เสี่ยวกวน “…” นี่มันช่างร้ายกาจนัก
เขาแปลกใจเหลือเกิน พระชายาให้เขาแพร่ข่าวนี้ไปถึงหูเซี่ยฉุนเหวย ไม่แน่ว่าจะทำให้เซี่ยฉุนเหวยคิดแก้แค้นและเกิดโทสะ มีเป้าหมายเพื่ออะไรกันแน่
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เป้าหมายคือทำให้เซี่ยฉุนเหวยตบเซี่ยชูมั่วนี่เอง
ตอนนี้ก็เท่ากับว่าโจมตีเซี่ยชูมั่วในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างโดนตบหน้า หรือว่าเรื่องใหญ่อย่างทำลายชื่อเสียง ขอเพียงทำให้เซี่ยชูมั่วเจ็บปวด พระชายาล้วนต้องการทั้งนั้นใช่หรือไม่
ในโลกนี้มีความรู้สึกล้ำลึกประเภทหนึ่งเรียกว่าเห็นใจ แต่ว่าสำหรับเซี่ยชูมั่วผู้นี้ นางหาเรื่องใส่ตัวเอง
……
วังหลวง
หน้าโต๊ะทรงงานของฮ่องเต้ เป่ยเฉินอี้ยืนอยู่เบื้องหน้าปล่อยให้ฮ่องเต้ทรงตำหนิ “เป่ยเฉินอี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่า เจ้าทำเช่นนี้เป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของราชวงศ์”
เป่ยเฉินอี้พยักหน้า กวาดตามองฮ่องเต้ เอ่ยเสียงขรึมว่า “ต่อให้ไม่รู้ชัด แต่ยามนี้เมื่อเสด็จพี่บันดาลโทสะก็รู้ชัดเจนแล้ว”
“เจ้า” ฮ่องเต้พระพักตร์คล้ำเขียว สายพระเนตรทอดมองภาพชุนกงบนโต๊ะ ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน เนื้อหาในภาพเปลี่ยนจากเยี่ยเม่ยกลายเป็นเซี่ยชูมั่ว คิดแล้วสีพระพักตร์ยิ่งทวีความขุ่นหมอง ทรงหยิบภาพขึ้นมาจับจ้องเป่ยเฉินอี้ด้วยความดุร้าย “เจ้าเป็นเสี่ยวกวนหรือไง ถึงได้เป็นตัวละครเอกในภาพชุนกงของเมืองหลวงทุกแผ่น ศักดิ์ศรีของราชวงศ์เสื่อมเสียเพราะเจ้าจนหมดสิ้นแล้ว”
เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วกลับไม่เลิกคิ้วเลยสักนิด ตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “เสด็จพี่ หากศักดิ์ศรีของราชวงศ์เสื่อมเสียได้ง่ายๆ เพราะเรื่องของข้า อย่างนั้นก็พิสูจน์แล้วว่าศักดิ์ศรีของราชวงศ์ช่างบอบบางนัก”
“เจ้ายังจะกล้าเถียงอีก” ฮ่องเต้โมโหเสียจนพระพักตร์ซีดขาว
เป่ยเฉินอี้ไม่พูดแต่กลับหัวเราะออกมา
หลังจากฮ่องเต้มีสีพระพักตร์ไม่ชวนมอง ก็ตรัสว่า “ข้าไม่เชื่อ ด้วยสติปัญญาความฉลาดของเจ้าจะสืบไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำ แต่เจ้ากลับชักช้าไม่จัดการ ปล่อยให้ตัวเจ้าเปลี่ยนจากตัวเอกภาพชุนกงเรื่องหนึ่งไปเป็นตัวเอกของอีกเรื่อง ทำไม… ช่วงก่อนเจ้าไม่ได้อำนาจทางทหารไปจากข้า ดังนั้นจงใจหาเรื่องข้ากับราชวงศ์อย่างนั้นหรือ”
เมื่อมาถึงตรงนี้ ก็เท่ากับเอ่ยความไม่พอพระทัยของฮ่องเต้ออกมาแล้ว
นี่ทำให้คนรู้ว่าความจริงเขาฉวยโอกาสแสดงอำนาจ เป่ยเฉินอี้คิดชิงอำนาจผู้บัญชาการกองกำลังรักษาเมือง ทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย ถึงได้ฉวยโอกาสนี้ตำหนิเขา
เป่ยเฉินอี้กลับทำเหมือนไม่เข้าใจความต้องการของฮ่องเต้
เขาเงียบไปก่อนกล่าวว่า “กระหม่อมมิกล้า เพียงแต่เสด็จพี่และกระหม่อมต่างก็เป็นบุรุษ ผู้ชายไม่จำเป็นต้องใส่ใจสิ่งเหล่านี้ ข่าวลือพวกนี้อย่างมากก็บอกว่าข้าเป็นบุรุษเจ้าสำราญ เหตุใดเสด็จพี่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย”
“ทำไมข้าต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ เช่นนั้นเจ้าลองพูดมา ทำไมตัวละครเอกในภาพเมื่อหลายวันก่อนถึงเป็นเยี่ยเม่ย เยี่ยเม่ยมีฐานะอะไร เจ้าไม่เข้าใจหรือ ภายนอกเผยแพร่ภาพของเสด็จอากับนาง เจ้าไม่คิดถึงหน้าตาของราชวงศ์บ้างหรือ”
ฮ่องเต้ตรัสความระแวงสงสัยของตนออกมา
เขาสงสัยว่าว่าภาพพวกนี้ ความจริงเป่ยเฉินอี้จงใจเผยแพร่ภาพพวกนี้ออกไปภายนอกเอง เป้าหมายก็เพื่อทำลายชื่อเสียงเยี่ยเม่ย ส่วนสาเหตุที่เขาแค้นเยี่ยเม่ยก็คือหลายวันก่อน สุดท้ายทหารสองแสนนายไปตกอยู่ในมือเยี่ยเม่ย
เป่ยเฉินอี้เริ่มเข้าใจความสงสัยของเขาแล้ว
แต่ในความระแวงสงสัยของฮ่องเต้ถึงจะเป็นประโยชน์กับเยี่ยเม่ยมากที่สุด เขาจึงเอ่ยว่า “ตอนที่เยี่ยเม่ยแย่งชิงอำนาจทางทหารกับข้า เคยคิดถึงหน้าตาของราชวงศ์บ้างหรือไม่ เคยคิดถึงหน้าตาของเสด็จอาอย่างข้าบ้างไหม หากไม่เคยคิด แล้วข้าจะคิดถึงหน้าตานางได้อย่างไร”
คำพูดนี้ถึงแม้ไม่นับเป็นการยอมรับว่าเขาเป็นคนทำภาพชุนกง แต่ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจในตัวเยี่ยเม่ย
ฮ่องเต้สีพระพักตร์แปรเปลี่ยน คิดไม่ถึงเลยว่าเป่ยเฉินอี้จะพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม เอ่ยความไม่พอใจในตัวเยี่ยเม่ยออกมา เหนือความคาดหมายของพระองค์นัก
ฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยปากว่า “วันนั้นเยี่ยเม่ยหาได้ขออำนาจทางทหารจากข้า สุดท้ายอำนาจทางทหารอยู่ที่นางก็เป็นการตัดสินใจของข้าเอง เจ้าไม่พอใจข้าหรืออย่างไร”
“กระหม่อมไม่กล้าไม่พอใจเสด็จพี่ หรือไม่อาจไม่พอใจเยี่ยเม่ยที่เป็นผู้เยาว์ได้ด้วยหรือ” เป่ยเฉินอี้ย้อนถาม
ฮ่องเต้พลันชะงักไป สีพระพักตร์ตะลึง
ในเวลานี้เป่ยเฉินอี้หัวเราะเสียงเย็นออกมาคำหนึ่ง กล่าวต่อว่า “สี่ปีก่อน เสด็จพี่นำราชโองการไปจากข้า ยอมไว้ชีวิตคนของราชวงศ์จงเจิ้ง แต่สุดท้ายพวกเขายังตายในเงื้อมมือของท่าน เสด็จพี่เข้าใจหรือไม่ว่าท่านติดค้างอะไรข้าอยู่”
ฮ่องเต้สีพระพักตร์แปรเปลี่ยนอีกครั้ง พระองค์ไม่คิดเลยว่า เรื่องผ่านไปหลายปีแล้ว เป่ยเฉินอี้ยังจะหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง
ความจริงคำตอบของคำถามนี้ก็เห็นได้ชัดเจนมาก
พระองค์ติดค้างอะไรเป่ยเฉินอี้…
บอกว่าติดค้างราชโองการฉบับหนึ่ง ไม่สู้บอกว่าติดค้างตำแหน่งฮ่องเต้ต่างหาก
พระองค์นำราชโองการฉบับนั้นไป บีบให้เป่ยเฉินอี้กลืนยาพิษ กลับไม่รักษาคำสัญญา ยังคงสังหารคนของราชวงศ์จงเจิ้งทั้งหมด เป่ยเฉินอี้ย่อมถามพระองค์เรื่องนี้แน่
เพียงแต่เป่ยเฉินอี้ไม่เคยถามมาก่อน ฮ่องเต้หลงคิดว่าเขาไม่กล้าถาม อย่างไรเสียนั่นก็เป็นราชโองการของอดีตฮ่องเต้ หลังจากเป่ยเฉินอี้มอบให้ฮ่องเต้แล้ว พระองค์ก็ทำลายมันโดยไม่ลังเลเลย ดังนั้นเป่ยเฉินอี้ไม่มีหลักฐาน เมื่อเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาก็เท่ากับคิดกบฏ
ตามหลักแล้ว ฮ่องเต้ฟังคำพูดของเป่ยเฉินอี้ก็สมควรบันดาลโทสะ ตัดสินสังหารเป่ยเฉินอี้ แต่ว่าพระพักตร์ของพระองค์ถึงกับฉายแววความว้าวุ่น คล้ายกังวลว่าเป่ยเฉินอี้จะพูดมากกว่านี้จึงตรัสว่า “พอแล้ว เรื่องในปีนั้นข้าคร้านจะพูดกับเจ้าอีก ไสหัวไปซะ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เป่ยเฉินอี้ก็คล้อยตาม จากมาแล้ว
……
หลังจากออกจากประตู ชิงเกอกลับกลัดกลุ้ม เขาอยู่หน้าประตูได้ยินคำพูดภายในอย่างชัดเจน ถามด้วยความแปลกใจว่า “ท่านอ๋อง ท่านกล่าวเช่นนี้อันตรายมาก ท่านไม่รู้หรือ”
เป่ยเฉินอี้แค่นหัวเราะ ตอบเสียงขรึมว่า “เสด็จพี่ตามตัวข้ามา ดูเหมือนเขาต้องการตำหนิข้า แต่ความจริงก็เพื่อลอบหยั่งเชิงว่าท่าทีที่ข้ามีต่อเยี่ยเม่ย ด้วยสติปัญญาของเสด็จพี่ย่อมไม่ระแวงความสัมพันธ์ของข้ากับเยี่ยเม่ยแน่ อย่างนั้น…ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ก็คือมีคนมาบอกเรื่องพวกนี้กับเขา”
“ท่านหมายถึง เซี่ยโหวเฉิน?” ชิงเกอรีบถาม
เป่ยเฉินอี้พยักหน้า ตอบว่า “ไม่ผิด หากข้าเดาไม่ผิด เซี่ยโหวเฉินต้องฟังอยู่หลังฉากกั้นลมแน่ ในสถานการณ์เช่นนี้ เสด็จพี่ได้แต่ขับไล่ข้าออกมา มิเช่นนั้นหากข้าพูดอะไรมากเกินไป หรือยั่วโทสะเขาจะประหารข้าแล้ว เซี่ยโหวเฉินก็รู้แล้วว่าปีนั้นมีความลับใหญ่ เจ้าว่าเสด็จพี่จะสังหารเขา หรือว่ายอมนั่งบนบัลลังก์ด้วยความไม่สงบใจกัน หากในคืนหนึ่งสังหารอี้อ๋องและท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหวภายในคืนเดียว เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไปเสด็จพี่ก็ยากจะให้คำตอบกับคนทั่วหล้าได้”
ชิงเกอสูดลมหายใจลึก “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นท่านไม่คิดฟังคำตำหนิติเตียนเพื่อลอบหยั่งเชิงของฝ่าบาท ถึงได้ใช้วิธีนี้เพื่อหลบออกมา”
“ยังไม่นับว่าโง่มากนัก” เป่ยเฉินอี้วิจารณ์
ชิงเกอบุ้ยปาก ติดตามนายท่านมาตั้งนาน ต่อให้ข้าน้อยเคยเป็นหมูตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้ก็สมควรฉลาดขึ้นมาบ้างแล้วได้หรือเปล่า
……
แล้วก็เป็นดังคาด
หลังจากเป่ยเฉินอี้จากไป เซี่ยโหวเฉินเดินออกมาจากหลังฉากกั้นลม เขาสงสัยเหลือเกินว่าคำที่เป่ยเฉินอี้ถามนั้นหมายความว่าอะไรกันแน่ อะไรคือฮ่องเต้ติดค้างเป่ยเฉินอี้อยู่
หลังจากเดินออกมา เขาก็ไม่กล้าเป็นฝ่ายรุกถาม
เพื่อกันไม่ให้เซี่ยโหวเฉินสงสัย ฮ่องเต้ก็ได้แต่เอ่ยปาก “เจ้าสารเลวนี่ ยังจดจำเรื่องเมื่อหลายปีก่อนได้ ข้าเคยจะให้เขาเป็นผู้นำทหารในราชสำนัก ทั้งเอามาแลกกับการให้ข้าไว้ชีวิตคนของราชวงศ์จงเจิ้ง ถึงกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ แต่เขามีใจคิดอะไรอยู่ใครต่างก็รู้ ข้าจะมอบทัพทหารให้เขาได้อย่างไร”
เซี่ยโหวเฉินฟังแล้ว ถึงแม้ยังสงสัยแต่เรื่องเกรงว่าจะไม่ง่ายดายนัก เมื่อฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ เขาก็เชื่อครึ่งหนึ่ง พยักหน้าเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าอี้อ๋องถึงได้จับจ้องอำนาจทางทหารไม่เลิก”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นว่าเขาคล้ายจะเชื่อแล้ว ก็วางพระทัยลง กวาดพระเนตรมองเขา “ข้าทำตามความต้องการของเจ้า เรียกตัวเป่ยเฉินอี้มาแล้ว ดูจากท่าทางเขาเห็นเยี่ยเม่ยเป็นศัตรู ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
เซี่ยโหวเฉินฟังกลับส่ายหน้า เอ่ยว่า “ฝ่าบาท เป่ยเฉินอี้เป็นคนยากคาดเดาได้ เขาเอ่ยเช่นนี้ กระหม่อมคิดว่าไม่น่าเชื่อนัก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะแกล้งทำเพื่อให้ฝ่าบาทติดกับก็ได้”
ฮ่องเต้กลับทอดพระเนตรเขาอย่างคัดค้าน “เราเห็นคนอย่างพวกเจ้า ยามปกติก็คิดมากเกินความ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ พักผ่อนเสีย กันไม่ให้ครุ่นคิดจนเหนื่อยแล้ว”
เซี่ยโหวเฉิน “…?” กันไม่ให้ครุ่นคิดจนเหนื่อยแล้ว ฝ่าบาทท่านคิดเช่นนี้จริงหรือ