ตอนที่ 224-1 กลุ่มคนที่ทหารใหม่หน่วยกิเลนจับกุมได้

ชายาเคียงหทัย

บริเวณกำแพงหินแห่งหนึ่งภายในหุบเขา มีเสียงตะโกนร้องด้วยความยินดีดังลอยมา “เปิดแล้ว! เปิดออกแล้ว!”

ผู้คนที่รายล้อมอยู่ในหุบเขาต่างพากันยินดี ถึงแม้จะค้นพบทางเข้านี้มาได้หลายวัน แต่ต่อให้มีนักขุดสุสานและนักสร้างสุสานฝีมือดีจำนวนมากมารวมตัวกัน พวกเขาก็ยังต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่าจะเปิดทางเข้าสุสานหลวงได้โดยไม่ทำให้อันใดเสียหาย

พวกเขาอยู่กันที่ด้านนอก อย่างไรก็มิอาจคาดเดาได้ว่าค่ายกลภายในจะเป็นเช่นไร หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ทางเดินภายในสุสานพังครืนลงมาเลยก็เป็นได้ ถึงเวลานั้น สิ่งที่พวกเขาต้องขุดคงมิใช่เพียงแค่ทางเข้า แต่อาจเป็นภูเขาทั้งลูก หรือถึงขั้นเป็นภูเขาหลายลูกเลยก็เป็นได้ โชคดีที่สุดท้ายแล้ว มีคนคิดที่จะเปิดทางเข้าโจรจากด้านข้างเข้าไป จนแน่ใจได้ว่าค่ายกลภายในเป็นเช่นไรและอยู่ตรงจุดใด ถึงสามารถเปิดประตูทางเข้าสุสานหลวงที่ซุกซ่อนมาหลายร้อยปีเข้าไปได้

เช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการพิสูจน์แล้วว่า ถานจี้จือมิได้หลอกพวกเขา แผนที่สมบัติลับที่ให้มานั้นเป็นแผนที่สมบัติลับของสุสานหลวงจริงๆ

ใบหน้าของคนที่ออกมาจากด้านในเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เป็นสุสานหลวงจริงๆ วังใต้ดินอยู่ห่างจากที่นี่ไปอีกไกลนัก สุสานหลวงแห่งนี้กว้างใหญ่ยิ่งนัก รีบไปรายงานนายท่านเร็ว!”

ไม่นาน ผู้คนจากทุกหนแห่งก็มาออกันอยู่เต็มไปหมด ไม่มีผู้ใดยอมต่อท้ายผู้ใดทั้งสิ้น

เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วมองทางเข้าตรงหน้า เอ่ยถามว่า “ที่นี่คือทางเข้าสุสานหลวงของอดีตปฐมฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นอย่างนั้นหรือ จะไม่ดูเล็กไปหน่อยหรือ”

มีคนจากฝูงชนคนหนึ่งก้าวขึ้นมาเอ่ยว่า “ซื่อจื่ออาจจะยังไม่รู้ สุสานแห่งนี้ไม่เหมือนกับสุสานหลวงที่อื่นๆ เดิมทีมิได้คิดที่จะให้ทายาทรุ่นหลังเข้ามากราบไหว้บูชาแต่แรกแล้ว ดังนั้นทางเข้าถึงได้มาอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลเช่นนี้ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเตรียมไว้เพื่อกันโจรปล้นสุสาน อีกอย่าง ทีนี่น่าจะมิใช่ทางเข้าเพียงทางเดียว จากที่ข้าน้อยคาดการณ์ดู จากที่นี่ไปถึงใจกลางพระราชวังใต้ดิน อย่างน้อยๆ ก็ห่างไปอีกสิบลี้”

เหลยเถิงเฟิงถึงได้พยักหน้า ก่อนปรายตามองไปยังองค์ชายเจ็ดและรัชทายาทแห่งเป่ยหรง รวมถึงหลีอ๋องแห่งต้าฉู่ ม่อจิ่งหลี แล้วคิ้วคมก็อดขมวดมุ่นเข้าหากันไม่ได้

เดิมที่ยังคิดว่าตนได้แผนที่สมบัติลับมาอย่างลับๆ แต่เมื่อหาจนพบถึงได้รู้ว่า ทุกคนต่างมีแผนที่สมบัติลับกันคนละชุด ยามนั้นเหลยเถิงเฟิงก็รู้ทันทีว่า พวกเขาคงโดนถานจี้จือเล่นเสียแล้วถึงแปดส่วน แต่แผนที่สมบัติลับนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นของจริง และพวกเขาก็หาสถานที่นั้นพบแล้ว หรือว่า…ถานจี้จือคิดจะให้พวกเขาเข่นฆ่ากันให้ตาย แล้วตนมาคอยตามเก็บผลประโยชน์ทีหลัง?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหลยเถิงเฟิงก็ถึงกับใจสั่น แต่ก็ยังไม่รีบร้อนจะเข้าไปในสุสานหลวง เขาอมยิ้มหันมองทุกคนที่จับจ้องมาที่ตน พร้อมเลิกคิ้วขึ้น “องค์รัชทายาท หลีอ๋อง องค์ชายเจ็ด ทุกท่านมีแผนการเช่นไรหรือ”

ทุกคนต่างมีสีหน้าต่างกันออกไป แต่ต่างสลัดตัวออกจากการป้องกันและการระแวดระวังของอีกฝ่ายไม่ออก พวกเขาต่างเกิดเป็นเชื้อพระวงศ์ ย่อมรู้ดีว่า เมื่อเข้าไปภายในสุสานแล้วจะต้องพบเจอกับสิ่งใด แต่หากให้ผู้อื่นแย่งเข้าไปก่อน…เรื่องแก้วแหวนเงินทองของมีค่ายังเป็นเรื่องรอง แต่หากให้ผู้อื่นแย่งแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นไปได้ก่อน เช่นนั้นคงยุ่งยากไม่น้อยจริงๆ

เยียหลี่ว์หงหัวเราะหึหึ ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวังและเฉียบแหลมไม่เหมือนกับคนทางเหนือ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเพียงแค่นึกสนใจใคร่รู้ในสุสานของฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นแห่งราชวงศ์ก่อนก็เท่านั้น ส่งคนเข้าไปสำรวจดูก็พอแล้ว”

เขาโบกมือ ชายที่แต่งตัวคล้ายองครักษ์กลุ่มหนึ่งก็เดินเข้าไปในทางเข้าก่อนทันที

เหลยเถิงเฟิงหรี่ตาทั้งสองข้างลง นัยน์ตามีประกายมืดครึ้ม พยักหน้าพร้อมเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คำพูดของรัชทายาทเยียหลี่ว์ช่างมีเหตุผลนัก ถึงแม้จะเป็นสุสานหลวง แต่อย่างไรก็ถือว่ามิใช่เรื่องมงคล พวกเราคงไม่ต้องเข้าไปสำรวจด้วยตนเอง เอาเถิด พวกเจ้าก็เข้าไปดูด้วยแล้วกัน กลับไปจะได้รายงานต่อเสด็จพ่อถูก”

กลุ่มคนในชุดสีเหลืองทองหันมากำหมัดประสานมือให้เหลยเถิงเฟิง แล้วจึงวิ่งตามเข้าไป

คนอื่นๆ ที่อยู่ ณ ที่นั้นอย่างเยียหลี่ว์หงต่างพากันอึ้งไป นั่นคือองครักษ์ชุดผ้าแพรของเจิ้นหนานอ๋อง ถึงขั้นติดตามเหลยเถิงเฟิงออกมาเชียวหรือ

เหลยเถิงเฟิงอมยิ้ม หันไปเอ่ยกับม่อจิ่งหลีว่า “ว่าอย่างไร หลีอ๋องไม่เข้าไปดูบ้างหรือ”

ม่อจิ่งหลีส่งเสียงหึเบาๆ “คนฉลาดย่อมไม่พาตนเองเข้าไปเสี่ยง กับอีแค่สุสานหลวง ข้าไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก” เขาเพียงยกมือขึ้น องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ตามเข้าไปทันที

เยียหลี่ว์หงที่อยู่ข้างๆ ย่อมไม่ยอมน้อยหน้า ส่งคนของตนเองเข้าสุสานหลวงไปเช่นกัน

ภายในมุมลับตาที่อยู่ห่างออกไป หานหมิงซีมองกลุ่มคนที่ยังรั้งรออยู่ที่ทางเข้าโดยไม่มีทีท่าว่าจะเข้าไป หรือมีทีท่าว่าจะกลับออกไป เมื่อเห็นเช่นนั้นก็อดมีน้ำโหขึ้นมาไม่ได้ “คนพวกนี้หมายความเช่นไรกัน ตัวเองไม่เข้าไปก็อย่าขวางทางคนอื่นเซ่”

“พวกเขาไม่เข้าไปหรอก” จู่ๆ หานหมิงเย่ว์ที่นั่งเงียบอยู่ข้างเขามาตลอดก็เอ่ยปากขึ้น

หานหมิงซีนิ่งไป หันกลับไปมองหานหมิงเย่ว์พร้อมเอ่ยถามว่า “ทำไมหรือ”

หานหมิงเย่ว์เหลือบมองเขา เอ่ยเรียบๆ ว่า “คนพวกนั้นเป็นผู้ใดกัน มิใช่รัชทายาทแห่งแคว้น ก็เป็นท่านอ๋อง เป็นซื่อจื่อ ทุกคนต่างมียศถาบรรดาศักดิ์และอิทธิพลอำนาจที่สูงส่ง ต่อให้คิดอยากได้ของที่อยู่ด้านใน ก็ไม่มีทางเข้าไปเสี่ยงภัยด้วยตนเองอยู่แล้ว หากเกิดสิ้นชีวิตไปก็เท่ากับไม่เหลืออันใดเลย”

หานหมิงซีก้มหน้าลงคิดเล็กน้อย ต้องยอมรับว่าที่พี่ใหญ่ของเขาพูดมามีเหตุผล แต่ขณะเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกหดหู่และโกรธเคืองมากขึ้นไปอีก “เช่นนั้นม่อซิวเหยาตั้งใจจะทำอันใดกันแน่ ให้ข้ามาคอยจับตาดูคนพวกนี้ว่าจะทำอันใดที่นี่อย่างนั้นหรือ หลอกข้าเล่นหรือ”

หานหมิงเย่ว์นิ่งเงียบไม่ตอบ ยามนี้เขาไม่มีความสนใจในทั้งม่อซิวเหยาและกลุ่มคนเหล่านั้น เขาหวังเพียงให้น้องชายของตนไม่เข้าไปตายที่นั่นก็พอ

“คุณชายหาน” จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกของบุรุษดังขึ้นที่ด้านหลังของพวกเขาห่างไปไม่ไกลนัก

หานหมิงซีถึงกับสะดุ้งตกใจ หันไปประจันหน้ากับบุรุษที่จู่ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นด้วยความระมัดระวัง บุรุษผู้นั้นอยู่ในชุดสีเขียวเข้ม ใบหน้าก็ทาสีเขียวไว้ด้วยเช่นเดียวกัน ถึงแม้เขาจะยืนอยู่นาน แต่หานหมิงซีก็ยังมองไม่ออกว่า หากคนผู้นี้ล้างหน้าล้าตาออกมาแล้ว หน้าตาจะเป็นเช่นไร

เขาขมวดคิ้วมุ่น แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูมิได้มีเจตนาร้าย ถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าคือผีตนใดกัน”

บุรุษผู้นั้นเอ่ยเสียงขรึมว่า “นายทหารใหม่ค่ายกิเลนฝึกหัด กลุ่มสิบสอง ได้รับคำสั่งจากหัวหน้ากลุ่มให้มารายงานคุณชายว่าหน่วยกิเลนกำลังปฏิบัติภารกิจ ขอเชิญคุณชายหานหลบไปก่อนขอรับ”

“ภารกิจ?” หานหมิงซีงุนงงอยู่เพียงครู่ ก็เข้าใจในทันที ชี้นิ้วไปยังกลุ่มคนที่ยืนเด่นอยู่ไกลๆ เอ่ยถามว่า “พวกเขา?”

บุรุษผู้นั้นก้มหน้านิ่งด้วยความเคร่งขรึม ประหนึ่งไม่ได้ยินสิ่งที่หานหมิงซีเอ่ยถาม

หานหมิงซีหรี่ตาลง ถามเขาด้วยความไม่พอใจว่า “หากข้าไม่หลบไปพวกเจ้าคิดจะทำอันใด”

บุรุษผู้นั้นก็ไม่เกรงใจ ยกมือขึ้นชี้นิ้วไปด้านหนึ่ง “จับตัวมา!”

ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมืออย่างหานหมิงซีหรือหานหมิงเย่ว์ก็ยังตั้งตัวไม่ทัน บุรุษร่างกายสูงใหญ่กำยำสิบกว่าคนกรูกันเข้ามา ล้อมพวกหานหมิงซีทั้งสองรวมถึงคนที่พวกเขาพามา จับมัดไว้พร้อมหาอะไรมายัดปากก่อนพาตัวออกไปทันที

ชั่วชีวิตของหานหมิงซี มีเพียงสมัยหนุ่มๆ ที่ถูกคนของสำนักใหญ่ๆ ภายในยุทธภพตามฆ่าเท่านั้น แต่ก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน สีหน้าจึงแดงก่ำขึ้นทันที ถึงแม้เขาจะถูกจับมัดเอามือไพล่หลังไว้ แต่ก็ยังดิ้นขลุกขลักไม่หยุด

บุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังเดินเข้ามาตบบ่าเขา พร้อมเอ่ยเสียงต่ำว่า “พี่หาน นี่ท่านไม่ให้ความร่วมมือเองนะ ข้าเองก็จนใจ วางใจเถิด อย่างมากไม่เกินสองชั่วยามก็จะปล่อยพวกท่านไป พวกเราพี่น้องต่างก็ทำตามคำสั่งของพระชายา อย่าได้ถือโทษกันเลย”

หานหมิงซีหันกลับไปมองด้วยความโกรธเคือง เขาก็แค่พลั้งปากพูดไปอย่างนั้น ผู้ใดจะรู้ว่าพวกบ้าพวกนี้จะเอาจริงขึ้นมาเล่า

เมื่อหันไปมองก็เห็นว่า บุรุษคนที่ทาหน้าเสียจนเหมือนภูตผี ช่างดูคุ้นหน้าเสียเหลือเกิน “อื้อๆๆ…” สวีชิงเฟิง!

สวีชิงเฟิงยิ้มจนเห็นฟันขาว “พี่หาน ล่วงเกินแล้ว ไว้รอให้เสร็จสิ้นภารกิจเสียก่อน ข้าจะขอเลี้ยงสุราท่านเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน”

“อื้อๆๆ!” ดื่มกับน้องเจ้าสิ! คนตระกูลสวีของพวกเจ้าไม่มีผู้ใดจิตใจดีสักคน!

สวีชิงเฟิงเพียงทำเป็นไม่เห็นไฟแห่งความโกรธในดวงตาของเขา โบกมือให้ลูกน้องมานำตัวพวกเขาไปซ่อนไว้ ไม่ให้มากระทบกับภารกิจของตน เช่นนี้แล คุณชายเฟิงเย่ว์ผู้มากล้นด้วยเสน่ห์จึงถูกกรรมตามสนองเป็นครั้งแรกในชีวิต

ด้วยเพราะคณะของสวีชิงเฟิงอยู่ในระหว่างปฏิบัติภารกิจ จึงมิอาจแบ่งคนจับพวกเขากลับไปส่งได้ ทำได้เพียงจับพวกเขาไปไว้ยังถ้ำที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง ตัดกิ่งไม้ใบหญ้ามาทำเป็นที่พรางตาไว้แล้วจากไป ทิ้งให้หานหมิงซีนอนถลึงตาด่าทอมารดาบุพการีอยู่ใต้ต้นไม้เหล่านั้น

เมื่อจัดการหานหมิงซีได้แล้ว สวีชิงเฟิงถึงได้ปีนขึ้นเนินเขาไปมองสำรวจความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่อยู่หน้าทางเข้าสุสานหลวงด้วยความสบายใจ มิใช่เพราะเขาคิดอยากเป็นอริกับหานหมิงซี เพียงแต่จุดที่เจ้าหานหมิงซีเลือกมาปักหลักอยู่นั้นดีเกินไปจริงๆ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่เขาต้องการพอดิบพอดี

เมื่อได้มาเผชิญหน้ากับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นรัชทายาท ท่านอ๋องและซื่อจื่อ นัยน์ตาสวีชิงเฟิงก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและยินดี การใช้ชีวิตเช่นนี้สนุกกว่าการอยู่กับบ้านร่ำเรียนหนังสือหรือเป็นขุนนางเสียเป็นไหนๆ

“หัวหน้า คนด้านนอกนั่นจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือแค่เจ้าพวกนั้น จะเข้าไปตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ”

สมาชิกในกลุ่มคนหนึ่งปีนขึ้นมาอยู่ข้างกายสวีชิงเฟิงเงียบๆ พร้อมกระซิบถาม

สวีชิงเฟิงส่ายหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “คนพวกนั้นแต่ละคนมีฐานะสูงส่ง ซ้ำยังกลัวตายเสียยิ่งกว่าอะไร รอบๆ ก็ยังมีองครักษ์อยู่อีกหลายร้อยคน แล้วยัง…เหลยเถิงเฟิง เยียหลี่ว์เหยี่ย เยียหลี่ว์หงกับม่อจิ่งหลี ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ หากเกิดปล่อยให้คนใดคนหนึ่งเล็ดรอดไปได้ ความพยายามทั้งหมดก็เท่ากับสูญเปล่า ไว้รอให้คนอื่นๆ มาถึงพร้อมกันก่อนค่อยลงมือ”

“พวกเรามาถึงก่อนเป็นกลุ่มแรก เหตุใด…” นายทหารหนุ่มเลือดร้อนดูมีท่าทีไม่ยินยอม พวกเขาเป็นคนที่มาถึงก่อน หากพวกเขาจับคนกลุ่มนี้ได้ ก็เท่ากับว่ากลุ่มของพวกเขาก็เป็นที่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

สวีชิงเฉินยกมือตีเข้าที่หน้าผากเขาทีหนึ่ง “พวกเรามีกันอยู่แค่สิบกว่าคน หากต้องรับมือกับคนจำนวนมากเช่นนี้คงไม่ง่าย หากปล่อยให้หลุดรอดไปได้คนหนึ่งจะทำอย่างไร อย่าลืมคำสั่งของพระชายากับผู้บัญชาการฉินสิ”

จับมาให้ได้ทั้งหมดหรือไม่ก็ฆ่าตายเสีย หากหลุดจากแหไปได้ตัวหนึ่งก็เท่ากับล้มเหลว

นายทหารหนุ่มยกมือลูบหน้าผาก ยอมหมอบกลับลงไปแต่โดยตี

ไม่นาน บนหน้าผาฝั่งตรงข้ามก็มีบางอย่างแวบผ่านไป ดวงตาสวีชิงเฟิงเป็นประกายทันที กัดหญ้าพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ดูสิ ผู้ใดมากัน”

นายทหารหนุ่มปีนขึ้นมามองสำรวจโดยรอบ จุดที่เขาอยู่นั้นถือว่าไม่เลว ไม่เพียงมองเป้าหมายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน หน้าผาฝั่งตรงข้ามและด้านข้างทั้งสองด้านก็มองเห็นอย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน

นายทหารหนุ่มหัวเราะหึหึ เอ่ยรายงานกับสวีชิงเฟิงว่า “กลุ่มย่อยทั้งสิบหกกลุ่มมาถึงแล้วขอรับ กลุ่มเจ็ดและกลุ่มสิบหา กระจายกำลังกันปิดล้อมทางน้ำทั้งขาขึ้นและขาลงไว้แล้ว ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ กระจายกันอยู่รอบๆ ขอรับ”

สวีชิงเฟิงพยักหน้าด้วยความพอใจ “บอกให้พี่น้องทุกคนเตรียมตัวให้ดี ทำตามแผนเดิม พี่น้องคนอื่นๆ ล้อมคนพวกนี้ไว้ บุกเข้าไปตรงกลางด้วยรูปแบบพรม อย่าให้เล็ดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว หลังจากกลุ่มย่อยทั้งหมดกลับมารวมตัวกันแล้ว ให้ฟังคำสั่งของรองหัวหน้ากลุ่ม ข้ากับหัวหน้าหน่วยคนอื่นๆ จะช่วยกันจับตัวคนพวกนั้นเอาไว้”

“ขอรับ!”

ในขณะที่คณะของเหลยเถิงเฟิงที่อยู่ด้านล่างหุบเขา กำลังเตรียมรับมือกันอีกฝ่ายด้วยความระมัดระวังนั้นเอง พวกเขาไม่รู้เลยว่ามีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังกำจัดคนนับพันของพวกเขาที่กระจายตัวอยู่บริเวณโดยรอบอย่างไร้ซุ่มเสียง และค่อยๆ คืบคลานเข้าใกล้พวกเขาเข้ามาเรื่อยๆ

เหลยเถิงเฟิงกำลังนั่งพิงต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ สายตาคอยกวาดไปทางคณะของเยียหลี่ว์เหยี่ย ในใจกำลังลอบนึกว่า หากคนที่ได้แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นไปมิใช่คนของตน จำนวนคนที่เขาพามาจะเพียงพอที่จะแย่งแท่นประทับหยกไปได้หรือไม่ และหากเป็นคนของตนที่ได้แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นไป พวกเขาจะหลบหลีกวงล้อมนี้ออกไปได้อย่างไร

ในขณะที่เขากำลังใช้ความคิดอยู่นี้ คนอื่นๆ ก็ย่อมไม่นั่งเฉย เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง จึงพบกับสายตาระแวดระวังของม่อจิ่งหลี เหลยเถิงเฟิงส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้ม่อจิ่งหลี แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเฉยทำประหนึ่งมองไม่เห็น ซึ่งเหลยเถิงเฟิงก็มิได้สนใจ เขากับเสด็จพ่อเคยวิเคราะห์ม่อจิ่งหลีผู้นี้ไว้เสียนานแล้ว ซึ่งเห็นพ้องต้องกันว่า คนผู้นี้ยากที่จะกลายเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ได้ ไม่ควรค่าแก่การสนใจ