พวกเขาพูดคุยหัวเราะกันอยู่พักใหญ่เพราะเรื่องการฝึกทหารนั้นนับว่าเป็นอะไรที่ทุกคนตั้งตารอ ดังนั้นจึงไม่มีใครนอนกลางวันเลยสักคน 

 

 

ห้องพักอื่นๆ ก็น่าจะไม่ต่างกัน ตลอดทั้งช่วงเที่ยงนี้ห้องพักเหล่าชายหนุ่มต่างก็เสียงดังคึกคักไปด้วยเสียงหัวเราะพูดคุยกัน 

 

 

ห้องน้ำก็คงมีคนเข้าออกไปอาบน้ำไม่หยุดหย่อนเพราะมีเสียงน้ำไหลดังอยู่ตลอดเวลา ในช่วงเวลาสนุกสนานครื้นเครงแบบนี้ชุยหังจึงพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองคิดถึงเรื่องหลิวเฮ่อขึ้นมาอีก 

 

 

ในที่สุดเวลานัดหมายก็มาถึง พวกเขาทุกคนต่างก็แต่งกายเต็มยศด้วยเสื้อผ้าที่พึ่งจะไปรับมาก่อนหน้านี้ไม่นาน 

 

 

บ่ายวันนี้ยังไม่ร้อนมากนัก อีกอย่างยังไม่ถึงเวลาฝึกทหารเลยด้วย แค่เป็นการประชุมพบปะเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงเลือกใส่ชุดแขนยาวลายพรางสีฟ้าคราม 

 

 

ไม่ว่าพวกเขาจะคัดค้านต่อต้านแค่ไหนแต่สุดท้ายก็ยังต้องเอาหมวกสีเขียวอื๋อใบนั้นขึ้นวางบนศีรษะของตัวเองอยู่ดี 

 

 

“น่าเกลียดชะมัด ทำไมหมวกนี่มันถึงได้น่าเกลียดอะไรขนาดนี้นะ” ชุยหังพูดกับกระจกที่ส่องอยู่ 

 

 

จ้าวหลินกลับพูดขึ้นว่า: “อย่าพูดอะไรมั่วซั่วนะ อีกเดี๋ยวถ้าเจอครูฝึกเข้าแล้วนายยังพูดแบบนี้ล่ะก็ตอนนั้นได้เจอกับหายนะแน่” 

 

 

“หนักขนาดนั้นเลย? ครูฝึกไม่ได้กินคนสักหน่อย” วังเฉียงพูด 

 

 

“ตอนมัธยมพวกนายไม่ได้ฝึกทหารมาก่อนหรือไง” จ้าวหลินถาม 

 

 

“ฝึกสิแต่ว่าก็แค่ให้ทำท่าทางนั่นนี่ ไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย” คราวนี้คนที่พูดคือวังเจิ้นเฉียง 

 

 

ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มค่อยๆ เข้าร่วมวงสนทนาแล้ว 

 

 

จ้าวหลินพูด: “ฉันได้ยินว่าการฝึกทหารของมหา’ ลัยเป็นอะไรที่เคร่งครัดมากๆ ยิ่งสาขาวิชากึ่งการทหารแบบพวกเราแล้วเนี่ยต่างก็เชิญทีมทหารประจำการมาฝึกให้พวกเราเลยนะ อีกอย่างเนื้อหาการฝึกฝนแค่พวกนายได้ยินชื่อก็ต้องกลัวตัวสั่นไปเลยล่ะ” 

 

 

“มีอะไรต้องกลัวกันก็แค่ฝึกหรือพวกเขาจะสั่งให้เราวิ่งมาราธอนหรือยังไง” ชุยหังว่า 

 

 

คนจากห้องพักอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยตามกันมาแล้วเหมือนกัน ก่อนจะมีคนพูดขึ้นว่า: “ดูเหมือนว่าจะต้องเตรียมกระดาษเอาไว้สามแผ่นนะ ตรงรักแร้ใส่ไว้ข้างละแผ่น จากนั้นวางไว้ตรงกลางหัวเข่าอีกแผ่นถ้าเกิดทำมันตกก็โดนตีแน่” 

 

 

คนที่พึ่งพูดขึ้นมีสำเนียงตงเป่ยอยู่ด้วย แต่ว่ามันดูไม่เหมือนกับของชุยหัง 

 

 

ชุยหังหันกลับไปก็เห็นเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกำยำคนหนึ่ง ร่างกายสูงใหญ่ สีผิวออกจะคล้ำแทนหน่อยๆ เดินตามอยู่ด้านหลังของเขา ด้านข้างยังมีเพื่อนนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่แต่งตัวเหมือนกันกับเขา 

 

 

“หวัดดีหัวหน้าห้อง” จ้าวหลินพูดขึ้น 

 

 

ชุยหังถึงกับตะลึงไป หัวหน้าห้อง? นักศึกษายังไม่ทันได้พบปะเจอหน้ากันเลยแต่ทำไมถึงได้เลือกหัวหน้าห้องเรียบร้อยแล้วล่ะ 

 

 

“อย่าเรียกแบบนั้นมันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ก็แค่เป็นตัวแทนเท่านั้น หลังจากจบการฝึกทหารก็ไม่รู้ว่าจะเป็นใครต่อแล้ว” คนๆ นั้นพูด 

 

 

“นายชื่ออะไร” ชุยหังถามต่อ 

 

 

คนๆ นั้นได้ฟังสำเนียงของชุยหังก็รู้สึกเป็นกันเองจึงพูดตอบ: “ฉันชื่อโจวเฉวียน นายก็เป็นคนตงเป่ยหรอ” 

 

 

“อืม นายก็เหมือนกันสินะ มาร้องไห้หน่อยสิ” ชุยหังว่า 

 

 

“ร้องไห้? ร้องทำไม” โจวเฉวียนถามอย่างงงงวย 

 

 

ชุยหังอธิบายต่อ: “คนบ้านเดียวกัน พบพลันน้ำตาคลอไงเล่า” 

 

 

“นายนี่ตลกดีนะ ฉันเกือบคิดตามไม่ทันนะเนี่ย” โจวเฉวียนพูดยิ้มๆ 

 

 

“จริงสิที่นายพูดเมื่อกี้จริงหรือเปล่า ครูฝึกพวกนั้นชอบตีคนขนาดนั้นเลย” ชุยหังถาม 

 

 

โจวเฉวียนตอบ: “ก็แล้วแต่คนนะ ถ้าหากเป็นผู้หญิงก็อาจจะไม่ แต่ว่าภาควิชาของพวกเราเป็นผู้ชายทั้งหมดดังนั้นนายก็ต้องอวยพรให้ตัวเองแล้วล่ะนะ” 

 

 

ชุยหังถอนหายใจออกมาและพูดต่อ: “เฮ้อ ผู้ชายเหตุใดต้องทำร้ายผู้ชายด้วยกันเองด้วยนะ” 

 

 

“ปากแบบนายนี่นะ ฉันเดาว่าครูฝึกจะต้องจัดการนายเป็นคนแรกแน่นอน คนอื่นกระดาษสามแผ่น แต่นายต้องเอาไปเลยสี่แผ่นและแผ่นสุดท้ายต้องคาบไว้ที่ปากด้วย” โจวเฉวียนพูด 

 

 

ชุยหังพูดต่อ: “นั่นมันก็ไม่แน่นะ บางทีครูฝึกอาจจะเห็นความน่ารักของฉันจนห้ามใจลงโทษฉันไม่ลงเลยก็ได้นะ”