บทที่ 357 มีแผนลับอะไร

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

แม้ว่าอากาศในจงตูจะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยและเร็วกว่าปกติ แต่ก็ยังอยู่ในช่วงที่ยอมรับได้ ทุกเช้าและเย็น น้ำในแม่น้ำจะแข็งค้างประมาณครึ่งนิ้ว ตอนเที่ยงก็จะละลายหายไปจนหมด

ซือหม่าชั่วระงับความกังวลในใจ รออีกสามวันตามแผนเดิม

“รายงานขอรับ…กองทัพเว่ยสองหมื่นนายออกจากนครแล้ว! กำลังขุดลอกแม่น้ำฝั่งตะวันออกของนคร ทางเรามีแม่ทัพไป๋เป็นผู้นำทัพ” หัวหน้ากองซือหม่ารายงาน “แม่ทัพไป๋กำลังต่อสู้กับกองทัพเว่ยหนึ่งหมื่นนายอย่างดุเดือด แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เหนือกว่า แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งกองทัพเว่ยอีกครึ่งหนึ่งจากการขุดลอกแม่น้ำได้ จึงส่งสารขอรับการสนับสนุนขอรับ!”

แววตาของซือหม่าชั่วสั่นไหว จะต้องเป็นเพราะว่ากองทัพเว่ยเห็นว่าฝั่งใต้มีการควบคุมที่หนาแน่นเกินไป จึงเริ่มลงมือทางฝั่งตะวันออก! ในเวลานี้หากกำลังเสริมของกองทัพเว่ยมาถึงก็จะถูกโจมตีจากทั้งสองฝั่ง แม้ว่าจะมีทหารหนึ่งแสนนายกองทัพทั้งหมดก็อาจจะถูกกวาดล้างก็เป็นได้

ดูจากปริมาณน้ำในตอนนี้แล้ว เมื่อแม่น้ำฝั่งตะวันออกแตกออก มันจะไม่สร้างความเสียหายให้กับค่ายทหารของกองทัพฉินแต่กลับสามารถแก้ปัญหาความจำเป็นเร่งด่วนได้ ซือหม่าชั่วตัดสินใจว่าเขาจะส่งคนไปอุดช่องว่างในภายหลัง ไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วในตอนนี้ “ติดต่อหน่วยสอดแนมที่ซุ่มอยู่ในฝั่งตะวันออก! ให้รายงานสถานการณ์ทางทหารโดยเร็วที่สุด!”

“ขอรับ!”

ซือหม่าชั่วยินเอามือไพร่หลัง เงียบงันเนิ่นนานก่อนที่จะหมุนตัวหันไปมองดาบยาวที่วางอยู่บนหิ้ง ดาบเล่มนี้ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันกับเขามานานกว่าสิบปี ใบมีดที่เหมือนหิมะในตอนแรกได้เปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ เมื่อเขาเห็นดังนั้นหัวใจของเขาก็ค่อยๆ สงบลง

ในไม่ช้าข่าวก็มาจากหน่วยสอดแนมทางตะวันออก – กองทัพเว่ยไม่มีกำลังเสริม!

ทันใดนั้นซือหม่าชั่วก็ตัดสินใจส่งทหารม้าสองหมื่นตัวออกไปทันที

“ท่านแม่ทัพใหญ่!” ซ่งชูอีรีบรุดเข้ามา “ข้าขอให้ท่านส่งคนไปอีกสามหมื่นนายเพื่อกวาดล้างกองทัพเว่ย!”

“เหตุผลคืออะไร?” ซือหม่าชั่วไม่เข้าใจ กองทัพฉินมีฝีมือยอดเยี่ยม เพียงสามหมื่นคนก็เพียงพอที่จะเอาชนะกองทัพเว่ยสองหมื่นนายได้ ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพเว่ยยังมีทหารหนึ่งหมื่นนายที่กำลังยุ่งอยู่กับการขุดลอกแม่น้ำ!

ซ่งชูอีเอ่ย “กำลังส่วนใหญ่ของกองทัพเว่ยเป็นคนของหลี่ว์จี้ หลี่ว์จี้กำลังขัดแย้งกับหมิ่นฉือ ถ้าเขาเห็นหมิ่นฉือทำอะไรอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ เป็นไปได้เสียเก้าส่วนว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะแตกสลาย พวกเราบีบให้กองทัพเว่ยถอยทัพกลับไปอย่างรวดเร็ว หากทหารรักษาการณ์ของกองทัพเว่ยเปิดประตูนครก็จะดี หากไม่เปิดก็ต้องฝ่าทหารเข้าไป”

หากกองทัพฉินมีเพียงสามหมื่นนาย แม่ทัพของกองทัพเว่ยอาจจะรู้สึกว่าพวกเขายังสามารถต้านทานได้สักพักและไม่จำเป็นต้องถอยโดยเร็ว แต่เมื่อกองทัพฉินมีมากกว่ากองทัพเว่ยหลายเท่า น้อยมากที่แม่ทัพจะเลือกวิธีที่เกินขีดจำกัดของตน นอกเสียจากว่าทั้งสองหมื่นนายเป็นทหารพลีชีพ!

และซ่งชูอีเชื่อว่าหมิ่นฉือไม่สามารถโน้มน้าวสองหมื่นคนให้ตายได้ในขณะนี้!

“นี่อาจจะเป็นกลอุบายของหมิ่นจื๋อห่วนในการล่อศัตรู?” ซือหม่าชั่วเอ่ย

“ดังนั้นพวกเราจะวางแผนซ้อนแผน” ซ่งชูอีเดินไปที่แผนที่ วาดเส้นทางสายหนึ่งด้วยนิ้ว “เวลาโจมตีนครตามแผนเดิมของเราคือวันมะรืน ถ้ากองทัพเว่ยถอยเข้าเมืองก็ให้แม่ทัพไป๋ไล่ล่าตามไป วิ่งตรงไปทางทิศใต้ของนครตามคูเมืองและเข้าสมทบกับพวกเราเพื่อโจมตีจากทางใต้ของนคร!”

ซือหม่าชั่วเอ่ย “เยี่ยม แม่ทัพไป๋ทั้งฉลาดและกล้าหาญ บรรลุความรับผิดชอบใหญ่ได้แน่”

เรื่องนี้จำต้องมอบความไว้วางใจให้กับบุคคลดังกล่าวแล้ว

ซือหม่าชั่วพิจารณาอยู่นานและในที่สุดก็ตัดสินใจส่งทหารม้าเพิ่มอีกสามหมื่นนายไปทางทิศตะวันออกของนครเพื่อสนับสนุน

กลยุทธ์ของซ่งชูอีดูกล้าหาญและสุ่มเสี่ยงมาก ซือหม่าชั่วเข้าใจว่าเบื้องหลังทั้งหมดมีการวางแผนและคำนวณโดยละเอียดแล้ว นางไม่ใช่คนชอบผจญภัย อย่างไรก็ตามนายพลระดับต่ำอาจไม่สามารถเข้าใจได้ทุกคน ต้องอาศัยบารมีของเขาในกองทัพเท่านั้นจึงจะสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น ดังนั้นเขาจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างความน่าเชื่อถือในกองทัพเสมอมาและมั่นใจว่าทุกการตัดสินใจของตนจะไม่พลาด

นี่คือจุดที่ซ่งชูอีชื่นชมซือหม่าชั่ว เขาเป็นคนที่ปรับเปลี่ยนบทบาทได้ตามกาลเทศะและสถานการณ์ ตอนนั้นเขาสามารถนำกองทัพห้าพันนายเอาชนะกองทัพเว่ยสามหมื่นนายได้โดยอาศัยกลยุทธ์ จิตวิญญาณของทหารและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ อีกทั้งบัดนี้ยังมีนักวางแผนเยี่ยงซ่งชูอีอยู่ในกองทัพ เขาจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างบารมีชนะใจกองทัพ ปฏิบัติตนเป็นผู้คุมสถานการณ์ เดินไปตามเส้นอย่างมั่นคง ให้ความรู้สึกแก่ทหารว่าตราบใดที่กลยุทธ์ได้รับการอนุมัติจากเขามันก็จะไม่มีทางผิดพลาด

“ครั้งนี้ ข้าขอข้ามแม่น้ำไปสั่งการด้วยตัวเอง” ซ่งชูอีกล่าวขึ้นทันใด

ซือหม่าชั่วมองนาง เงียบงันครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยว่า “ข้ารับปากท่านอ๋องกับแม่ทัพเจ้าว่าจะไม่ปล่อยให้ท่านไปเสี่ยงอันตราย”

จากน้ำเสียงและการแสดงออกของซือหม่าชั่ว ซ่งชูอีรู้ว่าเขารู้เพศของนางเสียแปดส่วนแล้ว “ข้าเป็นขุนนางแห่งรัฐฉิน! เป็นผู้ช่วยที่คอยช่วยเหลือท่าน! หากต้องตายในสนามรบก็เท่ากับข้าซ่งหวยจินไร้ความสามารถ จะหลบๆ ซ่อนๆ ได้อย่างไร!”

“ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งและหลีกเลี่ยงจุดอ่อน เหตุผลง่ายๆ เยี่ยงนี้ ทุกคนจะถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน” ดวงตาที่แคบและยาวของเขาเป็นประกายน่ากลัว ราวกับว่าสามารถมองเห็นความลับของมุมที่ลึกที่สุดในใจของผู้คนได้อย่างรวดเร็ว “ข้านึกว่าท่านมีจิตใจที่สงบนิ่งมาโดยตลอดเสียอีก สิ่งใดกันที่รบกวนจิตใจของท่าน?”

ซ่งชูอีเม้มปาก

เมื่อซือหม่าชั่วเห็นสายตาแน่วแน่ของนางก็หันกลับมาและดึงดาบยาวออกมาจากบนหิ้ง แสงเย็นส่องแสงวูบวาบ ใบมีดวางขวางห่างจากใบหน้าของนางครึ่งนิ้ว

เขารวดเร็วมากจนมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเขา ซ่งชูอีได้ยินแม้กระทั่งเสียงของสายลมก็สามารถจินตนาการได้ว่ามันทรงพลังเพียงใด

“หากกั๋วเว่ยสามารถใช้ดาบเล่มนี้เอาชนะข้าที่สู้ด้วยมือเปล่าได้ ข้าก็จะเต็มใจที่จะผิดสัญญากับท่านอ๋องและท่านแม่ทัพเจ้า” แต่ละคำพูดของซือหม่าชั่วคมคาย ไม่มีท่าทีของการเย้าเล่นเลย

ใช่ว่าซือหม่าชั่วดูถูกซ่งชูอี ก่อนที่นางจะถูกคุมขังในหลุมฝังศพไม่แน่ว่าอาจเอาชนะซือหม่าชั่วสักกระบวนท่าได้จากการอาศัยกำลังสองส่วนและสติปัญญาเสียแปดส่วน ทว่าบัดนี้อย่าว่าแต่หนึ่งกระบวนท่าเลย แม้แต่ครึ่งกระบวนท่าก็ทำไม่ได้แล้ว

หลังจากที่ซ่งชูอีข้ามแม่น้ำไปแล้วก็ยังคงต้องทำหน้าที่บังคับบัญชา ไม่จำเป็นต้องนำทัพออกไปฆ่า ทว่าการอยู่แนวหน้านั้น ทันทีที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลง เป้าหมายแรกของศัตรูย่อมเป็นนาง

แข็งค้างไปไม่กี่อึดใจ ซือหม่าชั่วก็วางดาบลง “ในเมื่อท่านยังรู้ตัวว่าตัวเองเป็นกั๋วเว่ยแห่งต้าฉินและเป็นผู้ช่วยของข้า เช่นนั้นก็อย่าให้ข้าดูถูกเชียว!”

ซ่งชูอียกมือขึ้นลูบหน้าผาก ประสานมือคำนับซือหม่าชั่วจากนั้นก็หมุนตัวจากไป

เมื่อเดินไปถึงน้ากระโจมนางก็หยุดกึก “ขอบคุณ”

แสงส่องเข้ามาจากข้างนอกทำให้เค้าโครงร่างที่เพรียวบางอยู่แล้วยิ่งบางลง นางไม่ได้หันกลับมา ทว่าซือหม่าชั่วสามารถบอกได้จากน้ำเสียงสงบนิ่งที่เจือปนความเหนื่อยล้าดังเช่นปกติของนางว่านางได้ใจเย็นลงมาแล้วจริงๆ

เมื่อเดินออกจากกระโจม ซ่งชูอีก็ได้ยินเสียงการต่อสู้แผ่วเบาจากระยะไกล หัวใจของนางก็สงบมากขึ้น

จวบจนปัจจุบันนางเอาแต่ใจเช่นนี้มาสองครั้งแล้ว ยกเว้นครั้งนี้ก็มีครั้งก่อนที่ยอมเสี่ยงตายเพื่อเก็บลูกของตนเอาไว้ แต่ในขณะที่นางกำลังดื้อดึงอยู่นั้น ในใจก็เหมือนกับมีกระจกสะท้อน

ทั้งๆ ที่รู้ตอนจบ แต่นางก็อดที่จะสู้สักตั้งไม่ได้ เพราะว่ามันเจ็บปวดเกินไป เจ็บจนเสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก

แน่นอนว่าการที่กองทัพเว่ยออกมาทางตะวันออกของนครนั้นเป็นแผนล่อศัตรู แม่ทัพไป๋ไล่ตามกำแพงเมืองออกไปหนึ่งร้อยจั้งแล้วกลับไปที่คูเมืองทันที เพื่อถมช่องว่างในริมฝั่งแม่น้ำที่ทหารเว่ยขุดลอกกลับไปอีกครั้ง จากนั้นก็ตัดสายสะพานทางตะวันออกของนครทิ้ง

สายของสะพานบนคูเมืองทางตะวันตกก็ถูกทำลายโดยซือหม่าชั่วเช่นกัน สะพานที่เปิดออกทางประตูทางทิศเหนือนั้นมีไว้เพื่อให้คนในนครหลบหนี

เที่ยงของวันต่อมา กองทัพฉินก็บุกโจมตีนครจงตูอย่างเป็นทางการ

ท้ายที่สุดซือหม่าชั่วก็ยังเข้าใจอารมณ์ของซ่งชูอี เขาอยู่ในส่วนกลางของกองทัพเพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวมและรับผิดชอบในการควบคุมสะพานแม่น้ำเฝิน ส่งซ่งชูอีเป็นทหารกองหนุนที่คูเมืองฝั่งใต้

ซ่งชูอียืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ครู่หนึ่ง สามารถมองเห็นอีกด้านหนึ่งของแม่น้ำได้เพียงกวาดตา กองทัพฉินดำมะทึนกำลังพุ่งเข้าหาหอคอยราวกับกระแสน้ำ เสียงตะโกนฆ่านั้นดังกึกก้องราวกับฟ้าร้องในวันที่แห้งแล้ง มีฝนลูกศรพุ่งเข้ามาจากบนหอคอยอย่างหนาแน่น แม้ว่ากองทัพฉินจะมีโล่แต่ผู้คนก็ล้มลงเป็นครั้งคราว

กองทัพสีดำถูกฝนลูกศรบังคับให้อยู่ห่างจากกำแพงเมืองออกไปสามจั้ง

กองทัพฉินตั้งขบวนหน้าไม้เสริมอยู่บนเนินดินริมฝั่งแม่น้ำ ด้วยตามคำสั่งของผู้นำทัพ กองทัพฉินก็เปิดการโจมตีด้วยฝนลูกศร

ธนูและหน้าไม้ของรัฐฉินนั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดารัฐต่างๆ บวกกับหน้าไม้กลที่เพิ่งได้มาใหม่ กำลังก็ยิ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่า! ทหารเว่ยไม่สามารถเข้าถึงด้วยลูกศร ทว่ารัฐฉินสามารถเข้าถึงได้ด้วยลูกศร ยิ่งไปกว่านั้นทหารฉินสามารถยิงลูกศรได้สิบลูกติดต่อกันในแต่ละครั้ง ทหารเว่ยกลับต้องเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา

หลังจากชะงักงันไปสองเค่อ กองทัพเว่ยก็แสดงอาการคลายตัว กองทัพฉินจึงถือโอกาสเข้าใกล้

จากมุมมองของซ่งชูอี ลูกศรดูคล้ายฝูงผึ้งในท้องฟ้า

ซ่งชูอีละสายตากลับมา นางได้ตรวจสอบภูมิประเทศอย่างรอบคอบแล้ว ก่อนที่จะลงไปจากหอเฝ้าระวังก็เพียงมองภูมิประเทศใกล้เคียงไปตามปกติวิสัย ครั้นเห็นคูเมืองนางก็หยุดชะงัก

แควถูกปิดกั้น ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้น ทว่ามันเพิ่มขึ้นเร็วเกินไปแล้ว!

ซ่งชูอีรีบลงมาทันที “ทหาร!”

“ขอรับ!” หัวหน้ากองซือหม่าที่เฝ้าอยู่ด้านล่างตอบสนองทันใด

“ส่งคนไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับแควคูเมือง! สั่งคนว่าต้องขุดลอกแม่น้ำ” ซ่งชูอีสั่ง

“ขอรับ!”

ซ่งชูอีลังเลครู่หนึ่งและนำทหารที่มีความสามารถดีนายหนึ่งมาที่หอสังเกตการณ์อีกครั้ง

“มองดูให้ละเอียด อีกฝั่งของแม่น้ำมีบางอย่างผิดปกติหรือไม่?” ซ่งชูอีมองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างคลุมเครือตั้งแต่ครั้งที่คิ้วของนางได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้ในระยะใกล้

ทหารนายนั้นมองดูฝั่งตรงข้ามอย่างระมัดระวังหลายรอบ “เรียนกั๋วเว่ย ข้าน้อยไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติขอรับ”

ซ่งชูอียกมือขึ้นตบราวจับเบาๆ หรี่ตาเพื่อพยายามมองเห็นให้ชัดเจนขึ้น พบว่ามันเป็นการเสียแรงเปล่า ได้แต่กล่าวว่า “เจ้าสังเกตการณ์อยู่ที่นี่ต่อไป และรายงานทันทีที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติเพียงเล็กน้อย”

“ขอรับ!” นายทหารตอบรับ

ซ่งชูอีลงไปข้างล่างอีกครั้งและพบกับผู้ส่งสารที่ปรี่เข้ามาพอดี “กั๋วเว่ยขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่สั่งให้ข้าน้อยมาส่งสารว่าทหารรักษาการณ์ที่อันอี้เริ่มทำสงครามกับท่านแม่ทัพเจ้าแล้ว”

“สถานการณ์เป็นอย่างไร?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

“แม้ว่ากองทหารของแม่ทัพเจ้าจะน้อยกว่ากองทหารของอันอี้ แต่ทั้งสองฝ่ายอยู่ในทางตัน ฝีมือสูสีขอรับ”

ซ่งชูอีพยักหน้า “ท่านแม่ทัพใหญ่มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”

ผู้ส่งสารกล่าว “ไม่มีขอรับ”

“เช่นนั้นเจ้ากลับไปบอกท่านแม่ทัพใหญ่ว่าข้ารู้แล้ว” ซ่งชูอีเอ่ย

“ขอรับ!”

ตกกลางคืน

การโจมตีนครยังคงดำเนินต่อไป

ซ่งชูอีพาคนไปที่ริมแม่น้ำเพื่อสังเกตระดับน้ำด้วยตัวเอง ยังเหลืออีกเจ็ดถึงแปดนิ้วก่อนที่น้ำจะแตกออก ริมฝั่งแม่น้ำบางแห่งในที่ลุ่มต่ำเริ่มล้นแล้ว เมื่อลมหนาวพัดมา ชั้นน้ำแข็งบางๆ ก็ก่อตัวขึ้นบนผิวน้ำ ป้องกันไม่ให้กระแสน้ำจำนวนมหาศาลไหลออกไปชั่วขณะ

“เป็นไปไม่ได้!” ซ่งชูอีพึมพำ

เห็นได้ชัดว่าก่อนการโจมตีนครก็ได้สั่งขุดลอกและปิดกั้นสาขาลำน้ำแล้ว แม้ว่าจะขุดลอกได้ยาก แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นนี่นา!

“กู่ฉิง ส่งคนให้ส่งสารถึงท่านแม่ทัพใหญ่ บอกว่าระดับน้ำในคูเมืองสูงขึ้น โปรดให้เขาเตรียมตัวให้ดี” ซ่งชูอีเอ่ย

“ขอรับ!”

ซ่งชูอีมีลางสังหรณ์อยู่เสมอ ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นกลยุทธ์ของหมิ่นฉือ แต่ชั่วขณะหนึ่งกลับเดาไม่ออกว่าเขาวางแผนจะทำอะไร

กลับไปในกระโจม ซ่งชูอีกางแผนที่พื้นที่ภายในของจงตูออกพร้อมใคร่ครวญอย่างจริงจัง

แผนที่นี้ละเอียดยิบแต่เป็นแผนที่เมื่อห้าหรือหกปีที่แล้ว ใครจะรู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา?

“จงตู…จงตู…” ซ่งชูอีนวดคลึงศีรษะที่เจ็บปวด เสียงการต่อสู้จากภายนอกที่ลอยเข้าหูทำให้คิ้วของนางเจ็บแปลบ