“ในเมื่อพวกเจ้าเลือกจะติดตามข้า ข้าย่อมดีกับพวกเจ้า หากในระหว่างนี้พวกเจ้ามีเป้าหมายอื่น ข้าก็ไม่คัดค้าน หากพวกเจ้าจะเลือกทางเดินที่ดีกว่า” เพียงแต่พวกเราขาดกัน ต่างคนต่างเดินบนเส้นทางของตัวเอง ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก ถึงประโยคนี้หลิวหลีจะไม่ได้พูดแต่ทุกคนต่างก็รู้กันดี

“ศิษย์พี่ ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อศิษย์พี่เป็นคนพาพวกเรามาที่นี่ พวกเราย่อมเลือกติดตามศิษย์พี่ ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเราอ่อนแอ เกรงว่าคงช่วยอะไรศิษย์พี่ไม่ได้” ในช่วงเวลานี้มากพอที่ทำให้พวกเขารู้จักสถานที่แห่งนี้ คนแบบพวกเขาเลือกทางเดินอย่างไรบ้าง และยังพบความจริงที่ว่าส่วนมากเป็นผู้บำเพ็ญหญิง คนที่เปลี่ยนนายระหว่างทางก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่จุดจบไม่ค่อยดีนัก บางคนใช้ชีวิตสู้คนธรรมดาแบบพวกเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วจะทำไปเพื่ออะไร

“เรื่องนี้ พวกเจ้าตั้งใจเช่นนี้ก็ดีแล้ว ตอนนี้ภารกิจของพวกเจ้าก็คือพยายามทำให้พลังบำเพ็ญเพียรบรรลุขอบเขตแม่ทัพเทพ นี่คือเกณฑ์ขั้นต่ำ ต้องบรรลุขอบเขตแม่ทัพเทพ พวกเจ้าจึงจะมีสิทธิ์มีเสียง” หลิวหลีกล่าว

“เรื่องนี้พวกข้าย่อมเข้าใจอยู่แลว” สวีโจวกับเปียนเหยียนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรในขอบเขตเทพสวรรค์กดดัน ส่วนลู่หรงกับเริ่นเฉินที่อยู่ในขอบเขตมนุษย์เทพระดับสูงยิ่งกดดันกว่า พระเจ้า แม่ทัพเทพ นั่นเป็นพลังบำเพ็ญเพียรที่พวกเขาทำได้แค่ฝัน ตอนนี้จะให้พวกเขาบำเพ็ญถึงขั้นนั้น แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว

“แต่ว่าสิ่งแรกที่พวกเจ้าจะทำก่อนเลยไม่ใช่การบำเพ็ญเพียร แต่คือการปรับตัว พวกเจ้ามาจากสถานที่พลังเบาบางจู่ๆต้องมาอยู่ในที่ที่พลังหนาแน่นอย่างฉับพลัน ร่างกายพวกเจ้าอาจรับไม่ไหว จนอาจส่งผลต่อเส้นชีพจรของพวกเจ้า ดังนั้นจึงควรจะปรับตัวก่อนแล้วค่อยเริ่มบำเพ็ญฝึกฝน” หลิวหลีกล่าว

หลังจากฟังคำพูดของหลิวหลีแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกอบอุ่นใจ หลายวันนี้ที่พวกเขาออกไปข้างนอก คนที่เจอส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่ยินดีกับความโชคร้ายของคนอื่น นอกจากหลิวหลีแล้วคนอื่นๆก็ให้พวกเขาบำเพ็ญเพียรจนทำลายอนาคตของตนเอง ใช่แล้ว พลังบำเพ็ญแบบที่คนอื่นไม่เหลียวมองอย่างพวกสวีโจวจำเป็นจะต้องพึ่งพาคนที่เลือกพวกเขามา ส่วนใหญ่ก็จะให้พวกเขารีบๆบำเพ็ญฝึกฝน โดยไม่สนใจสภาพแวดล้อมในการบำเพ็ญที่เปลี่ยนแปลงไป คนกลุ่มนี้ถึงแม้พลังบำเพ็ญเพียรจะเพิ่มขึ้น แต่ในร่างกายมีอาการบาดเจ็บมากกว่า ยิ่งพลังบำเพ็ญเพียรสูงขึ้นก็จะยิ่งบรรลุขอบเขตพลังได้ช้าลง อาจถึงขั้นถดถอยเลยด้วยซ้ำไป หลิวหลีให้พวกเขาปรับตัวให้ได้ก่อน แล้วค่อยบำเพ็ญฝึกฝน ให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายก่อน ทำให้เปียนเหยียนที่เดิมลังเลใจ ยังไม่รู้จะเอาอย่างไรดีตัดสินใจจะติดตามนางทันที เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นเจ้านายที่ดีแน่ เขาเลือกคนไม่ผิด

“ขอบคุณที่ศิษย์พี่เป็นห่วง พวกเราจะไม่ผลีผลาม” สวีโจวกล่าว นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับทั้งชีวิตของพวกเขา

ชวีจิ้งกับชวีคังถูกรบกวนอย่างหนัก เดิมควรจะเข้าฌานเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แต่กลับไม่อาจขวางบางคนที่พยายามจะโอ้อวด วันนี้นักปรุงยาเจียงหวายให้อะไรนาง พรุ่งนี้นักปรุงยาเจียงหวายมอบอะไรให้นาง ทำให้สองพี่น้องรำคาญเป็นอย่างมาก สุดท้ายชวีคังทนรำคาญไม่ไหว ขอให้ป๋อเหยียนตัดสิทธิ์ไม่ให้หยวนโหรวเข้ามาในที่พักอาศัยของเขาได้อีก ทำให้สงบลงได้ไม่น้อย จนในที่สุดก็สงบสุข เขาถึงรักษาอาการบาดเจ็บได้

ฟากหยวนโหรวเมื่อรู้ว่าไม่สามารถเข้าบ้านชวีคังได้อีก ก็รู้สึกปวดใจน้อยๆ เหมือนมีคนมาบีบหัวใจนาง แต่นางก็สามารถเรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อกลับไปยังที่พักของนักปรุงยาเจียงหวาย นางก็รู้สึกปวดใจขึ้นอีกครั้ง นักปรุงยาเจียงหวายดีกับนางก็จริง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปิดสิทธิ์ในการเข้าที่พักของเขาให้นาง เท่ากับว่านางเป็นแค่เพียงผู้อยู่อาศัยเท่านั้น อีกอย่างเขาไม่เคยแนะนำนางต่อเพื่อนๆของเขา เท่ากับว่าตอนนี้นางยังไม่มีสถานะใด แต่กับชวีคังในตอนที่พวกเขาตกลงคบหากัน ชวีคังก็แนะนำนางกับเพื่อนสนิทของเขา แต่นางไม่คิดจะหันหลังกลับเด็ดขาด จนกระทั่งวันหนึ่ง มีชาย 2 คนเข้ามา ย่ำยีนาง พร้อมบอกกับนางว่านางมี 2 ทางเลือก ทางเลือกแรกมาเป็นคู่บำเพ็ญให้กับพวกเขาพี่น้อง ส่วนทางเลือกที่สอง ไปเป็นสาวใช้ของนักปรุงยาเจียงหวาย นางถึงได้เสียใจภายหลัง แต่น่าเสียดายที่ช้าเกินไป สิ่งของไม่ว่ากี่อย่างที่นักปรุงยาเจียงหวายเป็นคนให้นางมา ก็ถูกริบไปจนหมด สุดท้ายเสื้อผ้าอาภรณ์ยังสู้ตอนที่อยู่กับชวีคังไม่ได้ด้วยซ้ำ นางเลือกทางเลือกแรก ไปเป็นเตาบำเพ็ญให้กับชายทั้งสอง ใช้ชีวิตอยู่ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน ไม่โดนทุบตีก็โดนด่าว่า นางพยายามอดกลั้น รอวันที่ชวีคังออกฌาน นางเชื่อว่าเขายังมีใจให้นาง ต้องรับนางกลับไปอยู่ด้วยแน่ ความคิดเช่นนี้ยึดเหนี่ยวให้ชีวิตนางผ่านไปได้ในแต่ละวัน

ในตอนที่ชวีจิ้งได้ยินเรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆแม้แต่น้อย ไม่สมน้ำหน้าก็บุญแล้ว นางเป็นคนรนหาที่เอง ตอนที่น้องข้าเห็นเจ้าเป็นแก้วตาดวงใจ เจ้าไม่เห็นคุณค่า อยากไปเป็นดอกหญ้าริมทาง จะโทษใครได้ ดูจากสภาพนาง คงจะรอให้อาคังออกฌาน หึหึ อาคังจะได้ตัดความสัมพันธ์กับนางอย่างเด็ดขาดพอดี กลายเป็นของที่ไม่มีใครใช้แล้ว ยังคิดจะกลับมาเป็นของล้ำค่าของน้องชายเขา นางไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากใคร

“อาคัง ออกฌานแล้ว ดูเหมือนพัฒนาขึ้นไม่น้อย” ชวีจิ้งพอใจกับสภาพในตอนนี้ของน้องชายอย่างมาก นี่ถึงจะเป็นสภาพที่น้องชายของเขาควรจะเป็น คุณสมบัติร่างกายของน้องชายเดิมก็ดีกว่าเขาอยู่แล้ว ตอนนี้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้หญิงคนนั้น ยิ่งทำให้จดจ่ออยู่ที่การบำเพ็ญฝึกฝนมากขึ้น

“อืม ออกฌานมาแล้วพี่ใหญ่ อาการบาดเจ็บก็ดีขึ้นมากแล้ว อีกอย่าง ยาศักดิ์สิทธิ์ที่หลิวหลีให้มาไม่ธรรมดาเลย ไม่เพียงแค่รักษาอาการบาดเจ็บของข้าจนหาย แต่ยังทำให้พลังบำเพ็ญเพียรของข้ามั่นคงขึ้นด้วย” บุญคุณครั้งนี้เหมือนทำให้เกิดใหม่อีกครั้ง ทำให้เขาอดทอดถอนใจไม่ได้

“ต้องขอบคุณหลิวหลีจริงๆ ฝีมือการปรุงยาเช่นนี้ จัดอยู่ใน 3 อันดับแรกในภูเขาเทวาแห่งนี้แน่” ชวีจิ้งพยักหน้า อาการบาดเจ็บของน้องชายดีขึ้นก็ดีแล้ว ทำให้เขาซาบซึ้งในบุญคุณของหลิวหลีมากขึ้น

“พี่ใหญ่ พวกเราออกไปขยับตัวกันเถอะ เข้าฌานจนตัวจะขึ้นสนิมอยู่แล้ว ออกไปยืดเส้นยืดสายบ้าง” ชวีคังขยับคอไปมา สายเลือดที่รักการสู้รบในร่างกายเคลื่อนไหวอีกครั้ง

“ก็ดีเหมือนกัน มีบางอย่าง อาคัง เจ้าควรตัดขาดได้แล้ว” ชวีจิ้งกล่าว

“พี่ใหญ่หมายถึงหยวนโหรวหรือ?” ชวีคังเข้าใจในทันที น่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับหยวนโหรว

“อืม ตอนนี้นางเป็นเตาบำเพ็ญให้สมุนของนักปรุงยาเจียงหวาย” ชวีจิ้งพูดออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สา เหมือนจะรู้มาตั้งแต่แรกแล้ว

“เหอะ เหอะ เวรกรรม เวรกรรมจริงๆ พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไม่ใจอ่อนแน่นอน” ชวีคังเข้าใจ แต่น้ำเสียงของเขาแน่วแน่ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย

และเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อชวีคังออกไป หยวนโหรวก็มารออยู่ตรงนั้นตั้งนานแล้ว ชวีคังรู้สึกตกใจเล็กน้อย แทบไม่ใช่คนเดียวกับหยวนโหรวที่เขาเคยรู้จัก

“ท่านพี่” หยวนโหรวกัดปากตนเอง มองไปชวีคังด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

“อย่าพูดเหลวไหล พวกเราต่างก็เดินทางใครทางมันแล้ว ตอนนี้เจ้าได้ไปเสวยสุขอยู่กับนักปรุงยาเจียงหวาย ถ่อมาหาคนไม่เข้าตาอย่างข้าถึงที่นี่ คงจะเป็นเสนียดสายตาเจ้าเปล่าๆ” ชวีคังมองสภาพของหยวนโหรวในตอนนี้ ด้วยสีหน้าเยาะเย้ย รู้สึกสะใจไม่น้อย

“ท่านพี่ ท่านไร้เยื่อใยกับข้าแล้วจริงๆหรือ ข้ารู้ตัวแล้วว่าข้าผิด ให้อภัยข้าเถอะนะ” หยวนโหรวเดินเข้ามาหมายจะดึงชายเสื้ออีกฝ่าย แต่เขากลับหลบนาง

“หึหึ เจ้าได้ยินไม่ชัดหรือ พวกเราไม่มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน ตอนนั้นเจ้าเป็นคนตัดเยื่อใยจะไปเอง ตอนนี้รู้ว่าตัวเองเลือกทางผิดแล้วหรือ แต่ขอโทษที ข้าให้เจ้ามากมายแบบนี้ไม่ได้ ต่อให้มีข้าก็ไม่มีวันจะให้เจ้า” ชวีคังกล่าว

“นังแพศยา ถึงขนาดกล้าหนีมาที่นี่ ทำไม นึกถึงคนรักเก่าแล้วหรือ แต่ดูท่าแล้ว เขาไม่ได้เสียดายของพังๆแบบเจ้าด้วยซ้ำ”

“ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย” หยวนโหรวมองไปยังคนที่มาด้วยแววตาหวาดกลัว แล้วมองชวีคังด้วยแววตาเว้าวอน

แต่ชวีคังหันหลังแล้วเดินจากไปทันที ไม่เหลือเยื่อใยใดๆ ต่อจากนี้ไปหยวนโหรวกับเขาชวีคัง ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกโล่งใจขึ้นไม่น้อย

……………………………….