ตอนที่ 446 การขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมือง

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ท่านอาวุโสทั้งสองได้โปรดหยุดก่อน” คนที่ยืนอยู่หน้าประตูมีระดับบำเพ็ญเพียรอยู่ในระดับสร้างรากฐานชั้นปลาย ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาสามคนอย่างเคารพนบนอบ ละเลยหู่โถวโดยปริยาย

 

 

หู่โถวชักริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร

 

 

“มีเรื่องอะไร” เยี่ยเทียนหยวนถามเสียงเย็น

 

 

หากว่าเป็นเวลาปกติพบเจอเรื่องเช่นนี้เขาย่อมไม่สนใจใยดี ตอนนี้มีศิษย์น้องอยู่ข้างกาย จะทำอะไรย่อมไม่อาจสนใจแค่ความคิดตัวเองได้แล้ว

 

 

อำนาจของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายพุ่งพัดเข้ามา นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก้าวถอยหลังลงไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็ยืดตัวผ่ายไหล่ผึ่ง พูดเสียงใสว่า “ท่านอาวุโส ท่านเจ้าเมืองอยากเชิญทั้งสามท่านไปยังจวนเจ้าเมืองพูดคุยเสียหน่อย”

 

 

“ขออภัย วันนี้พวกเรามีธุระต้องออกไปข้างนอก” เยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้นเรียบๆ

 

 

มั่วชิงเฉินใจเต้นรัว หรือว่าเรื่องการเดินทางไปหลิวโจวมาถึงเวลานี้จะเกิดอุปสรรคอีกแล้ว

 

 

เห็นพวกเยี่ยเทียนหยวนทั้งสามคนก้าวขาเตรียมจากไป นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็รีบก้าวขึ้นขวางทั้งสามเอาไว้

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าไร้ความรู้สึกมองคนผู้นั้น บรรยากาศเย็นลงในทันใด

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล เกิดความรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก

 

 

เสียงฟันกระทบกันดังมาให้ได้ยิน เขาฝืนเอ่ยปากพูดว่า “ท่านอาวุโสอย่าได้ทำให้ข้าน้อยต้องลำบากใจเลย ท่านเจ้าเมืองกำชับมาว่าให้เชิญนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งหมดรวมตัวกันที่จวนเจ้าเมือง”

 

 

“หากไม่ทำตามเล่า” เสียงของเยี่ยเทียนหยวนเย็นเฉียบ

 

 

นักบำเพ็ญระดับสร้างรากฐานชั้นปลายยื่นมือ ชี้ไปยังไปยังประตูเมือง “ท่านเจ้าเมืองได้สร้างปราการห้ามไว้ตรงประตูเมืองแล้ว หากมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก้าวเท้าออกจากเมืองไปเขาจะรับรู้ได้ในทันใด”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลงไปเล็กน้อย มองไปยังพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคน พูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าเมืองของพวกเรา เป็นถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลาย”

 

 

‘นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลาย?’

 

 

มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนหันมาสบตากัน

 

 

มองดูท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของทั้งสองคนด้วยความพอใจ นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหลุบตาลง เสียงยิ่งมีความเกรงใจเคารพมากขึ้น “ท่านอาวุโสทั้งสองตามข้าน้อยไปได้หรือไม่”

 

 

ทั้งสามคนไม่พูดอะไร เดินตามบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานไปยังจวนเจ้าเมือง

 

 

“ศิษย์พี่ ท่านว่าเจ้าเมืองเมืองเสวียนอู้ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ขวางทางนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณในเมืองไว้” ระหว่างที่เดินไปตามทาง มั่วชิงเฉินก็ส่งกระแสจิตเสียงถาม

 

 

นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนหยวนตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กเป็นแน่ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลายแม้จะมีฐานะสูงส่ง แต่เขาเป็นเจ้าเมือง เพียงอาศัยเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะทำเรื่องบังคับกักขังผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณด้วยตนเองเช่นนี้ นอกจากเรื่องนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก

 

 

มั่วชิงเฉินพูดเห็นด้วย “ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ข้าเดาว่าบางทีอาจมีพื้นที่ลับสักที่ถูกเปิดออก ภายในพื้นที่ลับมีของที่ท่านเจ้าเมืองต้องการ แล้วพื้นที่ลับแห่งนั้นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลายก็ยังเข้าไปไม่ได้ ถึงได้เกิดความคิดเรียกนักบำเพ็ญในเมืองเอาไว้”

 

 

ในโลกบำเพ็ญเพียรเรื่องเช่นนี้ถือว่าไม่แปลกใหม่ ไม่ใช่ว่าพื้นที่ลับทุกที่จะมีระดับบำเพ็ญเพียรยิ่งสูงยิ่งดี มีพื้นที่ลับบางแห่งที่เอาไว้ใช้ฝึกฝนลูกศิษย์โดยเฉพาะหลงเหลือมาจากสมัยโบราณ ที่เหล่านั้นมักจะกำหนดระดับบำเพ็ญเพียรของผู้เข้าเอาไว้ มีทั้งที่ต่ำกว่าระดับที่กำหนดไม่สามารถเข้าไปได้ และมีที่สลับกัน

 

 

ฉะนั้นนักบำเพ็ญเพียรที่มีระดับบำเพ็ญเพียรสูงไม่เข้าไปเอง เชิญนักบำเพ็ญเพียรที่อยู่ระดับต่ำกว่าเข้าไปทำภารกิจให้สำเร็จนางก็เคยได้ยินมาไม่น้อย

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “อาจจะเป็นไปได้ รอจนไปถึงจวนเจ้าเมืองพวกเราก็จะรู้เอง ศิษย์น้อง หากว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก พวกเราก็รับปากไปก่อน ขอเพียงแค่ออกมาจากจวนเจ้าเมือง เจ้าก็รีบหาโอกาสพาหู่โถวหนีไปก่อน”

 

 

มั่วชิงเฉินปฏิเสธทันควัน “ศิษย์พี่ คำพูดเช่นนี้ท่านไม่จำเป็นต้องพูด ข้าไม่มีทางไปคนเดียวเด็ดขาด หากจะต้องบุกตะลุยพื้นที่ลับจริง ในเมื่อนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลายไม่สามารถเข้าไปได้ เช่นนั้นก็มีเอาไว้สำหรับนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณ ข้าเป็นนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นกลางแล้วมีอะไรต้องหวาดกลัวกัน ไม่แน่ว่านี่อาจจะมีโอกาสที่ได้เปิดหูเปิดตา หากเป็นเรื่องอื่น…เป็นถึงนักบำเพ็ญระดับก่อกำเนิดชั้นปลายจะไม่เตรียมการได้อย่างไร มองดูนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณที่เขาบังคับฝืนใจหนีไปต่อหน้าต่อตา”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกัดฟัน เสียงแหบทุ้มต่ำ “ได้ ศิษย์น้อง ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร พวกเราจะเดินเคียงข้างกัน”

 

 

“ทั้งสามท่าน เชิญ” หยุดลงตรงบริเวณหน้าประตูจวนที่ดูปกติทั่วไป นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผายมือทำท่าเชื้อเชิญ จากนั้นก็เดินไปเคาะประตู

 

 

เข้าไปยังจวนเจ้าเมือง มั่วชิงเฉินเชิดหน้า อกผายไหล่ผึ่งเดินเข้าไป หางตากลับเหลือบพิจารณาสภาพแวดล้อมโดยรอบ

 

 

ภายในจวนไม่ได้เหมือนกับจวนของตระกูลบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ที่มีทิวทัศน์งดงามสีสันหลากหลาย ไม่มีก้อนหินหน้าตาแปลกประหลาด และไม่มีสัตว์ประหลาดราคาแพง แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าปกติก็ยังมีน้อย มีเพียงไอหมอกสีดำเท่านั้นที่หนาแน่นกว่าข้างนอก

 

 

ใต้เท้าก็เป็นพื้นหินที่ถูกปูโดยหินสีดำขนาดใหญ่ติดต่อกันจนไม่เห็นรอยต่อ ต่อให้ใส่รองเท้าก็ยังรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่ส่งขึ้นมาจากฝ่าเท้ามาจนถึงหัวใจ

 

 

“ทั้งสามท่าน โปรดรออยู่ที่นี่ก่อน อีกไม่นานท่านเจ้าเมืองจะออกมาพบ ข้าน้อยขอตัวลา” นำทั้งสามคนมาถึงหน้าประตูโถงรอง นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานค้อมตัวเดินจากไป

 

 

มั่วชิงเฉินมองประตูโถงรอง แม้สีหน้าจะดูเงียบสงบแต่ในใจกลับเกิดความสั่นไหวเล็กน้อย

 

 

ด้วยระยะห่างที่ใกล้เช่นนี้นางก็สามารถสัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของนักบำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันหลายคนที่อยู่ในโถงรอง หรือพวกเขาก็ถูกบังคับเชิญมาเช่นเดียวกัน?

 

 

เยี่ยเทียนหยวนผลักประตู เดินนำเข้าไปก่อน

 

 

มีสายตาหลากหลายคู่ที่จับจ้องพิจารณาทั้งสามคน

 

 

บนใบหน้าของมั่วชิงเฉินไม่มีความเคอะเขินเลยแม้แต่น้อย นางกวาดตามองคนที่อยู่ในห้องโถงพลางอมยิ้มและพยักหน้าน้อยๆ ถือเป็นการเอ่ยทักทาย

 

 

เพราะเยี่ยเทียนหยวนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายแล้ว ความสามารถของมั่วชิงเฉินก็ไม่ถือว่าอ่อนแอ นอกจากหญิงสาวผู้หนึ่งที่นั่งอยู่มุมในสุดจะมีสีหน้าไร้ความรู้สึกแล้ว คนอื่นที่เหลือก็พากันพยักหน้ารับ

 

 

หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มอายุราวสามสิบกว่าปียังลุกขึ้นยืน พูดออกมาว่า “ทั้งสอง…เอ่อ สหายเต๋าทั้งสามท่านเองก็ถูกท่านเจ้าเมืองเว่ยเชิญมาเช่นนั้นหรือ”

 

 

น้ำเสียงอบอุ่นทำให้คนที่ได้ฟังเกิดความรู้สึกดีไม่น้อย

 

 

“ใช่แล้ว” เยี่ยเทียนหยวนตอบกลับอย่างกระชับได้ใจความ จากนั้นก็เดินไปยังมุมหนึ่งก่อนจะนั่งลง

 

 

มั่วชิงเฉินมีความคิดจะไถ่ถามหาข้อมูลบางอย่าง จึงพูดต่อว่า “สหายเต๋าทุกท่านเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือ ไม่ทราบว่าที่ท่านเจ้าเมืองเรียกพวกเรารวมตัวกันมีเรื่องอะไรหรือ”

 

 

ความเงียบเข้าปกคลุมทำให้คนที่อยู่ในห้องโถงสองสามคนเข้ามารวมตัวกับทั้งสาม

 

 

ชายหนุ่มส่ายหน้าพูดว่า “ข้าน้อยเองก็ไม่รู้ว่าที่ท่านเจ้าเมืองเว่ยรวมตัวพวกเราเพราะเหตุใด แต่พอคิดดูน่าจะเข้าใจโดยเร็วแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินแสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมาอย่างเหมาะสม

 

 

ชายหนุ่มยิ้มพลางอธิบาย “พวกเราทยอยเข้ามาที่นี่ตั้งแต่สามวันก่อน ได้ยินผู้รับใช้เอ่ยบอกท่านเจ้าเมืองเว่ยว่าอย่างมากให้รออีกสามวันคอยเรียกพบพวกเรา”

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณสหายเต๋าที่บอกกล่าว” มั่วชิงเฉินเอ่ยขอบคุณ ดึงมือหู่โถวให้ไปนั่งกับเยี่ยเทียนหยวน

 

 

ในใจกลับรำพันว่าช่างโชคร้ายเสียจริง

 

 

เพราะจุดประสงค์ที่ท่านเจ้าเมืองเรียกพบทุกคนไม่ชัดแจ้ง นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเหล่านี้ที่มารวมตัวจึงไม่มีจิตใจมาพูดคุย บรรยากาศเงียบสนิทอย่างน่าแปลก

 

 

เมื่อมาถึงยามหัวค่ำก็ได้รับข่าวว่าท่านเจ้าเมืองเรียกทุกคนตามที่คาดได้

 

 

มีคนไม่น้อยที่แสดงสีหน้าผ่อนคลายออกมา ไปเผชิญหน้าก็ยังดีกว่าจะต้องมานั่งเครียดระแวงอยู่ตลอดเช่นนี้

 

 

มั่วชิงเฉินลอบสังเกตการณ์พบว่าหญิงสาวที่นิ่งเงียบมากที่สุดผู้นั้นยังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก เหมือนว่าไม่มีอะไรที่สามารถทำให้อารมณ์นางสั่นคลอนได้

 

 

นางเหลือบมองเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว อดหัวเราะออกมาไม่ได้

 

 

“ศิษย์น้อง เจ้าหัวเราะอะไรหรือ สังเกตพบเหตุการณ์อะไรหรือ” เยี่ยเทียนหยวนส่งกระแสจิตเสียงถามขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายหน้า นางไม่มีทางบอกเขาหรอกว่านางรู้สึกว่าหญิงสาวผู้นั้นช่างเหมือนกับเขาเสียเหลือเกิน

 

 

ภายใต้การนำทางของผู้รับใช้ คนกลุ่มหนึ่งใช้เวลาไม่นานก็ทาถึงห้องโถงใหญ่ของจวนเจ้าเมือง ยังไม่ทันถึงหน้าประตู บานประตูใหญ่ก็ถูกเปิดออกทั้งๆ ที่ไม่มีลม กลางห้องโถงมีชายผู้หนึ่งไพล่มือไว้ด้านหลัง ค่อยๆ หมุนตัวหันมา

 

 

ชายผู้นั้นดูแล้วเหมือนจะมีอายุเพียงยี่สิบสี่ ยี่สิบห้าปีเท่านั้น สวมใส่ชุดคลุมยาวสีดาวขลิบทอง เรียบง่ายไม่มีเครื่องประดับใดๆ แต่กลับให้ความรู้สึกโดดเด่นไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้คนไม่กล้าดูหมิ่น

 

 

‘ในโลกบำเพ็ญเพียรสมแล้วกับที่มีคนงามมากมายนับไม่ถ้วน’ มั่วชิงเฉินรำพึงรำพันอยู่ในใจ

 

 

“สหายทุกท่านเชิญเข้ามาเถิด” ชายหนุ่มเอ่ยปาก ไม่ได้แสร้งทำเป็นกระตือรือร้น แต่ก็ไม่ได้เย็นชาจนเกินไป

 

 

ทุกคนเดินเข้าไป พูดพร้อมกันว่า “เข้าพบท่านเจ้าเมืองเว่ย”

 

 

เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว เจ้าเมืองเว่ยก็ลอบสังเกตระดับบำเพ็ญเพียรของทุกคนได้ครบถ้วนเอ่ยเสียงพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องมากความ สหายทุกท่านนั่งลงตามสบายเถิด” พูดจบก็นั่งลงบนเก้าอี้กลางห้อง

 

 

ทุกคนหาที่นั่ง เมื่ออยู่ต่อหน้านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลายย่อมไม่มีใครวางตัวเป็นใหญ่ ร่ายกายโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย แสดงท่าทีตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ

 

 

พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคนที่ไม่ได้อยากเป็นที่แปลกประหลาดย่อมต้องทำตามนั้น

 

 

หู่โถวแม้จะไม่ได้แสดงนิสัยเด็กน้อยออกมา นั่งเรียบร้อยอยู่ข้างกายมั่วชิงเฉิน แต่ก็ดึงดูดสายตาจากเจ้าเมืองเว่ยไปไม่น้อย

 

 

เขาหดหัวกลับในทันใด พยายามลดการมีตัวตนของตนเองให้น้อยลง

 

 

แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือนักบวชน้อยตัวอ้วนกลมคนหนึ่งที่นั่งบิดตัวไปมา เพราะก้มหน้าลง ศีรษะสะท้อนแสงสว่าง ทำให้คนอดหลุดหัวเราะไม่ได้

 

 

ในตอนนี้เองที่เจ้าเมืองเว่ยพูดขึ้น “สหายทุกท่านมีทั้งที่ถูกตัวข้าสกุลเว่ยเชิญมาเมื่อสามวันก่อน มีที่เพิ่งมาถึงในวันนี้ คิดว่าคงจะมีคำถามเต็มไปหมด ไม่ทราบว่าจุดประสงค์ที่ตัวข้าสกุลเว่ยเชิญทุกท่านมาคืออะไร”

 

 

พูดจบก็กวาดสายตามองสีหน้าของทุกคนช้าๆ พลางพูดต่อว่า “พูดอย่างไม่ปิดบังที่ตัวข้าสกุลเว่ยเชิญทุกท่านมาด็เพราะมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากทุกท่าน”

 

 

ทุกคนตื่นตกใจ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลายผู้หนึ่งมาขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่โตและสำคัญอย่างมากเป็นแน่ พวกเขาอยู่เพียงระดับก่อแก่นปราณเท่านั้น อย่าได้เอาชีวิตอันด้อยค่าไปทิ้งไว้เลย

 

 

ชายหนุ่มที่พูดคุยก่อนหน้านี้ลุกขึ้น ประสานมือพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองเว่ย พวกเราเป็นเพียงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเท่านั้น มิอาจรับคำขอความช่วยเหลือจากท่านได้ หากมีธุระก็เพียงแค่เอ่ยปากสั่งมาเถิด พวกข้าน้อยย่อมต้องทำสุดความสามารถ”

 

 

มั่วชิงเฉินลอบชื่นชมอยู่ในใจ ชายผู้นี้ช่างเป็นคนที่ละมุนละม่อมไปทั่วทุกด้านเสียจริง

 

 

พูดตามจริงแล้วสิ่งที่คนในโลกบำเพ็ญเพียรให้ความสําคัญมากกว่าก็คือการบำเพ็ญเพียรของตนเอง โดยเฉพาะหลังจากที่เข้ามาถึงระดับก่อแก่นปราณ นิสัยที่พวกเขาแสดงออกมาย่อมจริงใจกว่าคนธรรมดาอยู่มาก

 

 

ฝึกใจฝึกนิสัย กำจัดปลอมดำรงจริง

 

 

ฉะนั้นนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณขึ้นไป ก็มักจะมีนิสัยประหลาดอยู่ไม่มากก็น้อย คนที่ละมุนละม่อมเข้าได้กับทุกด้านเหมือนคนทั่วไปในโลกปกติกลับมีน้อยนัก

 

 

เจ้าเมืองเว่ยยิ้มบางๆ ไม่ได้มีท่าทีใส่ใจกับควาหมายที่แอบแฝงในคำพูดของชายหนุ่ม

 

 

ความเงียบสงบเพียงชั่วครู่ทำให้ทุกคนเกิดไม่สบายใจ

 

 

ความแตกต่างระหว่างนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณและนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลาย นั้นก็เหมือนกับความแตกต่างระหว่างมดตัวน้อยและช้าง

 

 

เจ้าเมืองเว่ยกวาดตามองทุกคนทีหนึ่ง พูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ตัวข้าสกุลเว่ยก็จะพูดออกมาตรงๆ สหายทุกท่านคงจะทราบอยู่แล้วว่าพวกเราตระกูลเว่ยมีชื่อเสียงด้านการหลอมศพ แต่เมื่อสามวันก่อนมีท่านผู้อาวุโสท่านหนึ่งในตระกูลเกิดมีปัญหาเล็กน้อยตอนที่หลอมศพ”

 

 

ทุกคนหูผึ่งตั้งใจฟังโดยไม่รู้ตัว

 

 

ท่าทีของเจ้าเมืองเว่ยแลดูนิ่งขรึม “ในตอนนั้นคิดว่าเป็นปัญหาเล็กๆ เพียงแค่หลอมศพล้มเหลวเท่านั้นเอง แต่คิดไม่ถึงว่าวันนั้นจะเป็นวันที่ดาวผีเข้าบดบังดวงอาทิตย์อย่างทีหนึ่งร้อยปีจะเกิดสักครั้งหนึ่ง ในนาทีที่ล้มเหลวเผอิญเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับดาวผีปกคลุมพระอาทิตย์ ซากศพนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้มาคิดดูแล้ว บางทีอาจจะไม่ใช่เพราะท่านอาวุโสในตระกูลหลอมศพล้มเหลว แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมพิเศษที่เกิดจากช่วงเวลาพิเศษทำให้ขั้นตอนการหลอมศพเกิดการผิดพลาดไป”

 

 

ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก มีคนหนึ่งถามขึ้นว่า “ท่านเจ้าเมืองเว่ย หลอมศพล้มเหลว แล้วพวกเราจะทำอะไรได้หรือ”

 

 

หากพูดถึงการหลอมศพ ควบคุมศพ ตระกูลเจี่ยงและตระกูลเว่ยอยู่ระดับที่หนึ่งที่สอง ไม่มีใครกล้าพูดว่าตนเองเป็นที่สาม

 

 

เจ้าเมืองเว่ยขอความช่วยเหลือจากคนนอก ช่างทำให้คนงุนงงไม่เข้าใจเสียจริง แม้กระทั่งเกิดความสงสัยความคิดที่แอบซ่อนในใจของเขา

 

 

ทั้งๆ ที่เจ้าเมืองเว่ยยิ้ม แต่ท่าทีกลับดูเจ็บปวดอย่างมาก “ซากศพนั้นกลายเป็นศพพาหะที่พันปีจะเจอสักครั้งหนึ่ง อีกทั้งมันหายไปแล้ว!”