ตอนที่ 45 ออกจากสำนัก

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 45

ออกจากสำนัก

 

หลังจากการประลองสามสำนักจบลง เหล่าศิษย์ของแต่ละสำนักต่างก็พูดคุยเรื่องของไป๋จูเหวินและอู๋หมิงเสียยกใหญ่ บ้างวิจารณ์เรื่องผลแพ้ชนะบ้างวิจารณ์เรื่องการต่อสู้ แม้ไป๋จูเหวินจะกลับมายังสำนักแล้วเรื่องของมันก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วจนคนในสำนักต่างมองมันด้วยสายตานับถือยิ่งกว่าตอนมันกลายเป็นศิษย์เอกของสำนักธารโลหิตเสียอีก

“น้องไป๋ เจ้าอยู่นี่เอง”ขณะนั่งอยู่ที่หน้าหอตะวันออก อยู่ๆซูฮวาก็เดินเข้ามาพลางส่งเสียงทักทายพร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม

“พี่ซูฮวา วันนี้มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองซูฮวาที่มีท่าทีประหม่ากว่าปกติ

“ข้าไม่มีธุระแล้วจะมาไม่ได้หรือไง”ซูฮวาถามพลางนั่งลงข้างๆไป๋จูเหวิน

“ในเมื่อพี่ฮั่วเจียนไม่ได้สั่งให้ท่านมาตีสนิทข้าแล้ว เหตุใดท่านถึงยังมาหาข้าอีกล่ะ”ไป๋จูเหวินถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“จะ เจ้ารู้…”ซูฮวาเบิกตากว้างด้วยสีหน้าตกตะลึง ถึงนางจะแสดงไม่ได้เนียนมากมายแต่นางไม่คิดเลยว่าไป๋จูเหวินจะรู้อยู่แล้วเพราะเขาไม่มีท่าทีต่อต้านอะไรนางเลยนี่นา

“ท่านสมควรถามมากกว่าว่าข้าต้องเป็นคนเช่นไรถึงจะไม่รู้”ไป๋จูเหวินถอนหายใจออกมา เพราะการมาตีสนิทของซูฮวาเป็นเรื่องที่น่าสงสัยเป็นที่สุด ชนิดที่ว่าพวกศิษย์พี่ใหญ่มองพริบตาเดียวก็ดูออก แล้วคิดว่าไป๋จูเหวินจะดูไม่ออกเชียวหรือ

“หากวันแรกท่านไม่ยืนรอข้าที่ชั้นหนังสือนับสิบนาที ข้าอาจจะพอเชื่อท่านบ้างล่ะนะ”ไป๋จูเหวินพูดพลางนึกถึงวันแรกที่ซูฮวาแกล้งล้มใส่ตนเอง ตัวไป๋จูเหวินสามารถสัมผัสสิ่งรอบตัวได้มีหรือจะไม่ทราบว่านางยืนอยู่ตรงนั้นมาพักใหญ่แล้ว

“นี่เจ้า…..”ซูฮวาค้อนขวับทันทีเมื่อไป๋จูเหวินต่อว่าเรื่องความสามารถด้านการหลอกลวงของนาง แต่เพราะนางทำได้แย่มากจริงๆนางเลยไม่มีอะไรจะเถียง

“แล้วเจ้าไม่ต่อว่าข้าหรือ”ซูฮวาถามพลางมองไป๋จูเหวินจากด้านข้าง

“อาจจเพราะทักษะการสืบข่าวของท่านไม่ได้ดีไปกว่าทักษะการแสดง ข้าเลยปล่อยท่านทำตามสบาย”ไป๋จูเหวินนึกภาพซูฮวาที่เข้ามาหาตนแล้วก็แอบหัวเราะออกมา นางคงถูกสั่งให้มาหาความลับของไป๋จูเหวินอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่พอเริ่มฝึกวิชาให้นางก็เริ่มตั้งใจเรียนเสียอย่างนั้น กลายเป็นว่าแทนที่นางจะมาดูไป๋จูเหวินฝึกซ้อมนางกลับมาให้ไป๋จูเหวินชี้แนะเสียมากกว่า เห็นสายสืบของฮั่วเจียนทำตัวไร้สาระเช่นนี้ไป๋จูเหวินก็ไม่รู้จะไล่นางไปทำไม แถมตอนนั้นมันก็ได้ประโยชน์จากการสอนซูฮวาจริงๆอย่างที่มันบอก

“เจ้าอย่าพูดตรงนักสิ”ซูฮวาทำหน้ามุ่ยพลางบ่นออกมาว่านางเป็นแค่สาวใช้จะให้มาสืบข่าวอะไรนั่นนางไม่เคยทำเสียหน่อย

“แล้ว วันนี้ท่านมาหาข้าทำไมกัน”ไป๋จูเหวินถามพลางมองซูฮวาที่กำลังบ่นกับตัวเองอยู่

“ตอนแรกข้ากะจะมาขอโทษ แต่เจ้ารู้อยู่แล้วคงไม่จำเป็นแล้วล่ะ”ซูฮวาว่าพลางยักไหล่ของตนเอง พอฮั่วเจียนได้เห็นการประลองระหว่างไป๋จูเหวินและอู๋หมิงตัวมันก็ราวกับได้สติ มันกลับไปตั้งใจฝึกฝนเช่นเมื่อก่อนและไม่มีท่าทีอยากหาความลับของไป๋จูเหวินอีกเลย แถมมันยังจริงจังกว่าแต่ก่อนมาก ไม่มีท่าทีคิดว่าตนเองอยู่สูงเหนือใครอีกแล้ว

“ศิษย์น้อง ท่านเจ้าสำนักให้ข้ามาตามเจ้า”ขณะกำลังพูดคุยอยู่กับซูฮวา เฟิงชิวก็เดินเข้ามาหาพร้อมแจ้งข่าวในทันทีโดยไม่รอให้คุยกับซูฮวาจบ เพราะเรื่องนี่เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว

“ท่านเจ้าสำนัก?”ไป๋จูเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็พอจะเดาได้ว่าท่านเจ้าสำนักตามตัวมันไปทำไม

“ใช่ พวกท่านรออยู่ที่หอตำรา รีบมาเถอะ”เฟิงชิวพูดพลางนำไป๋จูเหวินไปก่อน ทำให้ไป๋จูเหวินหันกลับมามองซูฮวา

“ข้าต้องไปแล้ว”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มออกมา

“อืม..ลาก่อนศิษย์น้อง”ซูฮวาว่าพลางยิ้มรับด้วยใบหน้าหมองคล้ำ

“ข้าไม่ได้ไปไหนสักหน่อย ทำไมท่านถึงใช้คำว่าลาก่อนล่ะ”ไป๋จูเหวินหัวเราะพลางมองสีหน้าของซูฮวาที่ยังหมองหม่นเช่นเดิม

“ลาก่อนนั่นละ ถูกแล้ว”ซูฮวายิ้มทั้งๆที่ใบหน้ายังมีท่าทีเสียใจอยู่ ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋จูเหวินจางหายไป

“ถูกของท่าน”ไป๋จูเหวินไม่ได้หันกลับไปมองซูฮวาอีก มันเพียงหันหลังเดินตามเฟิงชิวไปยังหอตำราไม่แม้แต่จะชะงักเท้าเลยแม้แต่น้อย

ส่วนทางซูฮวานั้นนางเองก็เดินลงไปที่สระโลหิตเช่นกันเพียงแต่นางไม่ได้มุ่งหน้าไปที่หอตำราแต่กลับมุ่งหน้าไปยังหอตะวันตกแทน นางเพียงกลับไปยังห้องของฮั่วเจียนแล้วเริ่มทำงานสาวใช้ตามปกติ ไม่ใช่แค่ฮั่วเจียนเท่านั้นที่ได้เห็นการต่อสู้ของไป๋จูเหวินแล้วปลงได้ แม้แต่นางเอกก็ไม่อาจจะปล่อยให้ความรู้สึกที่กำลังก่อตัวในใจให้เผยออกมาได้ ความรู้สึกนั้นถูกเด็ดทิ้งก่อนที่จะเริ่มผลิใบเสียอีก

ทางด้านไป๋จูเหวิน หลังจากตามเฟิงชิวมาที่หอตำรา สิ่งที่พบก็ไม่ต่างจากที่คาดเดาเอาไว้นัก เพราะไม่ใช่แค่เจ้าสำนัก แต่กลับมีรองเจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์ยืนเรียงแถวกันด้วยท่าทีเคร่งขรึม

“ขอบใจเจ้ามากเฟิงชิว”เจ้าสำนักพูดพลางมองมาทางไป๋จูเหวิน การประลองเมื่อวันก่อนทำให้เจ้าสำนักเข้าใจในทันทีว่าไป๋จูเหวินนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่ามันเสียอีก แน่นอนว่าการมีศิษย์เก่งกาจเช่นนี้ย่อมเป็นผลดีกับสำนักของมัน แต่ไป๋จูเหวินก็เก่งกาจเกินไป การั้งมันเอาไว้ในสำนักเล็กๆเช่นนี้ไม่ต่างจากการขังพญาอินทรีเอาไว้ในกรงเลย

“ไป๋จูเหวิน ข้าเรียกตัวเจ้ามาในวันนี้ เพื่อพูดเรื่องพลังฝีมือของเจ้า”เจ้าสำนักพูดพลางเดินมายืนตรงหน้าไป๋จูเหวิน

“ระดับพลังฝีมือของเจ้าในยามนี้มันมากเกินไป บอกกล่าวตามตรงพวกข้าไม่มีอะไรจะสอนเจ้าอีกแล้ว”เจ้าสำนักพูดจบก็หยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ที่แผ่นหยกนั่นสลักสัญลักษณ์ของสำนักธาณโลหิตเอาไว้ดูไปก็คล้ายป้ายไม้ที่เอาไว้เข้าหอตำราเลย

“ข้าและเหล่าอาจารย์มีความเห็นว่าเจ้าควรจะออกจากสำนักและมุ่งมั่นพัฒนาพลังฝีมือของตนเองในโลกภายนอก”เจ้าสำนักว่าพลางมอบป้ายหยกให้ไป๋จูเหวิน

“สิ่งนี้เป็นสิ่งยืนยันว่าเจ้าได้ออกจากสำนักธารโลหิตแล้ว โดยเจ้าจะยังเป็นมิตรสหายของพวกเราและพวกเราจะไม่ห้ามหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมกับสำนักใด ตราบเท่าที่ไม่ผิดต้อศีลธรรม”พูดจบเจ้าสำนักก็วางป้ายหยกลงบนมือของไป๋จูเหวิน ความจริงไป๋จูเหวินก็คาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นเอาไว้อยู่แล้ว เพราะในงานประลองอาวุโสเทียนหมิงพูดเอาไว้ชัดเจนขนาดนั้น ทำให้สำนักธารโลหิตคงไม่อาจฉุดรั้งยอดฝีมือเอาไว้ได้อีกแล้ว

“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก ท่านรองเจ้าสำนัก อาจารย์ ศิษย์พี่ ขอบคุณพวกท่านมาก”ไป๋จูเหวินประสานมือพลางกล่าวขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือมันมา ความจริงตัวมันต้องการได้เรียนรู้การใช้พลังวิญญาณเท่านั้นนับว่าสำนักธารโลหิตได้ทำใหเป้าหมายของมันเป็นจริงแล้ว

“นี่เป็นหนังสือแนะนำตัวของข้า หากเจ้านำมันไปมอบให้กับสำนักในเขตอื่นคงจะช่วยได้บ้าง”เจ้าสำนักธารโลหิตว่าพลางมอบกระดาษม้วนหนึ่งให้ไป๋จูเหวิน มันเป็นจดหมายแนะนำตัวของเจ้าสำนักธารโลหิต แม้สำนักในเขตนี้จะเป็นสำนักเล็กๆ แต่ก็มีหลายครั้งที่มีอัจฉริยะเกิดขึ้นในสำนักเล็กๆเหล่านี้เช่นกัน จึงไม่ใช่ว่าสำนักใหญ่ๆจะไม่รับคนจากสำนักเล็กๆเข้าฝึกฝนเลย

“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทาง”ได้ยินที่เจ้าสำนักพูดไป๋จูเหวินก็ก้มหัวคารวะอีกครั้ง ก่อนจะเรียกของอย่างหนึ่งออกมาจากแหวนมิติของตน

“ถึงจะตอบแทนพวกท่านได้ไม่มาก แต่ท่านเจ้าสำนักได้โปรดรับสิ่งนี้เอาไว้”ไป๋จูเหวินว่าพลางหยิบก้อนทองออกมา 3 ก้อน แม้สำหรับไป๋จูเหวินจะไม่มากแต่ในสายตาคนอื่นนั้น…..

“แฮ่ม!!”เห็นท่าทีเจ้าสำนักลังเล รองเจ้าสำนักเลยส่งเสียงกระแอมพร้อมเดินออกมาเสมอท่านเจ้าสำนักทันที

“นับว่าเจ้าเป็นศิษย์ที่รู้คุณ ข้าไม่เสียใจเลยที่เจ้าเป็นศิษย์ของพวกเรา”รองเจ้าสำนักพูดพลางรับก้อนทองมาทันทีโดยไม่สนว่าอาจารย์ท่านอื่นๆจะมองอย่างไร เพราะตัวมันทราบบัญชีของสำนักดีว่าย่ำแย่เพียงใด

“อะ เอ่อ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ พรุ้งนี้ต้องเดินทางอีกไกล”เจ้าสำนักว่าพลางถอนหายใจออกมา มันเองก็ไม่ใช่จะไม่รู้ว่าหากรับทองของไป๋จูเหวินมาจะช่วยให้สำนักอยู่รอดได้อีกหลายปี มันเลยไม่คิดจะต่อว่าท่านรองเลยแม้แต่น้อย

“ขอรับ”ไป๋จูเหวินคารวะอีกครั้งก่อนจะออกจากหอตำราไป ไม่นึกเลยว่าการเข้าสำนักธารโหลิตจะจบลงรวดเร็วเช่นนี้

.

.

.

“เฮ้อ ป่านนี้จูเอ๋อจะเป็นอย่างไรบ้างนะ”ไก่ฟ้าหงอนทางว่าพลางนอนแผ่อยู่บนพื้นภายในถ้ำของอสูรแมงมุม

“เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใครล่ะ”มังกรธรณีถอนหายใจพลางเอนหลังพิงผนักห้องด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ข่าวล่าสุดที่มันได้ก็มีแค่ข่าวจากลูกน้องของมันในป่าท้อหยกขาวเท่านั้น

“หรือพวกเราจะแอบไปหาดี”ราชสีห์เพลิงถามพลางมองเหล่าราชาด้วยสีหน้าคาดหวัง

“เจ้าอยากให้แดนมนุษย์วุ่นวายหรือยังไง”พยัคฆ์อัสนีค้อนขวับทันทีเพราะมันรู้ดีว่าพวกมันตามไป๋จูเหวินไปในเขตของมนุษย์ไม่ได้ เพราะตัวพวกมันไม่ต่างจากเขตอสูรเคลื่อนที่ได้ เพราะแต่เดิมเขตอสูรก็เกิดจากพลังของพวกมันราชาทั้ง 5 อยู่แล้ว ขืนพวกมันเข้าไปในเขตมนุษย์ไม่นานอสูรใกล้ๆตัวพวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นและกลายเป็นเขตอสูรอีกแห่งแน่ๆ

“…มังกรทรณี”อยู่ๆจิ้งจอกเหมันต์ก็มีท่าทีแปลกๆ แต่ไม่ใช่เพียงจิ้งจอกเหมันต์เท่านั้นเพราะราชาทั้ง 5 ต่างชะงักไปหลังจากสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายประหลาดที่ลุกล้ำเข้ามาในเขตอสูร

“มีผู้บุกรุก”พูดจบร่างของพยักฆ์อัสนีก็แล่นวาบไปที่หน้าปากถ้ำก่อนจะกลายร่างกลับเป็นเสือตัวใหญ่เพื่อพุ่งกระโจรออกไปที่ป่าของมัน เพราะผู้บุกรุกปรากฏขึ้นในป่าเมฆาอัสนีของมันนั่นเอง

“อสูรที่ไหนช่างใจกล้าบุกรุกเข้ามากัน…”มังกรธรณีพูดพลางเดินตามร่างของพยัคฆ์อัสนีไป

“พลังเพียงเท่านั้น ทำไมถึงกล้ามายุ่งกับพวกเรานะ…”เหล่าราชาคนอื่นๆไม่ค่อยมีท่าทีรีบร้อนเท่าไหร่เพราะถึงอย่างไรเขตที่โดนรุกล้ำก็ไม่ใช่เขตของตน และต่อให้รีบไปพยัคฆ์อัสนีก็คงจัดการได้หมดก่อนที่พวกมันจะไปเสียอีก