บทที่ 233.2 สุ้ยสุ้ยผิงอัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 233.2 สุ้ยสุ้ยผิงอัน โดย ProjectZyphon

หลังจากคุณชายชุดขาวของจวนจ้าวถูกฆ่าก็ไม่มีคนในจวนที่ถูกอาคมกลายเป็นมารอีก เด็กสาวกระพรวนเงินหลิวเกาซินที่แม้จะอาเจียนไม่หยุด แต่ก็ยังไม่ยอมกลับจวนเจ้าเมืองที่ปลอดภัย นางยังคงติดตามปรมาจารย์ในยุทธภพแซ่โต้วคนนั้นไล่ตามหาพวกปลาที่ลอดจากแหไปได้ เมื่อพวกเขามาถึงห้องเก็บฟืนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เห็นว่าประตูถูกปิดสนิท มือดาบก็ขมวดคิ้ว ถีบประตูให้เปิดอ้า พบว่าด้านในมีเด็กชายอายุแปดก้าวขวบคนหนึ่ง ด้านหลังของเขาก็คือกองฟืนที่กองสุมกัน มือดาบกล่าวเรียบๆ ว่า “ถอยไป! เมื่อกลายเป็นมารแล้วก็ไร้ทางเยียวยา”

เด็กชายเม้มปาก ส่ายหน้าอย่างแรง

มือดาบสีหน้าเย็นชา ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า จับศีรษะของเด็กชายแล้วผลักไปด้านหลัง เด็กชายจึงกระแทกกับกำแพงทางฝั่งนั้น มือดาบใช้ดาบเล่มยาวผ่ากองฟืนแหวกออกเป็นสองฟาก ด้านในมีเด็กหญิงใบหน้าแห้งตอบ ถูกมัดไว้แน่น ดวงตาข้างหนึ่งของนางกำลังมีเลือดสดไหลลงมาไม่หยุด ดวงตาอีกข้างกลับไม่ต่างจากดวงตาของคนปกติ ริมฝีปากของเด็กหญิงเขียวคล้ำ สั่นระริกเบาๆ

มือดาบยกดาบขึ้นหมายจะฟันลงไป เด็กชายตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน คว้ามีดผ่าฟืนเล่มหนึ่งพุ่งเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กหญิง กัดฟันพูด “ถ้าเจ้ากล้าข้านาง ข้าก็จะฆ่าเจ้า!”

เพียงเปิดปากก็พูดภาษาทางการของทวีปอย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่เสียแรงที่ตระกูลจ้าวคือตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองแยนจือ ต่อให้เป็นเด็กชายที่เป็นเพียงบ่าวไพร่ของจวนก็ยังรู้ภาษาทางการของทวีป

มือดาบยิ้มอย่างสง่างาม “เจ้าคนไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่น รู้หรือไม่ว่าความเมตตาเล็กน้อยของเจ้าในวันนี้อาจทำให้คนนับร้อยนับพันต้องตาย”

เด็กชายร่างผอมแห้ง สวมเสื้อผ้าตัวบางๆ กล่าวด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “ข้าไม่สนใจ ข้าจะปกป้องหลวนหลวน!”

มือดาบถีบเด็กชายที่ถือมีดผ่าฟืนจนตัวปลิว ดาบที่เร็วดุจพายุของเขาฟันใส่เด็กหญิงที่น่าสงสารคนนั้น

เสียงกระพรวนเงินดังขึ้น พายุดาบบดขยี้ดอกไม้สีทองหลายดอกที่บินหมุนคว้างมาถึงจนแหลกละเอียด มือของมือดาบชะงักไปเล็กน้อย แต่คมดาบที่ตวัดลงก็ยังทิ้งรอยเลือดกรีดเป็นรอยยาวชุ่นกว่าไว้บนหน้าผากของเด็กหญิง

หนึ่งดาบถูกขัดขวาง มือดาบไม่ได้โมโห เพียงหันหน้ามามองเด็กสาว ถามว่า “หลิวเกาซิน เจ้าช่วยนางได้หรือ? เรื่องคนกลายเป็นมาร คนอื่นอาจไม่รู้ว่าร้ายแรงแค่ไหน แต่เจ้าที่เป็นผู้ฝึกตนจะไม่รู้เชียวหรือ? ถ้าอย่างนั้นพอถึงเวลาที่สถานการณ์เลวร้ายเกินกว่าจะแก้ไข เจ้าจะเป็นคนจัดการกับเด็กหญิงคนนี้ด้วยมือของตัวเองหรือไม่?”

หลิวเกาซินหน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริก “ข้าอดสงสารนางไม่ได้”

มือดาบร้องเฮอะ “คงเป็นเพราะตอนอยู่หน้าจวนประตูจ้าวเมื่อครู่นี้ พวกคนที่กลายเป็นมารถูกข้าสังหารเร็วเกินไป คุณหนูหลิวก็เลยไม่ทันเห็นภาพที่พวกเขากัดกินเลือดเนื้อของชาวบ้านสินะ”

เด็กชายดิ้นรนลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง เขาที่เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่างถือมีดแทบไม่อยู่มือ ปลายมีดสั่นไหว แต่เด็กชายก็ยังหันไปแผดเสียงใส่มือดาบ “เจ้าคนสารเลว แน่จริงเจ้าก็ฆ่าข้าเสียก่อนสิ!”

มือดาบแค่นหัวเราะ “ฆ่าเจ้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร”

หลิวเกาซินตาแดงก่ำ หันหน้าไปทางอื่นเพราะทนมองต่อไปไม่ไหว

ด้านนอกมีเสียงคนเอ่ยขึ้นว่า “ช้าก่อน”

มือดาบที่ยืนหันหลังให้ประตูคิดแล้วก็เก็บดาบเข้าฝัก หันตัวมากุมมือคารวะส่งยิ้มให้คนผู้นั้น “ในเมื่อเซียนซือพูดแล้ว ข้าก็ไม่ทำอะไรที่เกินความจำเป็นอีก”

ที่แท้ก็เป็นเฉินผิงอันที่ย้อนกลับมาตระกูลจ้าวอีกครั้ง เขาผงกศีรษะคารวะคืนมือดาบ

เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ เข้าไปในห้องเก็บฟืน ทรุดตัวนั่งยองอยู่ตรงหน้าเด็กหญิง พบว่าดูเหมือนเด็กหญิงจะพยายามต่อต้านอาคมมารที่อยู่ในร่างกายสุดกำลัง อีกทั้งต่อให้ดวงตาจะมีเลือดซึมลงมา เจ็บปวดราวกับหัวใจถูกคว้าน แต่นางก็ยังกัดปากแน่น ไม่ร้องออกมาสักเอะ เด็กหญิงพยายามลืมตาข้างที่เป็นปกติขึ้น สายตานั้นเต็มไปด้วยแวววิงวอนขอร้อง คนเราหากยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ ใครเล่าจะอยากตาย โดยเฉพาะเด็กที่อายุเพียงเท่านี้

เฉินผิงอันมองเด็กหญิงผู้เข้มแข็ง ยื่นมือไปตบศีรษะของนางเบาๆ อย่างอ่อนโยน พูดเสียงอบอุ่น “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว เจ็บก็ร้องออกมา ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร”

เด็กหญิงเงยหน้า ดวงหน้าเล็กๆ ของนางครึ่งซีกมีเลือดสดหลั่งนอง มองเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่ส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ตนแล้วก็ร้องไห้จ้า

ความน้อยเนื้อต่ำใจบางอย่าง ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ มีเพียงคนที่เคยได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกันเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้

ไม่อย่างนั้นต่อให้คนที่อยู่ข้างกายจะมีจิตใจดีงามหรือหวังดีมากแค่ไหน ก็คงไม่สามารถทำให้คนสบายใจได้อย่างแท้จริง

เฉินผิงอันช่วยคลายเชือกให้นาง หมุนตัวกลับหลัง หันหน้ามาพูดกับนางว่า “มา ข้าจะแบกเจ้าไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง ให้คนช่วยเจ้า”

เมื่อสองมือน้อยที่เย็นเฉียบวางลงบนไหล่ เฉินผิงอันก็เอ่ยกับเด็กชายที่ถือมีดผ่าฟืนยิ้มๆ “รบกวนเจ้าใช้เชือกมัดพวกเราไว้ด้วยกัน ข้ากลัวว่าตอนเดินออกไปจะเกิดเรื่อง จะไม่ทันได้ดูแลนาง เจ้าต้องเร็วหน่อย ทำได้หรือไม่?”

“ได้!” เด็กชายโยนมีดผ่าฟืนทิ้ง เช็ดน้ำตาบนใบหน้าลวกๆ รีบวิ่งไปหยุดข้างกายเฉินผิงอันและเด็กหญิง จับคนทั้งสองมัดไว้ด้วยกันอย่างคล่องแคล่วว่องไว

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนช้าๆ พูดกับหลิวเกาซินและมือดาบแซ่โต้วว่า “ข้าจะพาแม่นางน้อยไปที่จวนเจ้าเมืองก่อน จะมัวเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว ดูสิว่าที่นั่นจะมียอดฝีมือที่ช่วยเหลือนางได้หรือไม่ พวกเจ้าพาเด็กผู้ชายคนนั้นไปด้วย หากที่จวนจ้าวยังมีปัญหา หลิวเกาซิน เจ้าช่วยพาตัวเขาออกไปไว้นอกจวนจ้าวได้หรือไม่?”

มือดาบเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องเล็กแบบนี้ ให้คุณหนูจ้าวพาเขาออกไปก่อน เดี๋ยวข้าสำรวจจวนจ้าวส่วนที่เหลือคนเดียวก็ได้”

เฉินผิงอันจึงหันไปพูดกับเด็กชายว่า “ระวังตัวด้วย ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ข้าก็จะกลับมาบอกเจ้า ตกลงไหม?”

เด็กชายยกมือเช็ดน้ำตา พยักหน้ารับแรงๆ

เฉินผิงอันแบกเด็กหญิงที่ตัวเย็นไปทั้งร่างพุ่งออกจากห้องเก็บฟืน กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง ทะยานร่างไปอย่างสง่างามเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำไม่กี่ครั้ง เพียงไม่นานก็พลิ้วกายลงบนกำแพงสูงของจวนเจ้าเมือง ตอนนี้รู้จักหน้าค่าตาของเฉินผิงอันแล้ว พวกทหารกล้าที่ซ่อนตัวอยู่จึงไม่มีใครง้างธนูขึ้นสาย ปล่อยให้เฉินผิงอันเข้าไปในจวน เพียงไม่นานเขาก็เข้าไปในห้องโถงที่ทุกคนกำลังปรึกษากันอยู่

หลิวเกาซินพาเด็กชายเดินออกมาจากประตูใหญ่ เด็กชายเอ่ยถามนางอย่างกระวนกระวาย “พี่หญิงเทพเซียน เพื่อนของท่านจะช่วยหลวนหลวนได้จริงหรือไม่?”

นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนอื่นเรียกว่าพี่หญิงเทพเซียน หลิวเกาซินจึงไม่ใคร่จะคุ้นชินเท่าใดนัก นางเค้นรอยยิ้มตอบไปว่า “ข้าไม่ใช่พี่หญิงเทพเซียนอะไรหรอก แต่เจ้าวางใจเถอะ ท่านผู้เฒ่าเทพเซียนคนนั้นต่างหากที่เป็นเซียนบนภูเขาอย่างแท้จริง จะต้องช่วยแม่นางน้อยได้แน่นอน แต่ถ้า…แต่ถ้าช่วยไม่ได้จริงๆ เจ้าก็โทษเขาไม่ได้ เข้าใจไหม?”

เด็กชายพยักหน้ารับทั้งน้ำตา

หลิวเกาซินลูบศีรษะของเด็กชาย ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที

หลังจากเฉินผิงอันเข้าไปในห้องโถงหลักแล้ว นอกจากเจ้าเมืองหลิวที่นั่งอยู่ ยังมีผู้ฝึกลมปราณที่รับผิดชอบดูแลใจกลางของค่ายกลนั่งอยู่อีกสองคน คนหนึ่งคือหญิงชราที่ในมือถือกระบี่ยาว ตรงเอวห้อยถุงผ้าใบหนึ่ง ไม่รู้ว่าบรรจุอะไรเอาไว้ กับผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยพู่กันขนสีเงินหนึ่งด้าม ว่ากันว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่ใกล้กับเมืองแยนจือ มีตบะเป็นขอบเขตสาม ชั่วชีวิตไม่เคยได้เข้าสำนักของตระกูลเซียน อาศัยเพียงโชควาสนาและความขยันหมั่นเพียรถึงได้มีวันนี้

ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามอาจจะไม่กล้าหายใจแรงเมื่อเดินอยู่บนถนนของเมืองหลงเฉวียน แต่กลับมากพอจะเรียกลมเรียกฝนอยู่ในเมืองของแคว้นเล็กๆ ได้แล้ว

เฉินผิงอันเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวให้พวกเจ้าเมืองหลิวสามคนฟังคร่าวๆ จบก็คลายเชือก จับเด็กหญิงวางไว้บนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างระมัดระวัง ถามว่า “ช่วยเด็กคนนี้ได้หรือไม่?”

ใบหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่เห็นว่าเจ้าเมืองหลิวไม่พูดอะไร นางจึงไม่สะดวกจะเจ้ากี้เจ้าการ เพียงแค่แค่นเสียงเย็นในลำคอหนึ่งที ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หลับตาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นมันเสียเลย

กลับเป็นชายชราคนนั้นที่เดินเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ ย่อตัวลง ยื่นมือไปเปิดเปลือกตาข้างที่มีเลือดซึมของเด็กหญิง กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แม่นางน้อยมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยม เกิดมาก็มีดวงตาหยินหยางคู่หนึ่ง ดวงตาข้างหนึ่งสามารถมองการเคลื่อนโคจรของปราณวิญญาณในโลกมนุษย์ ดวงตาอีกข้างหนึ่งสามารถมองเหตุภูตผีและวัตถุหยินในยามกลางคืน เดิมทีมีหวังที่จะเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน เพียงแต่ว่าไข่มุกถูกฝุ่นเกาะ ไม่ทันได้พบเจอกับผู้มีความสามารถ ก็ต้องมาเจอกับเคราะห์กรรมครั้งนี้เสียก่อน ดวงตาหยินข้างนี้ตกเป็นที่พักพิงของอาคมปีศาจที่เข้มข้น เปรียบเทียบได้กับสุสานที่ระเกะระกะแห่งหนึ่ง มีปราณสกปรกอบอวลอยู่ทั่ว ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์ที่มีพลังหยางเข้มข้นก็ยังต้องร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด น่าสงสารนังหนูน้อยคนนี้จริงๆ”

ผู้เฒ่าช่วยจับชีพจรให้เด็กหญิงพลางเงยหน้าจ้องนิ่งไปที่รอยเลือดในดวงตาของนาง “จิตที่อยากมีชีวิตอยู่รอดของนังหนูน้อยแรงกล้ามาก ตอนนี้จำเป็นต้องใช้ยาวิเศษที่เต็มไปด้วยพลังหยาง…ไม่ถูกสิ ต่อให้เป็นยาชั้นเยี่ยมที่ถูกกับโรค กินลงไปก็ไม่สามารถกำจัดปราณสกปรกที่สั่งสมอยู่ในดวงตาหยินได้ ทำได้ยากมากจริงๆ ตอนนี้บนร่างของข้ามียาลมวสันต์ที่สามารถรักษารากฐานของพลังต้นกำเนิดให้มั่นคงอยู่แค่เม็ดเดียว ได้แค่ช่วยต่อชีวิตของนางไว้ชั่วคราว สิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงคือ…ยันต์วิเศษ อีกทั้งยังต้องเป็นยันต์วิเศษที่ระดับขั้นสูงมากด้วย สามารถชักนำปราณวิญญาณมาสู่ดวงตาหยาง ส่งข้ามไปยังดวงตาหยิน หยินหยางต้านทานกันเอง นังหนูน้อยต้องอาศัยปณิธานและโชควาสนาของตัวเองถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต แต่ยันต์วิเศษแบบนี้จะไปหามาจากที่ไหน ต่อให้นังหนูได้ยาของข้าไปต่อชีวิตก็ถ่วงเวลาไว้ได้ไม่นานหรอก”

ระหว่างที่พูด ผู้เฒ่าก็หยิบกล่องไม้จื่อถานขนาดเล็กใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เปิดออกก็เผยให้เห็นว่าด้านในมียาสีเขียวส่งกลิ่นหอมสะอาดโชยมาปะทะจมูกอยู่เม็ดหนึ่ง แล้วเขาก็จับป้อนให้เด็กหญิงกินลงไปอย่างไม่ลังเล

เฉินผิงอันที่นั่งอยู่อีกข้างถามเสียงเบา “ท่านผู้อาวุโส หากเป็นยันต์ปราณหยางส่องไฟ จะได้หรือไม่?”

ผู้เฒ่ามีท่าทางตะลึงระคนดีใจก่อนเป็นอันดับแรก แต่ต่อมาก็ยิ้มเฝื่อน “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้! ในบรรดายันต์พันพันหมื่นชนิดในใต้หล้า ยันต์ปราณหยางส่องไฟนี้มีระดับสูงส่งยิ่ง คือหนึ่งในยันต์วิเศษที่ถูกกับโรคนี้มากที่สุด ได้ผลทันตาเห็น เจ้ามีจริงๆ รึ? แถมยังไม่ใช่ของปลอมด้วย? ต้องรู้ว่าบนโลกใบนี้มีพวกผู้ฝึกลมปราณที่ถูกความโลภบดบังจิตใจอยู่มากมาย ของเลียนแบบยันต์ประเภทนี้จึงมีมากอย่างถึงที่สุด เอามาใช้สวมรอยของจริง ส่วนใหญ่มักจะเรียกเป็น ‘ยันต์ยืมหยาง’ เอามาขายราคาสูงเป็นร้อยเท่า…”

เฉินผิงอันกล่าวเสียงหนัก “ในมือข้ามีอยู่แผ่นหนึ่ง!”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวข้ากลับมา”

ผู้เฒ่าไม่แปลกใจ เพียงแค่เอ่ยเตือนว่า “ต้องเร็วหน่อย”

ผู้ฝึกลมปราณที่ไหนจะเอาทรัพย์สมบัติส่วนตัวมาเปิดเผยต่อหน้าคนนอก

เจ้าเมืองหลิวค้อมเอวก้มหน้า มองเด็กหญิงที่อยู่ในสภาพน่าสังเวชสองทีก็ดึงสายตากลับ เดินไปดูแผนที่บนโต๊ะต่ออีกครั้งอย่างรวดเร็ว

หญิงชราที่อุ้มกระบี่ยาวไว้ในอ้อมอกเปิดเปลือกตาขึ้น ปรายตามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มแล้วหลุดหัวเราะพรืด

—–