพมีชาติตระกูลกันเสียเมื่อไหร่ ขอเพียงเจ้ามีความสามารถที่เจ้านายคนอื่นไม่มี เจ้าย่อมเป็นเจ้านายจนได้”

 

 

น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบทำเอาเหมยเซียงจื่อเบิกตากว้าง แลดูใบหน้าจืดๆ ที่งดงาม แววตาของนางเริ่มหม่นลง เหมือนเคลือบด้วยหมอกอีกชั้น “แล้วถ้าข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้นเล่า”

 

 

“ถ้าเช่นนั้น…” เหมยซูถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงสุดสงสารแต่วาจาที่กล่าวออกมาระคายหู “ถ้าเช่นนั้นเสี่ยวเซียงเอ๋อร์ก็ต้องเป็นข้าทาสตลอดชีวิต หากไม่ได้เป็นอัญมณีประดับมงกุฎ ต่อให้เป็นอัญมณีล้ำค่าเพียงใดก็มิต่างอะไรกับหินรองบาทริมถนน จะเป็นหรือตายก็โทษใครมิได้ เป็นชะตาลิขิตไว้เช่นนั้นนะ”

 

 

เหมยเซียงจื่อเบิกตากว้างกว่าเดิม สั่นเทิ้มเบาๆ ทั้งตัว มือขาวผ่องกำสายรัดเอวของเหมยซูไว้แน่น ราวกับบุปผากลางมรสุมบ้าคลั่ง ที่แม้จะเกาะกิ่งไม้ไว้แต่ก็อาจถูกกระหน่ำจนร่วงหล่นเป็นโคลนตมได้ทุกเวลา

 

 

“อย่าทำเช่นนี้กับข้า ท่านพี่ อย่าบีบให้ข้าต้องแค้นท่าน” ในที่สุดน้ำตาก็ร่วงรินอย่างสุดกลั้น นางกัดริมฝีปากไว้แน่น

 

 

เหมยซูแววตาหม่นลง “อืม เช่นนั้นเจ้าก็แค้นพี่เถิด แค้นเสียให้พอ”

 

 

เหมยเซียงจื่อได้ฟังก็ผลักร่างที่กอดไว้อย่างแรง “ออกไป ไสหัวไปให้พ้น!”

 

 

แต่แขนอีกข้างหนึ่งของนางถูกเหมยซูกุมไว้ เขาก้มมองนางกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เซียงจื่อ อย่าบีบให้ข้าโมโห เจ้ารับไว้มิไหวหรอก”

 

 

เหมยเซียงจื่อรู้สึกว่ามือข้างที่ถูกกุมไว้ถูกบีบจนแทบแหลกละเอียด นางยังคงไม่ส่งเสียงแม้จะคับแค้น มีเพียงน้ำตาที่ไหลพรากมากกว่าเดิม

 

 

เหมยซูคล้ายไม่รู้สึกรู้สา เพียงกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าพักฟื้นรักษาตัวให้ดีเถิด”

 

 

จากนั้นเขาก็ปล่อยมือ ก่อนลุกขึ้น ยังหันไปสั่งแม่นมและสาวใช้สองคนว่า “คุณหนูใหญ่ป่วยแล้ว ระยะนี้อย่าให้ลงจากหอ”

 

 

ทุกคนไม่มีใครกล้ากระทั่งหายใจแรงๆ ได้แต่ย่อกายอย่างนบนอบ รับคำพร้อมกัน “เจ้าค่ะ”

 

 

จนกระทั่งเงาหลังของเหมยซูไกลออกแล้ว แม่นมจึงรีบถลาเข้าไปหาคุณหนูใหญ่ เห็นนางก้มหน้าแทบจะซุกตัวอยู่ในกองผ้าห่ม ร่างบอบบางสั่นเทิ้มเบาๆ เป็นระยะ แม่นมรู้สึกปวดใจ “คุณหนูเจ้าขา คุณชายใหญ่ก็แค่…”

 

 

“กักบริเวณ เขากักบริเวณข้า ข้าก็จะจนปัญญาหรือ…ฮ่าๆ…” เหมยเซียงจื่อเงยศีรษะขึ้นช้าๆ ใบหน้าที่งดงามเปี่ยมด้วยแววรันทด บวกกับน้ำตาที่นองหน้าทำให้แลดูน่ากลัว

 

 

“คุณหนูใหญ่!” แม่นมตกใจ นางไม่เคยเห็นคุณหนูใหญ่มีสภาพเช่นนี้มาก่อน

 

 

“ตั้งแต่เล็กจนโต อะไรที่ข้าอยากได้แล้วไม่เคยได้บ้าง!” นางสูดหายใจลึก จ้องแม่นมและสาวใช้เขม็ง “แม่นม เซียงอวี่ เซียงเหยียน พวกเจ้าต้องช่วยข้า!”

 

 

แม่นมงงงัน สีหน้าหวาดหวั่น “คุณหนูใหญ่ ท่านกล้าสู้กับคุณชายใหญ่ซึ่งหน้าเลยหรือ!”

 

 

คุณชายใหญ่เป็นคนอย่างไร นางอยู่ในบ้านตระกูลเหมยมานานปีมีหรือจะไม่รู้ เขาเปรียบเสมือนหมอกควันหลังฝนของเจียงหนาน สุภาพงามสง่าเหมือนสายน้ำที่มีอยู่ทุกหนแห่งทั่วเจียงหนาน แต่คนที่จมน้ำตายทั่วเจียงหนานแต่ละปีก็มีมิรู้มากน้อยเท่าใด!