โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “หรือว่าบรรพบุรุษของจวนหลักจะ…”
เฉิงฉือพยักหน้า กล่าวอย่างตั้งใจว่า “เวลานั้น ท่านผู้อาวุโสของจวนหลักยังอยู่ในวัยทารก ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเองก็เป็นเพียงเด็กที่ยังไม่รู้ความผู้หนึ่ง หลังจากที่จื้อกง[1]ของจวนหลักและเลี่ยกง[2]ของจวนรองติดตามเลี่ยฮ่องเต้เดินทางลงใต้แล้ว จึงให้เฉิงเจ๋อของจวนสามเป็นคนดูแลตระกูลเฉิง บัญชีการเงินของครอบครัวก็ล้วนให้เฉิงเจ๋อของจวนสามเป็นคนจัดการดูแล เวลานั้นเพลิงไฟแห่งสงครามกระเพื่อมไปทั่วทุกที่ ท่านปู่และบิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินคุ้มกันท่านผู้อาวุโสของจวนหลักตลอดทางจนกลับมาถึงเมืองจินหลิง เดิมทีตั้งใจเอาไว้ว่าเมื่อส่งท่านผู้อาวุโสของจวนหลักมาถึงที่หมายแล้วก็จะเดินทางกลับบ้านเดิมที่เหมยโจวแห่งซื่อชวน เนื่องจากที่บ้านเดิมของพวกเขาที่เหมยโจวแห่งซื่อชวนนั้นยังมีคนในครอบครัวและญาติพี่น้องเหลืออยู่ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อถึงจินหลิงแล้วถึงได้รู้ว่า เฉิงเจ๋อได้ข่าวว่าจื้อกงของจวนหลักและเลี่ยกงของจวนรองต่างเสียชีวิตหมดแล้ว เห็นว่าจวนสี่ไร้อำนาจ จวนห้าอ่อนแอ จึงบังเกิดจิตใจละโมบโลภมาก คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของตระกูลเฉิงมาเป็นของตัวเอง ด้วยข้ออ้างที่ว่าก่อนจื้อกงจะเดินทางออกจากบ้านเคยมอบหมายให้เขาเป็นคนดูแลตระกูลเฉิง ไม่เพียงยึดกิจการของครอบครัวมาไว้ในมือ เป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน และฉ้อฉลรายได้จากเงินกองกลางของจวนสี่และจวนห้าเท่านั้น ยังใส่ยาพิษลงไปในอาหารของท่านผู้นำตระกูลจวนรองอีกด้วย ท่านปู่และบิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินเพิ่งจะออกเดินทางไป พวกเขาก็คิดจะสังหารท่านผู้อาวุโสของจวนหลักให้ตายอยู่ในผ้าห่มแล้ว…”
โจวเสาจิ่นตกใจจนหน้าซีดเผือด เอ่ยถามขึ้นอย่างตระหนกว่า “เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ”
รอยยิ้มของเฉิงฉือฝืดเฝื่อนเล็กน้อย กล่าวเสียงเบาว่า “จื้อกงและเลี่ยกงเป็นบุตรของภรรยาเอก ส่วนเฉิงเจ๋อของจวนสามเป็นบุตรของอนุ เขามักจะคิดว่าที่เขาสอบจวี่เหรินไม่ผ่านนั้นมิใช่เพราะเขาไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะฮูหยินอาวุโสลำเอียง ไม่ยอมเชิญอาจารย์มีชื่อในเวลานั้นมาสอนหนังสือเขาเป็นการส่วนตัว อีกทั้งยังคิดว่าที่มารดาผู้ให้กำเนิดของตนป่วยเสียชีวิตนั้นก็เป็นเพราะท่านหมอที่ฮูหยินอาวุโสส่งมาให้ ด้วยความที่จื้อกงมีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ข้างนอก คนในเมืองจินหลิงเห็นเขาต่างก็เรียกขานเขาอย่างให้เกียรติว่า ‘นายท่านสาม’ จะทำการค้าก็หลีกทางให้เขาก่อน เขาจึงเผลอทะนงตัวไปเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความขุ่นเคืองสายนั้นจึงยิ่งหยั่งลึกมากขึ้น…
…เพียงแต่ว่าจื้อกงได้เดินทางลงใต้พร้อมกับเลี่ยฮ่องเต้ ชื่อเสียงและอำนาจมากล้น ถึงแม้เฉิงเจ๋อจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมา…
…กระทั่งได้รับข่าวการเสียชีวิตของจื้อกงและเลี่ยกง เขารู้สึกว่านี่คือเจตจำนงของสวรรค์ โอกาสของตนมาถึงแล้ว บวกกับที่บ้านเมืองกำลังยุ่งเหยิงด้วยสงคราม เมืองจินหลิงถูกโจมตีสองครั้ง หากมิใช่เพราะท่านผู้นำตระกูลจวนรองได้รับการปกป้องคุ้มครองจากครอบครัวของลุงฝั่งมารดา เกรงว่าก็คงจะเสียชีวิตไปตั้งแต่เด็กแล้วเช่นกัน…
…เขาจึงมีความคิดพยาบาทมาดร้ายขึ้นมา!”
เห็นได้ชัดว่าจิตใจของมนุษย์นั้นเสื่อมโทรม!
โจวเสาจิ่นนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เอ่ยถามเสียงค่อยว่า “แล้วหลังจากนั้นเล่าเจ้าคะ เป็นผู้ใดมาช่วยท่านผู้อาวุโสของจวนหลักเอาไว้หรือเจ้าคะ”
“เป็นท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉิน” เฉิงฉือกล่าว “ตอนที่เขานำตัวเด็กไปส่งมอบให้จวนสามนั้นได้ไปเยี่ยมท่านผู้นำตระกูลจวนรองด้วย ทั้งๆ ที่เป็นเด็กอายุเกือบจะสองขวบปีแล้ว ทว่ากลับยังเดินไม่ได้ เดิมทีตอนนั้นท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินมิได้คาดคิดว่าท่านผู้อาวุโสของจวนสามจะมีจิตใจชั่วร้ายขนาดนั้น คิดเพียงว่าเด็กผู้นี้ร่างกายอ่อนแอเกินไป เกรงว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืนนานเท่านั้น…
…ในแขนเสื้อของท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินมีโสมเก่าแก่อายุร้อยปีซ่อนอยู่ด้วย…
…เดิมทีนั่นเป็นของที่จื้อกงมอบให้เขานำไปช่วยชีวิตมารดาของตัวเอง…
…แต่เมื่อท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินนึกถึงบุญคุณของจื้อกงที่มีต่อเขา นึกถึงสภาพของท่านผู้นำตระกูลจวนรองแล้ว ไม่อาจข้ามผ่านหลุมบ่อนั้นในใจของตนได้ ออกเดินทางไปได้ครึ่งทางแล้วก็วกกลับมาใหม่ คิดว่ามิสู้แบ่งโสมเก่าแก่อายุร้อยปีนั้นให้ท่านผู้นำตระกูลจวนรองครึ่งหนึ่งจะดีกว่า ก็ถือว่าตนได้แสดงความจงรักภักดีและรักษาความยุติธรรมสักครั้งหนึ่ง…” กล่าวถึงตรงนี้ เฉิงฉือยิ้มเยียบเย็น เอ่ยต่อว่า “ก็ถือว่ายังไม่ถึงคราวสูญสิ้นของตระกูลเฉิง ตอนที่ท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินกลับมาถึงนั้นได้พบกับแม่นมคนที่เฉิงเจ๋อเพิ่งส่งมาให้ดูแลท่านผู้อาวุโสของจวนหลักกำลังใช้ผ้าห่มครอบท่านผู้อาวุโสของจวนหลักเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่พอดี…”
โจวเสาจิ่นคิดถึงภาพเหตุการณ์ร้ายแรงในตอนนั้นแล้ว อดที่จะตัวสั่นไปทั้งร่างอย่างช่วยไม่ได้
เฉิงฉือกล่าว “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เนื่องจากนี่เป็นเรื่องภายในของตระกูลเฉิง สุดท้ายแล้วเฉิงเจ๋อก็เป็นบุตรหลานของตระกูลเฉิง เป็นน้องชายของจื้อกงและเลี่ยกง และเป็นท่านอาของผู้อาวุโสทั้งสอง ถ้าหากเกิดมีเรื่องอื้อฉาวอะไรออกไป มิใช่เพียงซอยจิ่วหรูของตระกูลเฉิงที่จินหลิงจะเสียหน้าเท่านั้น ตระกูลชนชั้นขุนนาง บัณฑิต หรือผู้มีคุณธรรมอันดีงามทั้งหลายจะมองจวนหลักและจวนรองอย่างไร และคนรุ่นหลังจะวิพากษ์วิจารณ์จื้อกงที่สละชีวิตเพื่อแผ่นดินนั้นว่าอย่างไร…
…เพราะฉะนั้นท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินจึงทำได้เพียงสั่งสอนเฉิงเจ๋อไปหนึ่งคำรบเท่านั้น มิได้เอาชีวิตของเขา…
…แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงไม่อาจมอบหมายให้เขาเป็นคนดูแลท่านผู้อาวุโสทั้งสองได้อีก…
…ท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินไม่มีทางเลือก จำต้องเรียกขานตัวเองต่อคนภายนอกว่า ‘ฉินต้า’ รั้งอยู่ต่อไปในฐานะบ่าวคนติดตามของจื้อกง…
…ส่วนบิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินนำเอาโสมเก่าแก่อายุร้อยปีอีกครึ่งที่เหลือเร่งเดินทางกลับไปที่เหมยโจว…
…แต่เนื่องจากพวกเขาเสียเวลาอยู่ที่จินหลิงนานเกินไป ญาติพี่น้องที่บ้านเดิมที่เหมยโจวบ้างก็เสียชีวิตบ้างก็แตกซ่านกระเซ็นกันไปแล้ว หาเจอเพียงพ่อบ้านใหญ่ฉินและหลานชายอีกสามคนที่กำลังหายใจรวยรินอยู่ในบ่อน้ำแห้งขอดบ่อหนึ่งเท่านั้น…
…บิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินพาพ่อบ้านใหญ่ฉินกลับมา ตั้งรกรากอยู่ที่ตระกูลเฉิงนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ให้รับผิดชอบดูแลท่านผู้อาวุโสทั้งสองท่าน นอกจากตั้งใจดูแลผู้อาวุโสทั้งสองท่านเป็นอย่างดีแล้ว ยังสอนวิชาลับที่สืบทอดต่อกันของตระกูลที่สอนเฉพาะบุรุษมิสอนสตรีให้ท่านผู้อาวุโสทั้งสองท่านด้วย”
ถึงว่าวันนั้นท่านน้าฉือถึงได้สวมชุดจิ้นจวงทั้งตัว และลูกศรดั่งดาวตกนั่นอีก!
ฉับพลันนั้นดวงหน้าของโจวเสาจิ่นก็แสดงอาการตกใจออกมา เอ่ยถามขึ้นว่า “หรือว่าท่านผู้นำตระกูลจวนรองก็เป็นวรยุทธ์ด้วยหรือเจ้าคะ”
เช่นนั้นมิใช่ว่าท่านน้าฉือจะตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือ
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” เฉิงฉือกล่าว “ถ้าหากเขาเรียนวรยุทธ์ของตระกูลฉินได้ เกรงว่าวันนี้จวนหลักคงสิ้นหวังอย่างคนที่ถูกต่อยจนฟันร่วงแล้วก็ยังต้องทนกลืนฟันลงไปพร้อมกับเลือดแล้ว!”
โจวเสาจิ่นถอนหายใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่ง ถามเฉิงฉือไม่หยุดว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น
เฉิงฉือกล่าว “ท่านผู้นำตระกูลจวนรองถูกวางยาจนสุขภาพไม่ดี ไม่เหมาะที่จะเรียนวรยุทธ์ของตระกูลฉิน นอกจากนี้ท่านผู้นำตระกูลจวนรองยังมีความคิดหนึ่งมาตั้งแต่เล็ก เขารู้สึกว่าที่จวนสามกล้าคิดบัญชีกับจวนหลักและจวนรองนั้นก็เป็นเพราะใช้ประโยชน์จากที่จวนหลักและจวนรองไร้ความสามารถ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่จัดตั้งราชวงศ์ใหม่มั่นคงแล้ว จะต้องเป็นช่วงเวลาแห่งความผาสุกแล้วอย่างแน่นอน วรยุทธ์จะมิค่อยเป็นประโยชน์มากเท่าไรแล้ว มิสู้เอากำลังวังชาไปร่ำเรียนหนังสือ สอบให้ได้ยศได้ตำแหน่ง นำเกียรติมาสู่บรรพบุรุษ นำความยิ่งใหญ่ของตระกูลเฉิงในรัชสมัยก่อนกลับมาอีกครั้ง…
…เดิมทีบิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินก็ยกย่องนับถือที่ตระกูลเฉิงเป็นตระกูลบัณฑิต ก็เลยสนับสนุนความคิดของท่านผู้นำตระกูลจวนรองเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงสอนกระบวนท่าให้เขาเพียงหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น…
…แต่ท่านผู้อาวุโสของจวนหลักนั้นเกือบจะถูกคนปิดลมหายใจให้ตายตั้งแต่ยังเป็นทารก ถึงแม้ต่อมาจะได้รับการช่วยชีวิตแล้ว ทว่าการตอบสนองต่างๆ กลับเชื่องช้ายิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือการฝึกวรยุทธ์ล้วนไม่มีความก้าวหน้าอะไรมากสักเท่าใด…
…เวลานั้นท่านผู้นำตระกูลจวนรองอายุมากกว่าท่านผู้อาวุโสของพวกข้า ทั้งสองครอบครัวจึงอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข”
กล่าวถึงตรงนี้ เฉิงฉือก็ขมวดคิ้วมุ่นขึ้น ราวกับนึกถึงเรื่องไม่น่าอภิรมย์อะไรขึ้นมาได้ก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นรีบรินน้ำชาอีกจอกให้เขาอย่างรู้ความ
เฉิงฉือถือจอกชาเอาไว้ในมือหมุนไปหมุนมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกลับมาที่บทสนทนาใหม่อีกครั้ง เอ่ยขึ้นว่า “เป็นเช่นนี้อยู่สองถึงสามปี กระทั่งถึงเวลาที่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเริ่มเข้าเรียนขั้นพื้นฐาน จู่ๆ เลี่ยกงของจวนรองก็กลับมา!”
“หา!” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
ต่อให้นางจะไร้เดียงสาขนาดไหน ก็รู้ว่าการที่จู่ๆ คนที่ได้ชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ว่าสละชีวิตเพื่อแผ่นดินก็มีชีวิตกลับมาอย่างกะทันหันนั้นบ่งบอกถึงอะไร!
นางดีดตัวลุกขึ้นมาในทันใด บิดมือพร้อมกับถามขึ้นว่า “ละ…แล้วทำอย่างไรกันหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือมองดวงหน้าเล็กแดงป่องนั้น ช่างคล้ายกับดอกบัวแดงบานสะพรั่งดอกหนึ่งก็ไม่ปาน พลันรู้สึกโล่งสบายใจขึ้นในทันใด รู้สึกว่าเรื่องในอดีตที่ยากจะเอ่ยถึงเหล่านั้นก็เปลี่ยนเป็นไม่ได้ยากเกินกว่าจะเข้าใจได้ขนาดนั้นแล้ว
“เวลานั้นทุกคนต่างเบื้อใบ้ตกตะลึงตาค้างไปหมด” น้ำเสียงของเขาเบาและเคร่งขรึม เอ่ยต่อว่า “เขาเห็นสองพ่อลูกตระกูลฉินและคนอื่นๆ ก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับตบที่ไหล่ของท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินเบาๆ กล่าวชมประโยคหนึ่งว่า ‘เจ้าทำได้ดีมาก’ จากนั้นถือดาบไปที่จวนสามแล้วสังหารเฉิงเจ๋อเสีย…”
ริมฝีปากของโจวเสาจิ่นขาวซีดไปหมด
นี่ต่างหากที่เป็นความลับที่แท้จริงของตระกูลเฉิง!
เฉิงฉือกุมมือนางเอาไว้แน่น เอ่ยเสียงนุ่มว่า “ทำให้เจ้าตกใจกลัวแล้วกระมัง”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ข้าไม่กลัวเจ้าค่ะ”
ท่านน้าฉือเล่าเรื่องพวกนี้ให้นางฟัง ต้องเป็นเพราะรู้สึกว่านางไว้ใจได้ ฉะนั้นนางจะยอมแพ้และหนีไปเพราะรู้สึกหวาดกลัวได้อย่างไร!
นันย์ตาของเฉิงฉือมีความอบอุ่นสายหนึ่งวาบผ่าน
เขาหยิบตะเกียงไฟบนโต๊ะน้ำชา ให้โจวเสาจิ่นมานั่งข้างๆ เขา ถึงได้กล่าวต่อว่า “นับตั้งแต่ที่ถูกท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินสั่งสอนไป เฉิงเจ๋อก็มักจะอาเจียนเป็นเลือดอยู่บ่อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า คนในเมืองจินหลิงต่างรู้ว่าสุขภาพของเขาย่ำแย่ ดังนั้นการตายของเขาจึงไม่ได้ทำให้ผู้คนสงสัยอะไร…
…และเรื่องที่เลี่ยกงกลับมาแล้วนั้น คนในบ้านต่างไม่มีใครกล้าป่าวประกาศออกไป…
…เขาบอกให้ท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินไปซื้อบ้านเรือนของครอบครัวที่อยู่ข้างๆ มา ทำการก่อสร้างขนาดใหญ่ขึ้นที่นั่น สร้างที่พักอาศัยขึ้นมาอีกผืนหนึ่ง ซึ่งก็คือจวนสวนดอกไม้ตระกูลเฉิงในปัจจุบันนี้ และสถานที่เก็บตัวของเลี่ยกงในตอนนั้นก็คือเรือนหานปี้ซานที่มารดาของข้าอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้นั่นเอง”
สาเหตุที่ว่าทำไมป่าไผ่ผืนนั้นถึงทำให้คนหลงทางได้วันนี้โจวเสาจิ่นเองก็ได้คำตอบแล้ว
เฉิงฉือกล่าว “หอซื่ออี๋ก็เป็นเลี่ยกงให้สร้างขึ้นมา ไม่อนุญาตให้แขวนโคมไฟที่ใต้ชายคาของเรือนหานปี้ซานก็เป็นกฎที่เลี่ยกงตั้งขึ้นมาในสมัยนั้นเช่นกัน…
…เขาอาศัยอยู่ในเรือนหานปี้ซาน บางครั้งไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นแม้แต่เงากว่าครึ่งปี บางครั้งยามสามของกลางดึกก็เดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านเป็นเวลาหลายวันติดๆ กัน นิสัยแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาเคยผ่านเรื่องอะไรมามากมายขนาดนั้น อารมณ์ความรู้สึกจะเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงก็เป็นอะไรที่เป็นไปได้…
…คนในบ้านต่างพยายามทำเป็นมองไม่เห็นอย่างสุดความสามารถ…
…ทว่าท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินกลับรู้สึกร้อนใจ มักจะขัดขวางท่านผู้อาวุโสของพวกข้าอย่างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง มิให้เขาเข้าใกล้เลี่ยกง…
…ท่านผู้อาวุโสของพวกข้าให้ความเคารพนับถือท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินมาโดยตลอด อีกทั้งยังคงมีจิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กอยู่ตลอด ท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินมิให้เขาเข้าใกล้เลี่ยกง เขาก็ไม่เข้าใกล้เลี่ยกง กลับเป็นท่านอาลี่ของจวนรอง ที่มักจะถูกเลี่ยกงให้คนมาอุ้มไปเล่นที่เรือนหานปี้ซานด้วยบ่อยๆ…
…การเล่นกับหลานชาย ทุกคนต่างรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป…
…กระทั่งท่านผู้อาวุโสของพวกข้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่งงานมีบุตรแล้ว เลี่ยกงก็ล้มป่วยหนัก เรียกท่านผู้อาวุโสของพวกข้าและท่านผู้นำตระกูลจวนรองไปที่เรือนหานปี้ซาน ถึงได้เล่าให้ท่านผู้อาวุโสทั้งสองท่านฟังว่า เดิมทีตอนที่จื้อกงติดตามเลี่ยฮ่องเต้เดินทางลงใต้ในปีนั้นก็พอจะคาดการณ์ถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองได้แล้ว แต่คนในพรรคเจ็ดดาราล้วนเป็นคนหัวแข็งจนตรอกไม่กลัวความตายพวกนั้น ก่อนหน้านี้ใช้นามของผู้มีอำนาจในแผ่นดินถึงได้นำคนเหล่านี้มารวมตัวกันได้ ครั้นราชสำนักตกต่ำลง คนพวกนั้นจะต้องถือโอกาสสร้างความวุ่นวายอย่างแน่นอน คนที่จะต้องตกทุกข์ได้ยากก็มีแต่ชาวประชาทั้งนั้น เขาจึงมอบป้ายคำสั่งของพรรคเจ็ดดาราให้เลี่ยกง ให้เขาหาวิธีทำลายพรรคเจ็ดดาราเสีย…
…แต่เลี่ยกงกลับไม่ยินยอมให้พรรคเจ็ดดาราที่จื้อกงก่อตั้งขึ้นมาอย่างยากลำบากถูกทำลายไปง่ายๆ เช่นนั้น และยิ่งไม่ยินยอมกลับไปรับช่วงต่อตระกูลที่เมืองจินหลิงเช่นนั้นด้วย…
…หลังจากที่จื้อกงสละชีวิตเพื่อแผ่นดินไปแล้ว เขาไม่เพียงไม่ทำลายพรรคเจ็ดดาราเท่านั้น ยังใช้นามของจื้อกงจัดการคนที่คิดจะออกจากพรรคเจ็ดดาราอีกหนึ่งกลุ่ม ตั้งกฎการให้รางวัลและการลงโทษขึ้นมาใหม่ ควบคุมพรรคเจ็ดดาราเอาไว้ในมือจนมั่นคงแล้ว ถึงได้ลอบกลับมาที่เมืองจินหลิงเงียบๆ”
โจวเสาจิ่นอดพึมพำกล่าวเสียงเบาขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ข้าว่ามิใช่เพราะเขาทำใจที่จะทำลายพรรคเจ็ดดาราที่จื้อกงก่อตั้งขึ้นมาไม่ได้ แต่เป็นเพราะราชสำนักก่อนล่มสลายลงแล้ว ทว่าด้วยยึดติดในตำแหน่งสถานะเขาจึงทำใจไม่ได้ที่จะกลับไปเป็นคนธรรมดาสามัญที่ไร้ซึ่งสิทธิ์และอำนาจที่เมืองจินหลิงมากกว่ากระมัง ยังใช้นามของจื้อกงทำเรื่องต่างๆ อีก เขาจะรู้สึกละอายบ้างหรือไม่นะ”
เฉิงฉือถอนหายใจ
แม้แต่เด็กสาวที่ยังไม่ปักปิ่นผู้หนึ่งยังมองเรื่องราวได้ทะลุปรุโปร่ง ผู้อื่นจะมองไม่ทะลุได้อย่างไรกัน
กอดโจวเสาจิ่นเบาๆ แล้วก็คลายออกอย่างรวดเร็ว เอ่ยขึ้นว่า “เวลานั้นท่านผู้นำตระกูลจวนรองได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบัณฑิตซู่จี๋และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานในกรมอาญาแล้ว ส่วนท่านอาลี่อายุยี่สิบปี เพิ่งจะแต่งงาน…
…เลี่ยกงเสนอขึ้นมาว่าให้ท่านอาลี่เป็นคนดูแลพรรคเจ็ดดารา!”
……………………………………………………………………
[1] จื้อกง คือ เฉิงจื้อ
[2] เลี่ยกง คือเฉิงเลี่ย
ตอนต่อไป →