“ท่านแน่ใจว่าเห็นชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?” หลังบ่าย ในหอเล็กๆ แสนเงียบเหงาในเรือนหลังของจวนเสนาบดีตรวจการ เว่ยซินหย่งที่อยู่ในชุดของบ่าวเลิกคิ้วดาบขึ้น พลางเอ่ยถามเสียงหนัก
ซ่งไจ้สุ่ยขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ในเรือนพักนั่นแม้แต่พ่อบ้านที่ได้ความสักคนก็ยังไม่มี พี่สะใภ้รองของข้าผู้นั้นสนิทสนมกับเว่ยฉางเจวียนมาแต่ไร กอปรกับครานี้ก็เป็นเพราะนางบังเอิญผ่านไปจึงช่วยชีวิตเว่ยฉางเจวียนเอาไว้ และสามารถเข้าไปเยี่ยมนางภายในห้องได้ ข้าอาศัยบารมีนางเข้าไปพร้อมกัน และเข้าไปดูอย่างละเอียดที่ข้างตั่งอยู่เป็นครึ่งค่อนชั่วยาม ก็เห็นเป็นจริงดังที่ท่านคาดเดา คิ้วตรงหว่างคิ้วของเว่ยฉางเจวียนคลายตัวออก[1] นาง….แล้ว….”
ด้วยยังไม่ได้ออกเรือน ซ่งไจ้สุ่ยจึงกระดากจะเอ่ยไปตรงๆ ว่าเว่ยฉางเจวียนเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เพียงแต่เว่ยฉางเจวียนเกิดเรื่องเช่นนี้อยู่ภายในคฤหาสน์ใหญ่โต เหตุใดท่านจึงรู้? หรือต่อให้รู้แล้ว ตามหลักท่านก็ไม่น่าจะมาสนใจเรื่องไร้สาระเช่นนี้กระมัง?”
เว่ยซินหย่งเองก็ไม่เอ่ยให้มากความ เพียงแต่ล้วงเอาจดหมายสั้นๆ ที่เหลือเพียงครึ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้นาง “ท่านดูใบสั่งยานี่”
ซ่งไจ้สุ่ยรับเอามาในมือพลางกวาดตาไป นางรู้จักตัวยาสองสามชนิดในนั้น แล้วพลันตกใจ กล่าวว่า “อู่เว่ยจื่อ โสมแดง หงฮวา…ยาเหล่านี้…นี่นาง!”
ซ่งไจ้สุ่ยพอจะรู้เรื่องการแพทย์อย่างผิวเผิน รู้ว่าบนใบสั่งยาครึ่งใบนี้ ไม่ต้องพูดถึงตัวยาอื่น ลำพังแค่สามตัวนี้ก็ล้วนเป็นยาขับเลือด …ด้วยเหตุที่เว่ยฉางเจวียนยังไม่เคยมีสัมพันธ์ทางกายกับผู้ใดและเป็นคุณหนูที่มีร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า นอกจากเว่ยฉางเจวียนจะเสียตัวแล้ว กระทั่งตนเองก็ยังตั้งครรภ์อีกด้วย!?
นางกำใบสั่งยานั้นเอาไว้แน่น เอ่ยถามเสียงหนักไปว่า “ท่านไปเอาใบสั่งยานี้มาจากที่ใด? คนผู้นั้นคือผู้ใด? จึงได้ทำให้ท่านสนใจถึงเพียงนี้?”
เว่ยซินหย่งเดินวนเวียนไปมาในห้องสองสามก้าว คล้ายกำลังครุ่นคิดอย่างยากลำบาก สักพักจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา บอกว่า “ใบสั่งยาเป็นข้าทำปลอมขึ้นมาเอง ข้ายังไม่รู้จักลายมือของเว่ยฉางเจวียน ต้องรบกวนท่านไหว้วานฮูหยินหมิ่นหาทางทำจดหมายสั่งเสียที่สามารถทำให้คิดว่าเป็นของเว่ยฉางเจวียนออกมา”
ซ่งไจ้สุ่ยฟังคำนี้แล้วสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันใด กล่าวว่า “เหตุใดท่านยังคงอ้ำๆ อึ้งๆ และไม่ยอมเอ่ยถึงคนผู้นั้น? คนผู้นั้น ที่แท้แล้วเป็นผู้ใด ท่านปลอมใบสั่งยานี้ขึ้นมาทำสิ่งใด? ท่านคิดการใดอยู่กันแน่!”
เว่ยซินหย่งเอ่ยไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นที่สุด “คนผู้นั้น คือองค์รัชทายาท!”
“อะไรนะ?!” ซ่งไจ้สุ่ยตื่นตกใจจนแทบกระโดดขึ้นมา ผ่านไปครึ่งเค่อเต็มๆ นางจึงพึมพำออกมาว่า “ที่ท่านบอกมาก่อนนี้ว่า… ว่าจะมีเรื่องใหญ่ ข้าก็เพียงนึกว่าเป็นเรื่องที่เว่ยฉางเจวียนเสียความบริสุทธิ์ …เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?!”
เว่ยซินหย่งยิ้มเย็นพลางว่า “ความเป็นมาจริงๆ ข้าเองก็ไม่ใคร่รู้ชัดนัก เพียงแต่ท่านก็คงเคยได้ยินมาบ้างกระมังว่าสองปีมานี้ ตำหนักตะวันออกเรียกมารดาและน้องสาวของพระชายาองค์รัชทายาทมาเข้าเฝ้าฯ บ่อยครั้งยิ่งนัก? แล้วหลานสาวจอมโง่ของข้าก็ดันไปสนิทสนมกันคุณหนูสิบเอ็ดบ้านหลิวถึงเพียงนั้น ทั้งยังเชื่อคำนางทุกอย่าง คาดว่ามิใช่จะถูกวางแผนให้ไปเป็นตัวตายตัวแทนเสียแล้วกระมัง นั่นก็คือ ตระกูลหลิววางแผนจะใช้เรื่องนี้ผลักรุ่ยอวี่ถังของข้าไปอยู่ที่ปากเหว! ยามนี้ข้าก็ไม่ว่างจะไปสนใจว่านังเด็กโง่นั้นไปหลงกลคนเขาได้อย่างไร เพื่อรุ่ยอวี่ถังแล้ว นางต้องตาย!”
นี่มิใช่แค่เรื่องที่เว่ยฉางเจวียนมาเสียความบริสุทธิ์ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งจะส่งผลต่อชื่อเสียงของสตรีทั้งตระกูลแล้ว!
ประเด็นสำคัญก็คือเว่ยฉางเจวียนถูกองค์รัชทายาทย่ำยี! หากให้คนภายนอกรู้ว่ามีคนวางแผนให้นางเสียตัวก่อนแต่งงาน เช่นนั้นแล้ว หากตระกูลเว่ยไม่ออกมายอมรับว่าตนเองไม่รู้จักอบรมสั่งสอนบุตรสาว เว่ยฉางเจวียนไร้ยางอายไปให้ท่าองค์รัชทายาท มิเช่นนั้นก็ต้องกัดไม่ยอมปล่อยว่าองค์รัชทายาทไร้คุณธรรม บังคับฉุดคร่าบุตรีบ้านใหญ่ในตระกูลตน!
วิธีแรกนั้นก็เท่ากับทำลายชื่อเสียงหลายร้อยปีของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวไปในทันใด ทุกคนในตระกูลเว่ย ไม่ว่าจะเป็นจือเปิ่นถังหรือรุ่ยอวี่ถังจะต้องไม่มีทางเห็นด้วย! ส่วนวิธีหลังแม้เมื่อเทียบกับวิธีแรกแล้ว จะสามารถรักษาชื่อเสียงของตระกูลเว่ยไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ตระกูลเลื่องชื่อมาหลายร้อยปี แม้แต่ความบริสุทธิ์ของบุตรสาวบ้านใหญ่ก็ยังเก็บรักษาเอาไว้ไม่ได้ เรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย..
ที่คอขาดบาดตายเสียยิ่งกว่าก็คือ ด้วยอันดับตระกูลของตระกูลเว่ย เมื่อบุตรสาวจากภรรยาเอกถูกองค์รัชทายาทย่ำยีแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ไปขอคำชี้แจงจากราชสำนัก? ต่อให้ตระกูลเว่ยยอมเป็นเต่าหดหัว ตระกูลสูงศักดิ์อื่นๆ ก็ไม่อาจนั่งมองหน้าตาของตระกูลสูงศักดิ์ถูกเหยียบย่ำเช่นนี้ได้แน่
ตระกูลเว่ยเองก็มิใช่ว่าอยากจะเก็บองค์รัชทายาทเอาไว้ แต่หากไล่เรียงกันตามจริงก็ยังเป็นเพราะรุ่ยอวี่ถังอ่อนแอมานานปี แม้เว่ยเจิ้งหงจะหายดีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เข้ารับราชการอย่างเป็นทางการ จึงไม่อาจไม่ทำการใดๆ อย่างระมัดระวัง
…เรื่องเช่นนี้ แม้เว่ยฉางเจวียนจะถูกรังแกอย่างไร้ความผิด เพียงแต่หาเรื่องแพร่ออกไป ทั้งชื่อเสียงของนางและหน้าตาของตระกูลเว่ยก็ต้องเสียหายไปจดหมดแน่
เว่ยฉางเจวียไม่มีท่านย่าแท้ๆ ที่จะคอยช่วยคิดหาหนทางให้นาง และทำทุกวิถีทางที่จะสกัดความต้องการของคนในตระกูลที่จะกำจัดคนในบ้านนาง! และนางไม่เคยสร้างความชอบใหญ่หลวง ดังเช่นการช่วยชีวิตหลานชายที่มีความสามารถที่สุดและเป็นความหวังยิ่งใหญ่ในรุ่นหลานของเว่ยฮ่วน เว่ยฮ่วนก็ไม่ได้มีความผูกพันกับหลานสาวที่ไม่เคยพบหน้าผู้นี้สักเท่าใด แล้วจะทุ่มเทให้นางมากมายเพียงนั้นได้อย่างไร?
ประเด็นสำคัญเหล่านี้ ซ่งไจ้สุ่ยล้วนเข้าใจดี แม้นางจะไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ ใดกับเว่ยฉางเจวียน แต่เมื่อได้ยินว่านางถูกองค์รัชทายาทย่ำยีอยู่ก่อน และยามนี้ก็จะมาถูกคนในตระกูลปิดปากอีก ก็พลันรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในหัวใจ เนิ่นนานจากนั้นจึงบอกว่า “นี่เป็นประสงค์ของท่านย่ารองและท่านปู่รองหรือ?”
“มิใช่” เว่ยซินหย่งกลับปฏิเสธออกมาอย่างหนักแน่น “เรื่องฉุกเฉินนัก ข้าจะมีเวลาไปรายงานให้ทางเฟิ่งโจวรู้ได้อย่างไร? นี่เป็นความคิดของข้าเอง!”
เว่ยซินหย่งเอ่ยไปอย่างเย็นเฉียบว่า “ผู้ที่เขาต้องการลากลงน้ำไปด้วยนั้นมิใช่แค่เพียงรุ่ยอวี่ถัง! หากแต่เป็นทั้งตระกูลเว่ย! ข้าถึงขั้นสงสัยว่าเว่ยฉางเจวียนไปมาหาสู่กับคุณหนูสิบเอ็ดบ้านหลิวบ่อยครั้งนัก จึงถูกนางหลอกมาให้องค์รัชทายาทลงมือ อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เว่ยเซิ่งอี๋จงใจแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ก็เป็นได้! หากเขารักใคร่บุตรสาวผู้นี้จริง แล้วจะดูแลนางไม่ได้ได้อย่างไร? ไม่แน่ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นเขาที่นัดแนะกับตระกูลหลิวที่จะใช้บุตรสาวของตนทำลายตระกูลเว่ยเพื่อเป็นการแก้แค้น!”
“…ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ท่านกำชับข้าเป็นพิเศษว่าให้ไปดูว่าหัวคิ้วของเว่ยฉางเจวียนคลายตัวออกหรือไม่ เห็นชัดว่าท่านก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ทั้งหมดกระมัง? แต่เรื่องที่ปิดบังมิดชิดเช่นนี้ ท่านรู้มาได้อย่างไร?”
เว่ยซินหย่งเองก็ไม่ปิดบัง กล่าวว่า “ใช้หนึ่งร้อยตำลึงเงินซื้อมาจากทางนางหมิ่นพี่สะใภ้ของนาง”
“ซื้อมา?” ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งเหม่อไปพักใหญ่ พลางเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เรื่องเช่นนี้ก็ยังซื้อมาได้ด้วยหรือ?”
“มีอันใดน่าแปลกใจ?” เว่ยซินหย่งเอ่ยไปอย่างราบเรียบเป็นที่สุด “สะใภ้ทั้งสองคนของเว่ยเซิ่งอี๋ก็ไม่ได้รับความรักใคร่จากพ่อสามีและพี่สาวของสามี ทั้งยังไม่เป็นที่สนใจของสามีด้วย ได้ยินพวกบ่าวบอกเล่ากันเป็นการภายในว่าความสัมพันธ์ของพวกนางกับเว่ยฉางเจวียนก็ไม่ดีด้วยเช่นกัน พวกนางก็ไม่ลูก หากไม่ฉวยโอกาสนี้หาเงินทอง แล้ววันหน้าพวกนางจะอยู่อย่างไร?”
ซ่งไจ้สุ่ยโพล่งถามไปว่า “มิใช่ว่ามีสินติดตัวหรอกหรือ?” สินติดตัวของสตรีในบ้านร่ำรวยในยามนี้ล้วนพอกินไปทั้งชาติหรือกระทั่งหลายชาติเสียด้วยซ้ำ อย่างเช่นผู้ที่มีฐานะเช่นซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋ง ก็เพียงพอจะเลี้ยงดูคนทั้งบ้านไปได้อีกหลายรุ่นทีเดียว …แต่แน่นอนว่าสตรีที่ใช้จ่ายเป็นน้ำไหลไฟดับเช่นตวนมู่ซินเหมี่ยวย่อมไม่นับรวมด้วย
“แม้จะเป็นดังนี้ แต่ท่านคิดว่ายามนี้นอกจากพวกนางจะหาเงินแล้ว ยังมีเรื่องใดที่ควรให้ความสำคัญอีก?” เว่ยซินหย่งไม่คิดจะพูดให้มากความว่าเหตุใดนางหมิ่นและนางโจวจึงยอมเอาเรื่องน่าอับอายในบ้านมาขายเพื่อเงินร้อยสองร้อยตำลึงเงิน จึงกลับไปพูดประเด็นหลักว่า “สรุปแล้วก็คือ นางหมิ่นสังเกตเห็นว่าเว่ยฉางเจวียนมีอาการผิดปกติ และพอดีว่าสองวันก่อนข้าไปหาเว่ยเซิ่งอี๋ นางก็ส่งบ่าวคนสนิทออมาบอกราคากับข้า เมื่อรับหนึ่งตั๋วเงินร้อยตำลึงเงินไปแล้ว ก็บอกข่าวนี้แก่ข้า แล้วข้าก็รีบมาบอกท่าน เพียงแต่ท่านกลับยังช้าไปก้าวหนึ่ง”
เมื่อฟังออกว่าเขามีน้ำเสียงตำหนิกลายๆ ซ่งไจ้สุ่ยก็ขัดเขินเสียยิ่งนัก …ความจริงแล้ว ก่อนที่เว่ยฉางเจวียนจะเกิดเรื่อง นางก็ได้รับการไหว้วานจากเว่ยซินหย่ง ว่าให้หาทางเข้าไปพบนางสักหน เพื่อไปสังเกตดูว่าสิ่งที่นางหมิ่นเอ่ยนั้นเป็นจริงหรือไม่
อย่างไรเสีย แม้ว่าโดยนามแล้วเว่ยซินหย่งก็เป็นอาของเว่ยฉางเจวียน แต่ชายหญิงแตกต่าง และเขาก็เพิ่งจะถูกรับมาเป็นบุตรบุญธรรมในรุ่ยอวี่ถังไม่นาน และยังไม่สนิทสนมใกล้ชิดกับเว่ยเซิ่งอี๋ถึงขนาดเข้าออกหลังเรือนเขาได้ตามใจ หากต้องการพบกับเว่ยฉางเจวียนก็นับว่าไม่มีโอกาสและไม่มีเหตุผลที่สมควรด้วย
ทว่า ซ่งไจ้สุ่ยเป็นหญิง หากนางจะไปพบเว่ยฉางเจวียนก็จะไม่มีคนสงสัย ทั้งยังมีหมิ่นอีนั่วผู้เป็นพี่สะใภ้รองที่เคยเป็นสหายสนิทของเว่ยฉางเจวียนที่สามารถพาเข้าไปพบนางได้ด้วย ดังนี้เอง เมื่อเว่ยซินหย่งซื้อข่าวจากนางหมิ่นมาได้ จึงหาทางส่งข่าวนี้แก่นางในทันใด เพื่อให้นางไปตรวจดูให้แน่ชัด
ปรากฏว่าเมื่อซ่งไจ้สุ่ยเห็นข่าวนี้ แม้นางจะประหลาดใจมาก แต่เพราะหลายวันมานี้หมิ่นอีนั่วและซ่งไจ้เจียงล้วนพักอยู่ที่ริมทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ …เป็นเพราะซ่งไจ้เจียงโปรดปรานการวาดภาพแบบดานชิง ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่หมิ่นอีนั่วโปรดปรานเช่นกัน …สองสามีภรรยาจึงพากันไปหาทิวทัศน์วาดภาพกันที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ
เพราะยามนี้เป็นฤดูร้อน อากาศร้อนอบอ้าว ซ่งไจ้สุ่ยจึงรู้สึกเกียจคร้าน ที่สำคัญที่สุดพอดีว่าสองสามวันมานี้ ซูอวี๋อู่เขียนจดหมายมาหา นางจึงกำลังวุ่นวายกับการอ่านและตอบจดหมาย จึงคิดในใจว่าช้าสักวันสองวันก็คงไม่เป็นไร …เพราะอย่างไรเสีย เว่ยซินหย่งก็เพียงแค่คาดเดาเอาเท่านั่นนี่!
ปรากฏว่าเมื่อนางชักช้าดังนี้ ไม่กี่วันก็ได้ยินข่าวว่าเว่ยฉางเจวียนเกิดเรื่อง …เพราะวันนั้นหมิ่นอีนั่วถูกเว่ยฉางเจวียนที่ดูคล้ายว่าตายแล้วทำเอาตกใจแทบเป็นแทบตาย ในขณะที่กำลังตื่นเต้นลนลานก็ส่งคนมาบอกกับนางฮั่วที่จวนเสนาบดีตรวจการในเมืองหลวงเสียก่อน …นางฮั่วย่อมไม่อาจไม่บอกกับซ่งไจ้สุ่ย
ยามนั้นเองซ่งไจ้สุ่ยจึงเพิ่งสำนึกว่าตนเองคล้ายจะทำให้เสียการเสียแล้ว!
เมื่อมาถูกเว่ยซินหย่งตำหนิเอาต่อหน้าดังนี้ ซ่งไจ้สุ่ยจึงไม่รู้จะพูดอย่างไรดีไปชั่วขณะ สักพักหนึ่งจึงบอกว่า “เช่นนั้น เวลานี้ก็ต้องให้เว่ยฉางเจวียน …”
ไม่ว่าจะสงสารเว่ยฉางเจวียนอีกเพียงใด แต่เพื่อบ้านของท่านอาแท้ๆ ของตนแล้ว เวลานี้ซ่งไจ้สุ่ยจึงเลือกที่จะเห็นด้วยกับแผนการปิดปากของเว่ยซินหย่งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย …หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่ว่าจะบอกว่าเป็นเว่ยฉางเจวียนให้ท่า องค์รัชทายาท หรือว่าองค์รัชทายาทย่ำยีเว่ยฉางเจวียน ดีชั่วล้วนเป็นตระกูลเว่ยเสียหน้า! หากเป็นตระกูลหลิวคิดการใดจริงๆ ครานี้ตระกูลเว่ยก็ต้องเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!
วิธีที่ดีที่สุดก็คือปิดปากเว่ยฉางเจวียนเสีย แล้วบอกออกไปว่านางป่วยจนตาย ทำเป็นว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น! นั่นเพราะขอเพียงเว่ยฉางเจวียนยังมีชีวิตอยู่อย่างไรก็ต้องให้แต่งงาน ซึ่งด้วยฐานะของนางแล้ว ต่อให้เว่ยเซิ่งอี๋ต้องเสียหน้าสักน้อย อย่างไรก็ต้องแต่งกับบุตรหลานจากภรรยาเองของตระกูลใหญ่ สามีที่มีฐานะเช่นนี้จะทนยอมถูกสวมเขาได้อย่างไร?
คนเช่นเสิ่นจั้งเฟิงที่ยังยืนกรานจะทำตามสัญญาแต่งงานต่อไปทั้งที่ยังไม่รู้ว่า เว่ยฉางอิ๋งจะเสียความบริสุทธิ์ไปดังคำร่ำลือที่มีมาก่อนหน้าหรือไม่นั้น ประการแรก ในใต้หล้านี้ก็มีเพียงเสิ่นจั้งเฟิงผู้เดียว ประการที่สองนั่นก็เพราะก่อนหน้านั้น เขาก็ชื่นชมที่ในความกล้าหาญของเว่ยฉางอิ๋งที่ไม่ยอมทิ้งน้องชายร่วมท้องและหนีกลับมาคนเดียว
แต่เว่ยฉางเจวียนกลับไม่แน่ว่าจะโชคดีเช่นนี้
ถึงยามนั้น เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา ตระกูลเว่ยจะต้องขายหน้าต่อหน้าบ้านดองจนหมดสิ้น! มิสู้ตัดใจสละบุตรสาวคนหนึ่งไปเสียดีกว่า
ดีชั่ว ผู้ใดยังจะกล้ามาในงานศพของบุตรีจากภรรยาเอกตระกูลเว่ยเพื่อมาขอให้เปิดโลงชันสูตรศพเสียให้ได้?
ในเมื่อต้องการเอาคืนตระกูลหลิว เอาคืนองค์รัชทายาท เช่นนั้นก็ไม่อาจยังไม่ทันได้เอาคืน ก็ต้องเอาชื่อเสียงของตระกูลเว่ยมาแลกเสียก่อน!
เว่ยซินหย่งพยักหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จะว่าไปแล้วก็เป็นพี่สะใภ้รองของท่านยุ่งไม่เข้าเรื่อง ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าเว่ยฉางเจวียนจะฆ่าตัวตาย หากมิใช่เพราะนางผ่านไปและไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง ยามนี้ก็กลับเบาใจได้แล้ว”
ซ่งไจ้สุ่ยอดถามไม่ได้ว่า “แล้วต้องการใบสั่งยานั่นไปทำสิ่งใด?”
เมื่อยามนี้ต้องปิดปาก เช่นนั้นก็ต้องปิดเรื่องนี้ให้มิด แล้วหากยังต้องปลอมใบสั่งยาที่เป็นลายมือของเว่ยฉางเจวียนออกมา ก็มิใช่ว่ากลับจะเป็นการทิ้งร่องรอยเอาไว้หรอกรึ?”
เว่ยซินหย่งหัวเราะเย็นออกมาคำหนึ่ง กล่าวว่า “ต่อให้เว่ยฉางเจวียนโง่เง่าอีกเท่าใด อย่างไรก็เป็นบุตรีตระกูลเว่ยของข้า! เช่นนั้นแล้ว เรื่องที่คุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิววางแผนทำร้ายนางเช่นนี้ ตระกูลเว่ยของข้าจะไม่เอาคืนเป็นทวีคูณได้อย่างไร?! ข้าคิดมาเรียบร้อยแล้ว เว่ยฉางเจวียนจะต้องไม่ตายเปล่า มิใช่เมื่อครู่นี้ท่านบอกว่า มีคนกลุ่มหนึ่งในเรือนพักของตระกูลเว่ยที่ไปมารวดเร็วเป็นคนบอกว่าสาเหตุที่นางฆ่าตัวตายนั้นเพราะถูกสาวใช้ชื่อหงเอ๋อร์ทำร้าย? หงเอ๋อร์เป็นสาวใช้ตัวเล็กๆ เพียงคนเดียว แล้วจะกล้ามาทำร้ายเว่ยฉางเจวียนได้อย่างไร?”
ซ่งไจ้สุ่ยเข้าใจแล้ว “ท่านหมายถึง …องค์รัชทายาท?”
“องค์รัชทายาทหมายปองน้องสาวพระชายามานานแล้ว นานจนจวนจะเผยร่องรอยออกมาแล้ว” สีหน้าของเว่ยซินหย่งเคร่งเครียดยิ่งนัก เอ่ยอย่างเย็บเฉียบว่า “แม้เขาจะทำการบุ่มบ่ามลุแก่อำนาจ จนเรียกได้ว่ารนหาที่ตาย แต่คิดไปแล้วหากยังพอมีทางรอด ก็คงไม่โง่จนถึงกับไม่ยอมไป …และยิ่งไปกว่านั้นก็ยังสามารถทำให้สิ่งที่เขาต้องการมาตลอดเป็นจริงได้ด้วย!”
ซ่งไจ้สุ่ยสูดหายใจลึกๆ กล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว! ท่านวางใจเถิด เรื่องใบสั่งยานี้ก็ปล่อยให้เป็นคนข้าจัดการ!”
_____________________________
[1] คิ้วตรงหว่างคิ้วคลายตัวออก เป็นความเชื่อหนึ่งของคนจีนว่า คิ้วที่หัวคิ้วของหญิงพรหมจรรย์จะขึ้นไขว้กันไปมาแน่นๆ แต่หากเป็นหญิงที่เสียพรหมจรรย์ไปแล้วขนคิ้วก็จะคลายตัวออก ไม่แน่นเหมือนก่อน