ตอนที่ 132 มีวาสนาจึงร่วมดื่มน้ำอาบด้วยกัน (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

พูดจบ ชิวเยี่ยไป๋ก็หันกายพาเสี่ยวชีออกจากประตูใหญ่อย่างไม่ไยดี

 

 

พริบตานั้นเซียงเหยียนงงงัน คิดจะเรียกนางไว้ แต่เห็นที่ประตูมีคนไม่น้อย สุดท้ายนางจึงได้แต่กระทืบเท้าเร่าๆ อย่างโมโห เบิ่งตามองดูชิวเยี่ยไป๋ออกจากประตูใหญ่บ้านสกุลเหมย จากนั้นก้มศีรษะเดินกลับไปอย่างท้อแท้

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ออกจากประตูบ้านสกุลเหมย เดินสบายใจเฉิบถึงตรอกเล็กใกล้ถนนใหญ่จูเชี่ย ก็เป็นเวลาโพล้เพล้ตะวันจะตกดิน กลิ่นหอมหวนของกับข้าวล่องลอยมาจากบ้านของชาวบ้านละแวกนั้นแล้ว

 

 

เสี่ยวชีหิ้วท้องจ้องมองป้ายกะทัดรัดบานหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก และไม่ยอมเดินต่อ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดู ที่แท้เป็นเหลาสุราขึ้นชื่อเหลาหนึ่งของราชธานีก็ใช้ชื่ออักษรตัวเดียวคือ ‘อี’ แต่ละวันจะขายอาหารเพียงสี่โต๊ะ และไม่มีรายการอาหารให้สั่ง แต่บรรดาคนมีชื่อเสียงในเมืองกลับหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย

 

 

เพราะอาหารที่นี่ไม่ว่าจะเป็นกับข้าวอะไรล้วนประณีตเป็นพิเศษ อร่อยไร้ใดปาน อีกทั้งมีครบไม่ว่าจะเป็นอาหารเหนือใต้อันไกลโพ้น สุราอาหารแพงหูฉี่ โต๊ะละหนึ่งร้อยตำลึงเงิน แต่ก็ยังมีคนจองเป็นครึ่งปี

 

 

เมื่อก่อนชิวเยี่ยไป๋เคยมากิน และเคยถกเรื่องอาหารรายการหนึ่งกับเจ้าของร้าน นับว่าไม่ต่อยตีมิรู้จัก ดังนั้นทุกครั้งที่นางมา บางครั้งเจ้าของร้านผู้เย่อหยิ่งมักเลี้ยงอาหารรายการหนึ่ง หรือต่อให้ไม่มีอาหารก็ยังมีของว่างสองรายการ ดังนั้นเสี่ยวชีจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้านายของตนจะเข้าไปขอกิน

 

 

ชิวเยี่ยไป๋คิดดู นานแล้วไม่ได้มา จึงตามใจเสี่ยวชีพาไปที่เหลาสุรา

 

 

เถ้าแก่เหลาสุราอีไม่อยู่ ว่ากันว่าไปรับรองแขกผู้สูงศักดิ์ แต่เสี่ยวเอ้อร์จำชิวเยี่ยไป๋ได้ จึงหน้าเกลื่อนยิ้มเปิดประตูต้อนรับนางทันที และให้นางรอที่ห้องรับแขกของเถ้าแก่

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ไม่รีบ จึงยิ้มรับคำและไปทางห้องรับแขกของเถ้าแก่

 

 

เหลาสุราอีนี้เนื้อที่ไม่มากนัก แต่ก็ยังมีขนาดลานบ้านของครอบครัวคนฐานะปานกลาง ที่พิเศษที่สุดคือที่ลานด้านหลังมีสระน้ำใสสะอาดแห่งหนึ่ง ชักน้ำมาจากตาน้ำ ในสระไม่ปลูกอะไรทั้งสิ้น หากแต่เป็นสุราขาวเต็มสระ ริมสระปลูกต้นหงเหมยสี่ฤดูซึ่งเป็นต้นไม้พิเศษเพียงต้นเดียวออกดอกตลอดปี กลีบดอกร่วงลงในสระสุรา หมักจนเป็นสุราพิเศษเรียกว่าสุราดอกเหมย เพื่อให้แขกเหรื่อได้ดื่มกิน

 

 

ช่างมีรสนิยมสูงส่งเป็นที่สุด

 

 

ทว่ายามนี้ ชิวเยี่ยไป๋ทัศนาเงาไม้ใต้แสงจันทร์ พลางชมเงาบุปผาจันทราสระสุรา แต่พริบตาเดียวก็ตกใจ

 

 

ในบ่อน้ำแดงฉาน เงาร่างคนงามสีแดงถึงกับจมนิ่งอยู่ก้นบ่อที่มีเงาบุปผาจันทรา ใบหน้างดงามในน้ำขาวซีด ผมสีดำสยายไปทั่ว ดำกับขาว แดงกับดำ บวกกับกลีบบุปผาที่ร่วงหล่นเต็มสระ ถักทอเป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง แต่ก็น่าสยองขวัญเป็นที่สุด

 

 

“มีคนจมน้ำตาย!”

 

 

พริบตานั้น เสี่ยวชีตะโกนลั่น แต่หางเสียงที่ตะโกนเปลี่ยนไป

 

 

เพราะ…เขาเห็น ‘ศพ’ ใต้น้ำเคลื่อนไหว

 

 

ศพใต้น้ำพลันลืมตาอันงดงามขึ้น เป็นดวงตาที่ปราศจากตาขาวแม้แต่น้อย ราวกับจะดูดผู้คนเข้าสู่ความมืดมนอนธกาลไร้ที่สิ้นสุด

 

 

“โอ โอ โอย โอย โอย…ผีหลอก!”

 

 

เสี่ยวชีเบิกตากว้าง กรีดร้องเสียงแหลม แค่พริบตาเดียวก็หน้ามืดล้มพับไป

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ใช้สายรัดเอวของเขาลากเสี่ยวชีที่หมดสติไปนอนกับพื้น จากนั้นก้มดูสระสุราเหมยแดง

 

 

ใต้สะพานแสงจันทร์มัวหม่น กลีบเหมยแดงร่วงพรู สุราใสแจ๋ว คนงดงาม ภาพพิกลเช่นนี้เหมือนตกอยู่ในความฝัน คล้ายกับยามราตรีกาลไม่ทันระวังตกสู่ดินแดนที่มิใช่ของมนุษย์ และได้เห็นอสูรเทวาที่มิใช่สิ่งมีชีวิตของแดนมนุษย์

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟุบกับสะพานแลดูภาพประหลาดนี้ และสบตากับตัวประหลาดใต้สระน้ำครู่หนึ่ง ตัวประหลาดหลับตาลงราวกับไม่เห็นนาง ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจอย่างอดมิได้ “เจ้าคิดจะใช้ตนเองดองเป็นสุราเลิศรส หรือว่าปลงตกแล้วจึงฆ่าตัวตายกันแน่”

 

 

นางนึกไม่ถึงว่าวันนี้จะโชค ‘ดี’ ขนาดนี้ เพียงออกมาพบเพื่อนเก่า ขอสุราป้านหนึ่ง กับแกล้มจานหนึ่ง แต่กลับได้พบอสูรกินคนอีกตนหนึ่ง

 

 

ลมราตรีพัดผ่าน ผิวสระสุราระลอกพลิ้ว อาภรณ์แดงฉานเริ่มลอยขึ้นมาราวกับเลือดสดๆ ที่แผ่ไปในสระใส กลายเป็นสีแดงสดใสจนน่ากลัว และแล้วเงาสีแดงฉานก็ผุดขึ้นจากสระสุราจนได้ ราวกับรุ้งปีศาจในราตรี เงาปีศาจในสระน้ำล่องลอยขึ้นมาบนราวสะพาน จ้องมองชิวเยี่ยไป๋ไปจากที่สูงกว่า

 

 

นัยน์ตาที่น่าสยองทำเอาชิวเยี่ยไป๋ต้องเบือนหนี นึกพึมพำในใจ ที่แท้มิใช่นางดูผิด ดวงตานี้ต่างจากคนธรรมดาจริงๆ

 

 

อสูรร้ายก้มศีรษะลง คล้ายเกี่ยงว่าน้ำสุราบดบังสายตา เอื้อมมือปัดผมเปียกที่ประหน้าไปด้านหลัง โน้มกายเป็นเส้นโค้งเหมือนคันศร ยื่นหน้าเข้าใกล้นาง เสียงโหวงเหวงแหบพร่าถามว่า “ปลงตกอะไรหรือ”

 

 

“ฝ่าบาท…” ชิวเยี่ยไป๋เพิ่งเอ่ยคำ นึกไม่ถึงว่าเขาจะยิ่งก้มหน้าเข้าใกล้ สายตาจับจ้องที่ปลายจมูกคล้ายไร้เจตนา สุราหยดหนึ่งไหลลงช้าๆ ผ่านริมฝีปากของเขา แล้วหยดสู่ริมฝีปากของตน พริบตานั้นนางรู้สึกร้อนวูบที่ริมฝีปากราวกับถูกอะไรลวกใส่ จึงถอยกายตามสัญชาตญาณ

 

 

ทันใดนั้นก็ถูกปลายนิ้วเรียวยาวจับคางไว้ บังคับให้นางเงยหน้าขึ้น เขาก้มหน้าลงอีก น้ำเสียงราวกับมีรสชาติของสุรา กล่าวอีกครั้ง “ปลงตกอะไรหรือ เสี่ยวไป๋”

 

 

สุราเปียกหน้ายิ่งทำให้ใบหน้างดงามนั้นขาวซีด ริมฝีปากแดงสดและเนื่องจากยามนี้ปัดผมไปไว้หลังศีรษะ ใบหน้าที่เปียกโชกจึงงดงามราวกับจะพรากขวัญคร่าวิญญาณ ทำเอาผู้คนหายใจไม่ออก

 

 

ลมราตรีม้วนพัดกลีบบุปผา ในสายลมกรุ่นด้วยกลิ่นสุราบุปผาชวนเมามาย

 

 

ขนตางอนยาวเปียกชื้นของเขาสัมผัสกับแก้มของตน ลมหายใจเย็นเยียบพ่นใส่ผิวหน้าของชิวเยี่ยไป๋ ปลายนิ้วเย็นยะเยือกไล้ผ่านจุดที่ไวต่อสัมผัส ทำเอานางเสียวสันหลังวาบจนตัวชา ความรู้สึกนั้นทำให้นางอดที่จะเอื้อมมือผลักไสมิได้ รักษาระยะห่างไว้บ้างน่าจะปลอดภัยกว่า นางกัดฟันพลางกล่าวว่า “ย่อมต้องเป็นฝ่าบาทที่สำนึกตัวว่างดงามดุจนางพญาล่มเมืองจนเกิดทุกข์ร้อนไปทุกหย่อมหญ้า สู้กลับบ้านเก่าเพื่อความผาสุกของราษฎรจักดีกว่า”

 

 

ไอ้หมอนี่กำลังสะกดจิตคนอีกแล้ว

 

 

ทว่า นางหารู้ไม่ว่าสิ่งที่พูดออกไปและอากัปกริยาเช่นนั้นกลับดึงดูดใจอีกฝ่าย!

 

 

ถึงอย่างไรชิวเยี่ยไป๋ก็คลุกคลีในยุทธจักรมานานปี แถมยังเป็นประมุขหอไผ่เขียวด้วย และยิ่งมีโฉมตรูผู้รู้ใจนับมิถ้วน หลายครั้งที่สัมผัสใกล้ชิดกับไป๋หลี่ชูก็รู้สึกว่ามันมีความไม่ปกติ การกระทำของเขาทุกครั้งดูเหมือนตรงข้ามกับแววตาที่แสดงออกอย่างสิ้นเชิง

 

 

เขาแทบจะเป็นจอมมนตรานักล่อลวงมาแต่กำเนิด อากัปกริยาลามกอย่างไร แววตายังคงเย็นชาตลอด ราวกับกำลังพิจารณาอย่างใจเย็นจนแทบจะกล่าวได้ว่ากำลังค้นคว้า เหมือนกับเทพเซียนที่แลดูมดปลวก