ตอนที่ 183 หวนสู่ดินแดนต้องห้ามอีกครั้ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ผ่านไปกว่าสามวัน ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็หลอมละลายผลเยือกมณีบนชั้นที่เจ็ดได้สำเร็จ

มู่อวิ๋นและเหล่าผู้อาวุโสไม่กล้าจะเสียสมาธิ ทุกคนตั้งใจกันตั้งแต่ต้นจนกระทั่งกระบวนการหลอมละลายผลเยือกมณีเสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์

เมื่อพระอาทิตย์ยามเช้าของวันที่สี่โผล่พ้นขอบฟ้า ผลไม้น้ำแข็งใสแวววาวราวแก้วมณีที่เคยลอยอยู่ในอากาศก็ไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป

ในตอนนี้ผลเยือกมณีเปลี่ยนสภาพกลายเป็นของเหลวหยดเล็ก ๆ ใสกระจ่างจำนวนมากมายลอยอยู่เบื้องหน้ามู่อวิ๋นและเหล่าผู้อาวุโสจนหมดสิ้นแล้ว

แม้แต่ฉินอวี้โม่ที่มีจิตใจแข็งแกร่งและพลังอันมหาศาลก็ยังเหนื่อยล้าอย่างมาก ด้วยร่างกายวิเศษนี้ นางคิดอยู่เสมอว่าตนเองมีพลังเหลือเฟือทว่าหลังจากใช้พลังไปในช่วงสามวันที่ผ่านมา นางก็อ่อนล้าจนแทบจะยืนไม่ไหว

แต่นั่นก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ถ้าหากว่าเป็นคนปกติการฝืนใช้พลังมายามากเกินไปเช่นนี้จะส่งผลให้ร่างกายได้รับผลข้างเคียงและอาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นได้ ทว่าที่ฉินอวี้โม่สามารถทนผ่านมันมาได้ นั่นก็เป็นเพราะความวิเศษของกายเทพมายาที่ส่งพลังมาหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา

มิฉะนั้นเกรงว่าแม้แต่อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็คงมิอาจทานทน

มู่อวิ๋นยิ้มให้ฉินอวี้โม่โดยไม่กล่าวสิ่งใดก่อนจะหันไปมองเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย ทุกคนเข้าใจสายตานั้นของท่านอธิการดี ในตอนนี้มือของพวกเขาเริ่มต้นเคลื่อนไหวอีกครั้ง

ของเหลวศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่ลอยคว้างอยู่เบื้องหน้าเหล่าจอมยุทธ์อาวุโสแห่งโรงเรียนราชสำนักถูกพลังของพวกเขาส่งให้กระจายออกไป ของเหลวศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมายกระจัดกระจายไปยังทุกซอกทุกมุมของหอคอยวิญญาณชั้นที่เจ็ดเพื่อทำการฟื้นฟู

ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่สัมผัสถึงการมีอยู่ของพลังมายาในที่แห่งนี้ อีกทั้งยังรู้สึกได้ว่ามันเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาร่างกายของนางก็ถูกพลังมายามหาศาลโอบล้อมเอาไว้

หอคอยวิญญาณชั้นที่เจ็ดซึ่งแต่เดิมเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไร้พลังใด ๆ เพียงเสี้ยวลมหายใจความหนาแน่นของพลังแห่งฟ้าดินก็เพิ่มสูงขึ้นจนเหนือกว่าหกชั้นที่อยู่ด้านล่าง ฉินอวี้โม่ไม่สงสัยเลยว่าถ้าหากนางได้ฝึกฝนบนชั้นที่เจ็ดของหอคอยวิญญาณนี้ มันคงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการฝึกฝนภายนอกอย่างน้อยสิบเท่า

“เฮ้อ~…”

มู่อวิ๋นและเหล่าผู้อาวุโสถอนหายใจพร้อมกันด้วยความโล่งอก ในตอนนี้หากไม่นับท่านอธิการผมสีประหลาดที่ยังคงสีหน้าปกติราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ล้วนมีความอ่อนล้าฉายชัดอยู่บนใบหน้าและมีหยาดเหงื่อผุดพรายอยู่เต็มหน้าผาก

ครั้งนี้ทุกคนใช้พลังไปมากมายมหาศาลโดยแท้ ในสามวันสามคืนที่ผ่านมาการเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของผลเยือกมณีทำให้เกิดความเคร่งเครียดที่สะสม ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังต้องใช้พลังมายาของตัวเองคอยห่อหุ้มและโอบอุ้มของเหลวศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ป้องกันไม่ให้มันสลายไป แม้ว่าเหล่าผู้อาวุโสจะมีพลังมากแต่ด้วยการทำงานอันหนักหน่วงถึงเพียงนี้ก็ต้องมีอาการเหน็ดเหนื่อยให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา

“เสี่ยวอวี้โม่ ผู้อาวุโสทั้งหลาย ข้าขอขอบคุณที่ทุกคนทุ่มเททำงานอย่างหนักตลอดสามวันที่ผ่านมา ภารกิจนี้มิอาจลุล่วงหากไม่มีพวกท่าน”

มู่อวิ๋นเอ่ยคำขอบคุณจากใจ ผู้ปกครองสูงสุดของสถาบันมีชื่อเสียงแย้มยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อได้กวาดตาชื่นชมความสำเร็จในวันนี้แล้วเขาก็มิอาจปกปิดความสุขที่มีได้เลย

ครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับบรรดาศิษย์น้อยใหญ่ทั้งที่ยังอยู่ในโรงเรียนตอนนี้และผู้จะเข้ามาเป็นศิษย์หน้าใหม่ในอนาคต การซ่อมแซมหอคอยวิญญาณในชั้นที่เจ็ดจะช่วยให้นักเรียนทุกคนมีสถานที่ในการฝึกฝนที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม และนั่นก็หมายถึงความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่ของโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้ด้วย

ฉินอวี้โม่ยิ้ม เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่อาจหุบยิ้มได้เลยเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะเหน็ดเหนื่อยมากเพียงใด แต่บนใบหน้าก็ยังเต็มไปด้วยความสุข

“เราไปกันเถิด หอคอยวิญญาณยังต้องการเวลาอีกสักพักเพื่อฟื้นฟูตัวเอง”

มู่อวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม หลังจากนี้หอคอยวิญญาณยังต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ และจนกว่าการฟื้นฟูนี้จะเสร็จสิ้น พวกเขาจำเป็นจะต้องปิดหอคอยวิญญาณไว้เป็นการชั่วคราว

เมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนก็จะได้ชื่นชมและใช้งานหอคอยวิญญาณโฉมใหม่ ผลของการซ่อมแซมครั้งนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่เพียงชั้นที่เจ็ดเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีมหาศาลต่อชั้นหนึ่งถึงหกด้วย และนั่นก็หมายความว่าการฝึกฝนในหอคอยแห่งนี้จะได้รับประโยชน์และเห็นผลมากกว่าก่อนหน้านี้มาก

ผู้อาวุโสทุกคนพยักหน้าและทยอยเดินลงไปจากชั้นที่เจ็ด เหลือเพียงท่านอธิการผู้ยิ่งใหญ่และนักเรียนตัวน้อยผู้อ่อนล้าเท่านั้น

“เสี่ยวอวี้โม่ ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าจริง ๆ”

มู่อวิ๋นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด นางรับรู้ได้ถึงผลลัพธ์อันแสนวิเศษแล้ว คำขอบคุณของมู่อวิ๋นไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าคิดจะเข้าไปในดินแดนต้องห้ามอีกครั้งใช่หรือไม่ ?”

มู่อวิ๋นมองดูท่าทีของฉินอวี้โม่ เมื่อเห็นรอยยิ้มและสายตาแสนมุ่งมั่นของนางเขาก็เข้าใจความหมาย อธิการผมสีมหาสมุทรยิ้มตอบแล้วกล่าวต่อ

“ในดินแดนต้องห้ามมีโอกาสวาสนานับไม่ถ้วน เจ้าจะคว้ามันมาได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง ครั้งนี้ข้าจะให้สิทธิพิเศษแก่เจ้า”

เมื่อได้ยินสิ่งที่มู่อวิ๋นกล่าว ฉินอวี้โม่ก็จ้องมองด้วยสายตาฉงนแล้วเอ่ยถาม “สิทธิพิเศษ ? มันคืออะไรหรือเจ้าคะ ?”

“ข้าให้สิทธิในการเข้าไปในดินแดนต้องห้ามกับเจ้าได้อย่างไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ครั้งนี้เจ้าจะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ จะไปที่ไหนก็ไม่มีข้อห้าม ทางโรงเรียนจะไม่มีการเข้าไปแทรกแซง ทุกอย่างที่เจ้าเก็บเกี่ยวได้จากดินแดนต้องห้ามจะเป็นของเจ้าทั้งหมดไม่มีข้อแม้ เมื่อใดที่เจ้าอยากจะออกมาเพียงแค่ทำลายแผ่นป้ายสำหรับเคลื่อนย้ายก็พอ”

มู่อวิ๋นคลี่ยิ้มกว้าง นี่เป็นสิทธิพิเศษที่นักเรียนทั่ว ๆ ไปไม่อาจเข้าถึงได้ ครั้งนี้ฉินอวี้โม่ช่วยเหลือโรงเรียนไว้อย่างมหาศาล นางยังมีความแข็งแกร่งที่โดดเด่น มู่อวิ๋นคิดมาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมอบสิทธิพิเศษเช่นนี้ให้กับนาง

…นั่นคือไม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาและขอบเขตพื้นที่ที่ต้องการไปเยือน…

ต้องทราบก่อนว่าที่ป่าลึกลับแห่งนั้นถูกเรียกขานว่าดินแดนต้องห้ามก็เพราะว่ามีพื้นที่บางส่วนที่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปได้โดยง่าย มิใช่เพราะหวงห้ามแต่เป็นเพราะหากไม่แข็งแกร่งมากพอจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดออกมาได้ อย่างไรก็ตามสถานที่น่ากลัวดังกล่าวก็มีวาสนามหาศาลให้เก็บเกี่ยว ครั้งนี้การที่ฉินอวี้โม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ ต้องบอกเลยว่านี่คือโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ของนาง

“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณมาก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มรับและบอกกล่าวท่านอธิการว่าจะเข้าไปในดินแดนต้องห้ามในอีกสามวันข้างหน้า

ก่อนหน้านี้ หลังจากทราบว่าจะได้ไปยังดินแดนต้องห้ามอีกครั้ง คุณหนูสี่ตระกูลฉินยังมีเรื่องที่น่ากังวลอยู่ใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่ง

นั่นคือนางไม่ทราบเลยว่าซิวจะตื่นอีกครั้งเมื่อใด และไม่ทราบด้วยว่าดินแดนต้องห้ามมีสถานที่ลึกลับใดที่จำเป็นหรือสมควรเข้าไปบ้าง เนื่องจากนางคิดว่าการเข้าไปในครานี้มีระยะเวลาจำกัดไว้เช่นครั้งก่อน ถ้าหากเข้าไปเร็วเกินไปและซิวยังไม่ตื่น อดีตนักฆ่าสาวก็เกรงว่าตนจะพลาดสิ่งล้ำค่าไปได้

ทว่าในเมื่อตอนนี้มู่อวิ๋นมอบสิทธิพิเศษให้แก่นาง เรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

ตั้งแต่สิ้นสุดการสอบเข้าโรงเรียนครั้งนั้น ฉินอวี้โม่ก็ติดใจสงสัยและอยากรู้มาตลอดว่าภายในดินแดนต้องห้ามจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ยิ่งเมื่อได้ฟังคำฝากฝังของซิวก่อนออกมาจากที่แห่งนั้นด้วยแล้ว แน่นอนว่าคุณหนูผู้มีวิญญาณแห่งนักฆ่าย่อมอยากจะเข้าไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

อย่างไรก็ตาม การซ่อมแซมหอคอยวิญญาณทำให้นางสูญเสียพลังมายาไปมาก ไม่ใช่แค่พลังมายา แต่พละกำลังของร่างกายก็เหือดแห้งแทบไม่หลงเหลือ เวลานี้นางจึงต้องการการพักผ่อนมากที่สุด และคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวันสำหรับการพักฟื้นก่อนจะเข้าไปในดินแดนต้องห้าม

หากเวลานั้นมาถึง นางสามารถเข้าไปค้นหาประสบการณ์ในดินแดนต้องห้ามขณะรอให้ซิวตื่นขึ้นได้ หลังจากนั้น เมื่ออสูรแห่งโชคชะตาตื่นขึ้น มันก็จะช่วยนางค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในดินแดนต้องห้ามได้

มู่อวิ๋นพยักหน้ารับรู้และบอกให้ฉินอวี้โม่ไปหาเขาที่ห้องทำงานของอธิการในอีกสามวันให้หลัง

เพียงพริบตาเวลาแห่งการฟื้นฟูร่างกายสามวันก็สิ้นสุดลง ฉินอวี้โม่บอกกล่าวเยว่ชิงเฉิงและสหายคนอื่น ๆ เรื่องที่ตนจะเข้าไปฝึกฝนอยู่ภายในดินแดนต้องห้ามสักระยะหนึ่งเพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นห่วง นอกจากนี้นางยังไปบอกกับพี่ชายและพี่สาว ฉินอี้เพ่ยและฉินอี้เฉียงเพื่อให้พวกเขาไม่ต้องกังวล

รุ่งเช้าวันที่สี่ ฉินอวี้โม่ก็ไปที่ห้องของท่านอธิการอีกครั้ง

“ท่านอธิการ ข้ามีบางสิ่งอยากจะบอกโม่ฉือ แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน การจะหาตัวเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นหากท่านมีโอกาสพบคนผู้นั้น โปรดบอกเขาด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วงข้า…”

ฉินอวี้โม่ฝากข้อความที่อยากจะบอกกับหานโม่ฉือไว้กับมู่อวิ๋น เนื่องจากนางไม่สามารถตามหาตัวบุรุษน้ำแข็งในเวลานี้ได้ การฝากข้อความไว้กับท่านอธิการที่เขาสนิทสนมจึงเป็นทางเลือกเดียว เผื่อในกรณีที่เขามาหานางที่โรงเรียนมู่อวิ๋นจะได้บอกต่อเรื่องนี้กับเขาได้

มู่อวิ๋นพยักหน้าก่อนจะกล่าววาจาติดตลก “ไม่ต้องกังวล ข้าจะบอกเขาให้เพราะข้าเองก็กลัวว่าเขาจะเป็นห่วงเจ้าจนทำลายเขตอาคมและบุกเข้าไปในดินแดนต้องห้าม”

สำหรับหานโม่ฉือ มู่อวิ๋นจนปัญญาโดยสมบูรณ์ เขาไม่สามารถควบคุมศิษย์ผู้นี้ได้เลย หานโม่ฉือเป็นบุรุษที่เอาแต่ใจมากคนหนึ่ง หากเขาเป็นห่วงดรุณีน้อยตรงหน้านี้ คนเอาแต่ใจอาจจะบุกเข้าไปในดินแดนต้องห้ามโดยไม่สนใจผู้ใดหรือสิ่งใด หากเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าจะเกิดปัญหาไม่น้อย

“ไม่ต้องห่วง เขาจะไม่ทำเช่นนั้นแน่”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ บนใบหน้างานประดับรอยยิ้มอ่อน นางไม่คิดว่าหานโม่ฉือจะทำเช่นนั้น ในตอนนี้เสมือนจิตใจของนางและเขาเชื่อมโยงถึงกันได้ ฉินอวี้โม่เชื่อว่าคนผู้นั้นจะเข้าใจแน่ว่านางต้องการสิ่งใดเป็นแน่

เมื่อเห็นท่าทางแสนมั่นใจและน้ำเสียงที่แน่วแน่ของสตรีตรงหน้า มู่อวิ๋นก็อดยิ้มไม่ได้

“ข้ายิ่งเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าเหตุใดเสี่ยวโม่ฉือถึงได้ตกหลุมรักเจ้า และเจ้าเองก็คงลืมเขาไม่ได้”

หากจะให้วิเคราะห์แล้ว ในสายตาที่ผ่านโลกมามากมายของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือคือคนประเภทเดียวกัน พวกเขามีความเหมือนที่เข้ากันได้ดี ขณะที่มีความต่างที่เติมเต็มกันและกันได้ เมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันก็จะยิ่งส่งเสริมซึ่งกันและกัน คนคู่นี้นับว่าเหมาะสมกันยิ่งนัก

ฉินอวี้โม่อมยิ้มน้อย ๆ ทว่าไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา บางความรู้สึกไม่จำเป็นต้องสื่อสารด้วยวาจา ไม่จำเป็นต้องอธิบาย การอยู่ร่วมกันของนางและหานโม่ฉือไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่ใคร ๆ คิด แต่ทั้งคู่กลับเหมือนมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกันจนไม่สามารถแยกให้ขาดจากกันได้

“เสี่ยวอวี้โม่ ไม่ว่าอย่างไร ตอนเข้าไปในดินแดนต้องห้ามเจ้าต้องระวังตัวให้ดี ในป่าแห่งนี้มีบางสิ่งที่น่ากลัวแฝงตัวอยู่ สิ่งที่แม้แต่ข้าก็ยังหวั่นเกรง”

มู่อวิ๋นปรับเปลี่ยนท่าทีและสีหน้า เขาเอ่ยเตือนลูกศิษย์สาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

การที่ป่าลึกลับภายในเขตโรงเรียนกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามได้มีเหตุผลที่ค่อนข้างซับซ้อน ในตอนที่มู่อวิ๋นเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของป่า เขาพบบางอย่างที่น่าหวั่นเกรงจนตัวเขาเองยังถึงกับสั่นสะท้าน

เมื่อได้ฟังคำเตือนของท่านอธิการ ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้ารับคำช้า ๆ ทว่าความสงสัยในหัวใจที่เคยมีมาก่อนหน้านี้กลับทวีคูณมากขึ้นหลายสิบเท่า

ดูเหมือนว่าในดินแดนต้องห้ามจะมีความลับบางอย่างที่แม้แต่มู่อวิ๋นหนึ่งในบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินก็ยังต้องหวาดกลัว

“เอานี่ไป ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับอันตรายรูปแบบใด ขอเพียงเจ้าทำลายป้ายแผ่นนี้ เจ้าจะถูกส่งตัวกลับออกมาในทันที มันถือเป็นสิ่งที่จะช่วยปกป้องชีวิตเจ้า”

มู่อวิ๋นส่งแผ่นป้ายขนาดเล็กแผ่นหนึ่งให้ฉินอวี้โม่ ป้ายแผ่นนี้ทำจากดินเผา แม้ไม่ได้เปราะบางแตกหักง่าย แต่ก็สามารถทำให้แหลกสลายได้ด้วยการใช้พลังมายาเข้าช่วย จากนั้นผู้ปกครองแห่งโรงเรียนราชสำนักก็เอามือประทับลงบนผนังด้านหนึ่งของห้องทำงาน ในไม่กี่อึดใจถัดมาผังข่ายอาคมเคลื่อนย้ายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าคนทั้งสอง

“เข้าไปเถิด พวกเราจะรอคอยการกลับมาของเจ้า”

มู่อวิ๋นแย้มรอยยิ้มอ่อนโยน มือข้างหนึ่งผายออกเพื่อส่งสัญญาณให้ฉินอวี้โม่ผ่านเข้าไป

คุณหนูสี่ตระกูลฉินโค้งตัวทำความเคารพบุรุษอาวุโสก่อนจะก้าวเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล

อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็ไม่อาจทราบได้ว่าโอกาสวาสนาแบบใดหรือมากน้อยเพียงใดที่นางจะได้รับในระหว่างการแสวงหาประสบการณ์ในดินแดนต้องห้ามเช่นเดียวกับที่นางไม่ได้ล่วงรู้แม้แต่น้อยว่าตนจะต้องพบเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกือบสูญเสียสิ่งสำคัญไปในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอีกหลายเดือนต่อจากนี้

หลังจากแสงสว่างจัดจ้าชวนแสบตาวาบขึ้นมาชั่วอึดใจ ฉินอวี้โม่ก็พบว่านางมาปรากฏตัวอีกครั้งในดินแดนต้องห้ามแล้ว

ตำแหน่งที่คุณหนูสี่ปรากฏตัวครานี้แตกต่างไปจากเมื่อครั้งทดสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักมาก นั่นเพราะนางไม่มีความรู้สึกคุ้นเคยกับพื้นที่แถวนี้เลยแม้แต่น้อย

ในครั้งนี้ดูเหมือนว่านางจะอยู่บริเวณชายขอบของดินแดนต้องห้าม เนื่องจากด้านหนึ่งเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างขนาดใหญ่ ขณะที่อีกด้านเป็นเขตป่าทึบอันไพศาล

หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ฉินอวี้โม่ก็มุ่งตรงเข้าไปยังเขตป่าทึบ

ทุ่งโล่งกว้างนั้นเงียบสงบ นอกเหนือจากต้นหญ้าเขียวขจีและต้นไม้ประปรายแล้วมันก็คล้ายจะร้างไร้ซึ่งสรรพสิ่งใด ๆ ทว่าสัญชาตญาณนักฆ่ากลับบอกว่ามันเงียบเกินไปจนน่าประหลาด และนั่นทำให้ฉินอวี้โม่หวั่นเกรงที่จะสำรวจมันในตอนนี้

สตรีผู้ครองกายเทพมายาเลือกเข้าไปในเขตป่าเพราะมีความคุ้นเคยและรู้ถึงปลอดภัยที่มากกว่า อย่างน้อย ๆ ในซอกหลืบของพงไพรก็ยังมีพื้นที่ให้อำพรางร่างกาย ซึ่งนี่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการปกป้องตนเองของนางได้ก่อนที่ซิวจะตื่นขึ้น

“นายหญิง ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนหรือ ?”

แสงหนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมเสียง พริบตาต่อมาเจ้าเหยี่ยวปีกทองเสี่ยวจินก็ปรากฏอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่

ในเวลาเดียวกัน อสูรตัวอื่น ๆ ก็ปรากฏขึ้นรอบกายฉินอวี้โม่

เวลานี้พวกมันล้วนอยู่ในร่างมนุษย์ แม้แต่สมาชิกใหม่อย่างอสูรสาวมารยาก็ยืนแย้มยิ้มอยู่เคียงข้างผู้เป็นนายด้วยท่าทางอารมณ์ดี คงมีแต่เจ้าเพียงพอนขนหนาที่ยังคงเกาะหนึบอยู่บนไหล่สตรีเลอโฉมไม่ไปไหน แม้ระดับของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างไร แต่ไหล่ของนายหญิงก็ยังเป็นสถานที่วิเศษสุดที่ซึ่งมันชื่นชอบมากที่สุดอยู่ดี

“ที่นี่คือป่าของดินแดนต้องห้าม พวกเราจะเข้าไปดูว่าจะพบสมบัติอะไรในนั้นบ้าง”

ฉินอวี้โม่กล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม

“สมบัติอย่างนั้นหรือ ?! / หา / สมบัติ ?!”

เมื่อได้ยินคำตอบของฉินอวี้โม่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน รวมถึงพวกพ้องอสูรมายาตัวอื่น ๆ ของมันก็เบิกตากว้างพร้อมกับส่งเสียงอุทานอย่างอดไม่ได้ พวกมันแทบทุกตัวมองนายหญิงคนงามอย่างมีความหวัง ดวงตาเกือบสิบคู่เป็นประกายสดใสจนชวนให้หมั่นไส้

อาการตาลุกวาวราวกับเด็กได้ของเล่นทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘สมบัติ’ ของเหล่าสมาชิกคณะอสูรอวี้โม่เช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็ทราบว่าได้รับอิทธิพลมาจากผู้ใด

เมื่อเห็นท่าทางของอสูรมายาทั้งหลายในสังกัด ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มขำไม่ได้ แต่กระนั้นมันก็เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขล้น … ‘โอกาสในการเก็บเกี่ยวและกอบโกยเป็นกำไรชีวิตและยังเป็นเส้นทางมุ่งสู่โอกาสต่อไป เจ้าพวกนี้สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นอสูรของนาง ไม่เสียแรงที่สั่งสอนสักนิด’

หนึ่งคนกับหนึ่งขบวนอสูรมายาออกเดินทางมุ่งหน้าตรงเข้าไปในเขตผืนป่าของดินแดนต้องห้ามอย่างรวดเร็ว