ส่วนที่ 1 ตอนที่ 14 เงาร่างมาร

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีไม่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

 

นางกำลังฝันประหลาดอย่างหนึ่ง ทุกอย่างในฝันราวกับถูกปิดคลุมไว้ด้วยผ้าแพรหนา นางมองไม่กระจ่าง ราวกับตนอยู่ริมแม่น้ำ ตลิ่งเป็นชั้นๆ ไม่รู้ว่ามีดอกไม้แดงราวสีโลหิตสดมากมายเท่าไร

 

นางเอื้อมมือไปเด็ด ขยี้ มองดูน้ำที่ราวสีโลหิตสดไหลมาตามฝ่ามือ ในใจพลันมีความรู้สึกยินดีและคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

 

พลันมีคนนั่งลงข้างกายนาง เรียกนาง “เสวียนจี ตอนนี้เจ้าเข้าใจไหม”

 

เข้าใจอันใด นางงุนงง

 

“เจ้าต้องการดูอีกไหม” เขากำลังถาม

 

ดูอันใด นางยังคงไม่เข้าใจ

 

“ให้แค่ครั้งนี้ ไม่มีครั้งหน้าอีก ให้เจ้าดูให้ดีแล้วกัน!” คนผู้นั้นกล่าวจบก็โยนหินก้อนหนึ่งลงน้ำ ผืนน้ำกระเพื่อมไหวเบาๆ เป็นวงๆ สุดท้ายกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวมากมาย

 

นางอยากรู้อยากเห็นถึงที่สุด อดชะโงกหน้ามองอย่างละเอียดไม่ได้ ใจนางพลันเต้นแรง เลือดในกายแล่นพุ่งขึ้นศีรษะ

 

อะ…นั่นมัน…นั่นคือ? นั่นคือ!

 

นางตกใจค้าง ความรู้สึกคุ้นเคยและห่างเหินม้วนตัวเข้ามา นางอดยื่นมือออกไปรอไม่ได้ ต้องการคว้าอันใด!

 

 

****

 

 

จงหมิ่นเหยียนอึ้ง มองมือนั่นของเสวียนจีที่ยกสูง สิบนิ้วเรียว ผิวขาวราวกับโปร่งแสง ในความมืดเปล่งลำแสงสีเงินประหลาดออกมา แสงสีเงิน?!

 

เขาไม่ทันได้คิดอันใด อินทรีกู่เตียวด้านหลังก็ส่งเสียงแผดร้องดังก้องฟ้าสะเทือนโลกา ราวกับเห็นสิ่งที่น่ากลัวอันใด ทั้งหวาดกลัว ทั้งแตกตื่น ราวกับลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็ใช้จะงอยปากจิกลงมาอย่างแรง!

 

จงหมิ่นเหยียนหลับตาปี๋ หูได้ยินแค่เสียงลมประหลาดพัดหอบ ราวกับลมพัดป่าไผ่ ราวกับลมแผ่วเบาพัดใบไม้ อ่อนโยนและรวดเร็ว

 

เขาค่อยๆ ลืมตามองลอดออกมา เห็นเพียงลำแสงสีเงินพลันหมุนขึ้น รวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง เสียงลมดังอีกคราพร้อมกับการเคลื่อนไหวของมัน ม้วนพลิกอินทรีกู่เตียวบนลงล่าง ซ้ายไปขวา เนื่องจากเคลื่อนไหวว่องไวมาก เพียงพริบตาก็เห็นว่ารอบๆ อินทรีกู่เตียวมีกรงสีเงินหนึ่งครอบอยู่

 

นั่นคืออันใด เขาตกใจเบิกตามองค้าง ถูกแรงกดทับประหลาดอันหนึ่งทำให้ไม่อาจขยับตัวได้

 

มองเห็นอินทรีกู่เตียวนั่นถูกเงาแสงสีเงินล้อมไว้ ยังคิดดิ้นรนสลัดตัวออกแต่เสียเปล่า เงาสีเงินนั่นยิ่งรัดแน่น อินทรีกู่เตียวค่อยๆ นิ่งลง ร่างสัมผัสกรงเบาๆ ก็พลันสั่นไม่อาจระงับ

 

จงหมิ่นเหยียนไม่แน่ใจว่าตนเองเห็นแววตาหวาดกลัวจากดวงตาอินทรีกู่เตียวหรือไม่ เขากำลังตกใจ พลันเห็นมือเสวียนจีตวัดเบาๆ แผ่ลำแสงสีเงินนั่น ในถ้ำพลันเกิดแสงเจิดจ้า เขาแสบตามาก รีบหลับตาลงทันที

 

ข้างหูได้ยินเพียงสองเสียง พรึ่บ พรึ่บ ด้านหลังเหมือนถูกของร้อนสาดรด ตกใจจนตัวสั่นไปหมด

 

จากนั้นก็เงียบกริบ เงียบยิ่งกว่าเงียบ

 

จงหมิ่นเหยียนหลับตารออยู่นาน ฟังอีกทีก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใด ลืมตาขึ้นอย่างลังเล ที่เห็นก็คือใบหน้าหลับสนิทของเสวียนจีไม่ซีดขาวอีกแล้ว และก็ไม่แดงก่ำ กลับเป็นสีหน้าปกติ ไม่สิ ถึงกับดียิ่งกว่าเดิม สองแก้มมีสีแดงระเรื่อนุ่มนิ่ม ขับให้คิ้วดำและปากแดงนางยิ่งกระจ่างชัด งดงามยิ่งนัก

 

แต่ในใจเขารู้สึกเพียงแค่หวาดกลัว

 

เมื่อครู่คืออันใด นั่นคืออันใด?! อินทรีกู่เตียวเล่า! เขาหันขวับกลับไป เห็นเพียงแค่ทางแยกไร้สิ่งใด เมื่อครู่อินทรีกู่เตียวมหึมานั่นเล่า ถึงกับหายสาบสูญไป! เหลือเพียงกองโลหิตดำเต็มพื้น ปกคลุมกระจายไร้ที่สิ้นสุดไปทั่วบริเวณ ตอนนี้มองแล้ว ราวกับความฝันสีทมิฬเสียจริง

 

เขาจ้องมองกองโลหิตกองโตที่พื้นเขม็ง อึ้งไปนาน ในใจแน่นิ่งบอกไม่ถูก

 

นั่นคืออะไร เสวียนจีคือสิ่งใด

 

เขาพลันเริ่มอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ เบื้องหน้าราวกับมีดวงดาวสีทองเป็นชั้นๆ ลอยอยู่ สุดท้ายมองไปยังเสวียนจีที่นอนอยู่ที่พื้น นางใบหน้าแดงระเรื่อ กำลังฝันดี มุมปากยิ้มยก เขากลับรู้สึกรอยยิ้มไร้เดียงสาถึงกับมีรังสีพิฆาตไร้สิ้นสุด

 

เขาฝืนทนต่อไม่ไหวแล้ว สติพลันดับวูบ หูได้ยินเสียงร้องตะโกนของฉู่เหล่ย เขาขยับริมฝีปาก กลับพูดไม่ออก หมดสติตามไปทันที

 

 

****

 

 

ตอนฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็มาอยู่โรงเตี๊ยมแล้ว จงหมิ่นเหยียนรู้สึกเพียงแค่ร่างกายเหมือนแช่น้ำอุ่น อุ่นสบายยิ่ง อดส่งเสียงครางเบาๆ ไม่ได้ ด้านหลังมีคนกระซิบทันทีว่า “อย่าขยับ”

 

เขารีบลืมตาขึ้น เห็นตนเองสวมเพียงเสื้อชั้นกลาง ขัดสมาธิอยู่บนเตียง ด้านหลังราวกับมีสองฝ่ามือดันหลังอยู่ ความรู้สึกอุ่นนั่นก็คือส่งผ่านมาจากฝ่ามือ

 

เขากะพริบตาปริบอย่างอ่อนแรง ก้มหน้ากล่าวว่า “อาจารย์…ข้า…”

 

ฉู่เหล่ยไม่กล่าวอันใด เอาแต่ส่งพลังตรวจทั่วร่างเขารอบหนึ่ง จัดระเบียบชีพจรภายใน ก่อนจะเก็บพลังวัตร เป็นนานเขาจึงได้กล่าวว่า “ข้าไปถึงสายไป ตอนหาพวกเจ้าเจอ พวกเจ้าสามคนก็เต็มไปด้วยโลหิต สลบไปแล้ว ดีที่เจ้ากับซือเฟิ่งบาดเจ็บไม่สาหัส นับว่าโชคดีมาก”

 

จงหมิ่นเหยียนยังงุนงงเล็กน้อย ได้สติถามว่า “เสวียนจีเล่า?”

 

วาจานี้ออกจากปาก ในใจเขาราวกับมีประกายไฟวาบ ภาพประสบการณ์นั้นในถ้ำลอยขึ้นมาทันที แสงสีเงิน โลหิตสดทั่วพื้น ใบหน้าที่มีรอยยิ้มพึงพอใจของเสวียนจี

 

น่ากลัว! ภาพนั้นน่าแปลกเช่นนี้ตอนนี้หวนคิดแล้วก็ยังรู้สึกหวาดกลัว

 

เขาเสียงสั่นกล่าวว่า “อาจารย์…เสวียนจีนาง…สบายดีไหม?”

 

ฉู่เหล่ยลุกขึ้น เดินไปริมหน้าต่าง เงียบอยู่เป็นนาน ก่อนกล่าวว่า “นางสบายดี หมอบอกว่าอีกสักครู่ก็ฟื้น” กล่าวจบเขาลังเลครู่หนึ่ง ถามเบาๆ ว่า “หมิ่นเหยียน…เกิดอะไรขึ้นในถ้ำ”

 

จงหมิ่นเหยียนได้ยินเขาถาม อดสะดุ้งไม่ได้ เม้มปากไม่กล่าวอันใดออกมา

 

ฉู่เหล่ยยังกล่าวอีกว่า “ตอนอาจารย์รุดไปถึง ก็ไร้เงาของอินทรีกู่เตียวแล้ว เห็นแต่พวกเจ้าเต็มไปด้วยโลหิตทั้งตัว คิดว่าพวกเจ้าบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ดูแล้ว โลหิตนั่นไม่ใช่ของพวกเจ้า…หมิ่นเหยียน เกิดอะไรขึ้น? อินทรีกู่เตียวเล่า?”

 

จงหมิ่นเหยียนนั่งอึ้งนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้ควรบอกเรื่องเสวียนจีกับอาจารย์หรือไม่ คิดนานมาก เขากัดฟัน ส่ายหน้ากล่าวว่า “อาจารย์…ข้ากับซือเฟิ่งร่วมแรงสู้กับอินทรีกู่เตียวไม่ไหว ต่อมากำลังไม่พอ หมดสติไป ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นเช่นกัน”

 

ฉู่เหล่ยไม่สงสัยเขา ได้แต่ถอนหายใจ ตบบ่าเขากล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าทำได้ไม่เลว ไม่เสียทีเป็นศิษย์ข้า!”

 

จงหมิ่นเหยียนอึ้งไป เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับการชมจากอาจารย์เช่นนี้ อดยินดีอย่างที่สุดมิได้ อมยิ้มขยี้จมูก

 

“ซือเฟิ่งตื่นแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ด้านล่างกับอาจารย์อาเจ้า ยังมีเจ้าเกาะตงฟาง เจ้าลงไปเถอะ ไปเล่าเรื่องตอนนั้นให้พวกเขาฟัง”

 

จงหมิ่นเหยียนรับคำ

 

หลังลงไปด้านล่างก็เห็นพวกฉู่อิ่งหงนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง หน้าผากอวี่ซือเฟิ่งพันผ้าขาวไว้ มือซ้ายมีเฝือกดาม ดูแล้วบาดเจ็บไม่เบา เห็นเขามา เขายังยิ้มกล่าว “ที่แท้ ก็ลุก ได้แล้ว! ข้ายังคิด เจ้า ต้องนอน สิบวัน!”

 

จงหมิ่นเหยียนส่ายหน้า เดินนั่งตรงข้ามเขา “เสวียนจียังไม่ตื่นหรือ” เขาถาม

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “ยัง เจ้ากล่าว ไม่ผิด นางจริงๆ เลย สุกรตัวหนึ่ง”

 

จงหมิ่นเหยียนได้แต่ยิ้มเฝื่อน

 

“ใช่แล้ว ตอนนั้นข้า หมดสติ ต่อมา แท้จริง เกิดอะไร”

 

จงหมิ่นเหยียนเงียบเป็นนาน ยังคงส่ายหน้า “…ข้าไม่รู้ ข้าเองก็หมดสติไป”

 

ฉู่อิ่งหงอยู่ข้างๆ ยิ้มกล่าวว่า “เอาน่า อย่าได้ซึมเศร้าเช่นนี้! ไม่ว่าอย่างไร พวกเจ้าก็ไม่เป็นอะไรกัน ภารกิจจับปีศาจก็สำเร็จลุล่วง รอเพียงแค่นำสุนัขฟ้านั่นกลับไป รอชมความครึกครื้นงานชุมนุมปักบุปผากัน!”

 

ที่นั่งอยู่ข้างนางก็คือตงฟางชิงฉี ผู้นี้ก็โชคร้ายอยู่สักหน่อย ถูกอินทรีกู่เตียวลากไปชนกับก้อนหินอย่างแรง ไม่เพียงแขนขวากระดูกหัก ยังซี่โครงหักอีกหลายท่อน ตอนนี้ทั้งตัวพันแผลไว้แน่นหนา แค่ขยับก็ต้องกัดฟันทนเจ็บ

 

“โอย โอย พวกเราแก่แล้วจริง!” เขาทอดถอนใจ “ครั้งนี้เสียเปรียบอินทรีกู่เตียวเฒ่านั่น วันหน้าแบกภาระหนักไม่ไหวแล้ว!”

 

พูดจนทุกคนล้วนหัวเราะดังขึ้น

 

ฉู่อิ่งหงเห็นสีหน้าเป็นกังวลของฉู่เหล่ย ราวกับมีเรื่องในใจ จึงกระซิบว่า “เจ้าสำนักยังคิดถึงเรื่องอินทรีกู่เตียวหรือ”

 

ฉู่เหล่ยถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วผู้ใดจัดการมันก่อนหน้าเราก้าวหนึ่ง หากในโลกนี้มีผู้สูงส่งเช่นนี้จริง เทียบกันแล้ว พวกเราห้าสำนักใหญ่ ไม่ต้องสงสัยเลยคงได้แต่นั่งมองฟ้าอย่างเดียว…”

 

ตงฟางชิงฉีใช้มือข้างที่ไม่หักตบหลังเขาอย่างแรง กล่าวเสียงดังกังวานว่า “น้องฉู่ หลายปีแล้ว นิสัยขี้สงสัยของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนเลย พวกเราใช่ว่าเอาแต่นั่งดู ตอนนั้นข้าและเจ้าก็อยู่ด้วย ไหนเลยเห็นผู้ใดกัน? นับประสาอะไรกับในถ้ำนั่นลึกไม่เห็นก้น ก็ไม่รู้ว่าใช่มาจากเขาอื่นหรือไม่ อินทรีกู่เตียวนั่นบางทีอาจจะหนีออกจากถ้ำไปก็ไม่แน่ หากเจ้าเป็นห่วง ก็รอให้ข้ารักษาตัวสองสามวันก่อน เราสองคนค่อยเข้าไปเดินดูในถ้ำสักรอบ ต้องสังหารเดรัจฉานนั่นไม่ให้เหลือ”

 

จงหมิ่นเหยียนขยับปากเล็กน้อย ราวกับคิดจะพูดอันใด แต่สุดท้ายก็ไม่กล่าวอันใด