เวลาคือสิ่งที่ยุติธรรมมากที่สุด ในตอนที่เหล่าชาวนาที่มาเช่าที่นานอกวัดกั่วเฉิงกำลังฉลองปีใหม่ เมืองไป๋เฉิงที่อยู่ห่างไกลถึงชายขอบที่ราบหิมะก็ฉลองปีใหม่ด้วยเช่นกัน
เนื่องเพราะอากาศที่ค่อยๆ อบอุ่นขึ้น ปีนี้มีผู้ศรัทธาเดินทางมากราบไหว้ที่วัดไป๋เฉิงมากขึ้นกว่าเดิม ดูค่อนข้างคึกคักทีเดียว
กั้วตงนั่งอยู่บนธรณีประตูวัด ฟังเสียงวุ่นวายที่ดังมาแต่ไกล คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเอาแตงกวาขึ้นมากัดสองสามคำ อารมณ์ถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
เสียงที่ทุ้มหนาเสียงนั้นดังขึ้นด้านหลังนาง “ที่นี่มีผลไม้ตลอดทั้งปี เหตุใดเจ้าไม่กิน?”
กั้วตงกล่าว “ก็มีอยู่แค่ไม่กี่อย่าง กินจนเบื่อแล้ว”
หลายปีมานี้นางมักจะมาเยี่ยมเขาที่วัดไป๋เฉิงอยู่บ่อยๆ แล้วก็เคยฉลองปีใหม่อยู่เป็นเพื่อนเขาหลายครั้ง
เทพดาบนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวถามว่า “ปีนั้นเจ้าบอกว่าทุกคนเริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้ว นั่นรวมไปถึงเจ้าด้วยหรือเปล่า?”
กั้วตงไม่ได้ตอบคำถามเขา หากแต่หมุนตัวกลับมาแล้วกล่าวว่า “เหอจานบอกว่าในสำนักชีมีแต่ศิษย์ผู้หญิง ไม่อยากไป”
เทพดาบกล่าวว่า “เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
กั้วตงกล่าว “เจ้าเคยบอกข้าว่าวัดกั่วเฉิงรุ่นนี้ไม่มีผู้สืบทอดที่มายังโลกปุถุชน”
เทพดาบกล่าว “ฉานจึส่งจดหมายมายืนยันกับข้าว่าจิ๋งจิ่วมิได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับวัด”
กั้วตงกล่าว “เจ้าคิดว่าเหอจานเป็นอย่างไรบ้าง?”
เทพดาบกล่าว “ข้าจะเขียนจดหมายกลับไปที่วัด”
เขาจะต้องพยายามจัดการเรื่องนี้ให้ดี
เพราะนี้แสดงให้เห็นว่านางยอมรับในตัวเขา
……
……
ถงหลูเดินทางไปยังทะเลตะวันตก จากนั้นซูจึเย่ค่อยออกเดิมทางตามไป เผยไป๋ฟ่าผู้เป็นเจ้าสำนักอู๋เอินเหมินก็ไม่รู้ว่าไปแอบซ่อนตัวรอเวลาลงมืออยู่ที่ไหน
ในสวนผักของสำนักฌานเป่าทงเหลือเพียงเหอจานและถงเหยียนสองคน
“ปีใหม่แล้ว!”
เหอจานกล่าวอย่างหงุดหงิด “หรือต้องรอจนเอากวางตุ้งก้านแดงออกไปขายที่ตลาดจริงๆ นางถึงจะให้ข้าไปได้?”
ถงเหยียนนั่งมองดูกระดานหมากล้อมอยู่ริมหน้าต่าง ครุ่นคิดถึงการสนทนาเมื่อหลายวันก่อนพร้อมทั้งพยายามคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของกั้วตง จึงมิได้ฟังเสียงบ่นของเขาเลย
เหอจานเดินมาหาเขาพลางกล่าวว่า “ข้าถูกผู้อาวุโสจับตาดูอยู่ แล้วทำไมเจ้าถึงไม่กลับไปเขาอวิ๋นเมิ่ง?”
ถงเหยียนวางหมากลง สายตาทอดมองออกไปยังเศษหิมะนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดถึงศิษย์น้องที่อยู่ในภูเขา นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
……
……
บนจุดที่สูงที่สุดของเขาอวิ๋นเมิ่ง
ทะเลหมอกที่อยู่ด้านนอกหน้าผาเป็นสีขาวราวที่ราบหิมะ
ไป๋เจ่าดึงสายตากลับมา ไม่ไปครุ่นคิดถึงเรื่องราวในที่ราบหิมะเหล่านั้นอีก จากนั้นเอาจานผลไม้และไหสุราวางเอาไว้บนโต๊ะ
สำนักจงโจวและสำนักชิงซานนั้นไม่เหมือนกัน สำนักจงโจวมีการติดต่อกับโลกภายนอกมากกว่า ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบก็มีจำนวนมากกว่า
ทุกปีเมื่อถึงปีใหม่ สองสามีภรรยาเจ้าสำนักจะออกมาจากถ้ำ มากินข้าวกับบุตรสาวที่ตนเองรักที่สุด
และนี่ก็เป็นเพียงโอกาสเดียวในหนึ่งปีที่ไป๋เจ่าจะได้พบพ่อแม่ของตน
……
……
เมื่อหิมะแรกตกลงมา ข่ายพลังชิงซานได้เปิดช่องเอาไว้ช่องหนึ่งตามคำขอของยอดเขาชิงหรง หิมะตกโปรยปรายลงในหมู่ยอดเขา
ไร้ซึ่งผู้คนรบกวน หิมะบนยอดเขาเสินม่อยังไม่ละลาย
จิ๋งจิ่วเดินออกมาจากในถ้ำ มองเห็นยอดเขาที่มีสีขาวประดับประดา พลันงุนงงเล็กน้อย
หมู่มวลวิหคส่งเสียงร้อง ผู้คนหายไปจนหมด ดูอ้างว้างโดดเดี่ยวยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าเจ้าล่าเยวี่ยและคนอื่นๆ ไปทำธุระหรือว่าเก็บตัวบำเพ็ญเพียร
จิ๋งจิ่วเดินมาริมผา มองดูหางที่คล้ายด้ามธงบนพื้นหิมะ จึงเกิดความรู้สึกนึกสนุก ดีดนิ้วออกไป
เสียงผัวะเบาๆ ดังขึ้น
หางสีขาวหางนั้นพองตัวขึ้นมา คล้ายดอกหญ้าสีขาวที่ฟูฟ่อง
แมวขาวดีดตัวขึ้นมาจากในพื้นหิมะ ส่งเสียงขู่ใส่จิ๋งจิ่วด้วยความโกรธเกรี้ยว กางเล็บแยกเขี้ยว คล้ายพร้อมจะกระโจนใส่ทุกเมื่อ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จักจั่นเหมันต์ที่อยู่ในพื้นหิมะด้านข้างก็มุดออกมา เนื้อตัวสั่นเทิ้ม เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ในภูเขามีเสียงร้องตื่นเต้นของวานรดังขึ้นมา!
ยอดเขาเสินม่อแปรเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมา
กู้ชิงและหยวนฉวี่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าต่างของตำหนัก เมื่อมองเห็นจิ๋งจิ่วจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เจ้าล่าเยวี่ยขี่กระบี่ออกมา เมื่อเห็นเขาจึงถามอย่างยินดีว่า “แก้ไขได้แล้ว?”
นางครุ่นคิดในใจ มิเสียทีที่เป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตในช่วงเวลาพันปีที่ผ่านมา ใช้เวลาเพียงแค่ฤดูหนาวเดียวก็สามารถแก้ไขปัญหาในการบำเพ็ญพรตอันยุ่งยากเช่นนี้ได้แล้ว
จิ๋งจิ่วกล่าว “เปล่า”
เจ้าล่าเยวี่ยงุนงง กล่าวถามว่า “เช่นนี้เจ้าออกมาทำไม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถึงเวลาแล้ว”
การบำเพ็ญเพียรมิใช่การเรียน แล้วก็มิใช่การมีความรัก ไม่มีคำว่าพยายามแล้วจะประสบความสำเร็จ
ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากมิเข้าใจในหลักเหตุผลนี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือจนปัญญา จึงได้แต่ต้องใช้ข้ออ้างเหล่านี้มาปลอบใจตนเอง
—- การยอมรับว่าพรสวรรค์ตนเองมีจำกัดและได้เดินมาสุดทางแล้วมักจะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
ผู้บำเพ็ญพรตเช่นนี้มักจะกลายเป็นโครงกระดูกอยู่ในถ้ำ อย่างเช่นผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในถ้ำซ่อนเร้นของชิงซานเหล่านั้น อย่างเช่นผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในเขาด้านหลังเขาอวิ๋นเมิ่งเหล่านั้น
สำหรับจิ๋งจิ่วแล้ว เวลาร้อยวันคือขีดจำกัดในการใช้สำหรับครุ่นคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
หากใช้เวลาร้อยวันแล้วยังไม่เข้าใจ เช่นนั้นต่อให้ใช้เวลาคิดมากขึ้นมันก็ไม่มีประโยชน์ แบบนั้นเป็นแค่การคิดซ้ำไปซ้ำมาอย่างโง่เขลาเท่านั้น
ในเวลาแบบนี้ต้องหาหนทางอื่น
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจ จึงกล่าวถามว่า “ยอดเขาซื่อเยวี่ยหรือว่าสำนักอู๋เอินเหมิน?”
บนยอดเขาซื่อเยวี่ยมียาวิเศษ แล้วยังมีตำราบำเพ็ญเพียรที่สำนักชิงซานเก็บรวบรวมเอาไว้จำนวนมากด้วย
ส่วนสำนักอู๋เอินเหมือนก็เป็นสำนักใหญ่ทางวิถีกระบี่ อาจจะมีอะไรที่พอช่วยได้บ้าง
นี่ก็คือการใช้ปัจจัยจากภายนอกมาช่วยเหลือ
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ
เขามั่นใจแล้วว่าวิถีกระบี่ของตนในชีวิตนี้นั้นไม่เหมือนกับวิถีกระบี่ของชิงซานหรือว่าสำนักกระบี่อื่นๆ ในแผ่นดินเฉาเทียน
เขาจำเป็นต้องหาวิธีใหม่ หรือพูดอีกอย่างก็คือสร้างวิถีใหม่ขึ้นมา
เจ้าล่าเยวี่ยถามอย่างเป็นห่วง “เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าจะไปหาเพื่อนคนหนึ่งให้เขาช่วย”
กู้ชิงค่อนข้างตกใจ ในใจครุ่นคิดว่ายังมีคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะสอนท่านได้ด้วยหรือ?
เจ้าล่าเยวี่ยเองก็รู้สึกแปลกใจ ในใจครุ่นคิดว่าเจ้ามีเพื่อนด้วยอย่างนั้นหรือ?
……
……
ทางเก่าไม่ได้ เช่นนั้นก็สร้างทางใหม่ นี่ฟังดูแล้วเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเรื่องที่ยากลำบากที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
ยากก็ยากตรงคำว่าใหม่
จิ๋งจิ่วจะไปขอความช่วยเหลือที่ไหน
มิใช่สำนักอู๋เอินเหมือน แล้วก็มิใช่วัดกั่วเฉิง เพราะวิธีการบำเพ็ญพรตบนโลกนี้ แม้นจะแปรเปลี่ยนไปร้อยแปดพันเก้า แต่โดยเนื้อแท้แล้วก็คือการฝึกคน
หากคิดจะสร้างวิถีใหม่ ก็ต้องทอดตามองออกไปยังที่ที่ไกลออกไป
เพื่อนที่อยู่ในแผ่นดินแปลกหน้าเกิดมาก็เป็นเหมือนดั่งฟ้าดิน ไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญเพียร จึงช่วยอะไรเขาไม่ได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในที่ราบหิมะก็แตกต่างกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถสื่อสารกันได้
มีเพียงเผ่าหมิงที่แตกต่างจากโลกมนุษย์ แต่ธรรมชาติของชีวิตกลับมิได้แตกต่างกันมากนัก
จิ๋งจิ่วได้วางแผนเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนจะออกมาจากการเก็บตัว จึงกล่าวว่า “ข้าจะไปเมืองเจาเกอเสียหน่อย”
เจ้าล่าเยวี่ยย่อมจะตามเขาไปด้วย กู้ชิงและหยวนฉวี่ก็บอกว่าจะตามไปคอยรับใช้ แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธทั้งหมด
“พวกเจ้าตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ยอดเขา”
จิ๋งจิ่วมองเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าวว่า “อย่าให้จัวหรูซุ่ยแซงหน้าไปได้”
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาพูดถึงเรื่องนี้
เจ้าล่าเยวี่ยไม่เข้าใจความหมายของเขาเท่าไรนัก จึงกล่าวว่า “เจ้าออกไปนอกสำนักคนเดียว เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย”
ผู้บำเพ็ญพรตที่กล้าลงมือทำร้ายศิษย์ชิงซานบนโลกนี้มีน้อยนัก
ปัญหาอยู่ที่ว่าในชิงซานมีผี อีกทั้งยังพยายามจะสังหารจิ๋งจิ่วแล้วหลายครั้ง
จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของนาง จึงกล่าวว่า “ข้าจะพาอาต้าไปด้วย”
แมวเขาพลันตื่นตัวขึ้นมาทันที ขนทั่วทั้งร่างชูชัน คล้ายดอกหญ้าช่อใหญ่
มันคิดในใจว่าทำไมข้าต้องตามเจ้าไปด้วย?
จิ๋งจิ่วพูดกับมันคำหนึ่ง
“สู้”
ม่านตาของแมวขาวหดเล็กลง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ พร้อมกับส่งเสียงร้องเมี้ยวออกมาเบาๆ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าจะให้เจ้าจัดการเจ้าตัวที่เจ้าไม่ชอบขี้หน้าตัวนั้น”
เห็นได้ชัดว่าแมวขาวไม่พอใจข้อเสนอของเขา แต่กลับมองไม่เห็นวิธีที่ดีกว่านี้ จึงหมุนตัวเดินไปอย่างโกรธเกรี้ยว
นี่คือการรับปากว่าจะออกไปกับจิ๋งจิ่วอย่างนั้นหรือ?
เจ้าล่าเยวี่ยและคนอื่นๆ ตกใจ
คำว่าสู้ที่จิ๋งจิ่วพูดนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เหตุใดถึงทำให้ท่านไป๋กุ่ยเปลี่ยนท่าทีได้ในพริบตา?
จะหมายถึงหมู่ดาว[1]หรือเปล่า หรือว่าหมายถึงนักสู้?
………………………………………………………………………..
[1]หมู่ดาว( 星斗 )ในคำว่าหมู่ดาวก็มีตัวอักษรที่เขียนเหมือนคำว่า ‘สู้ (斗)’ แต่ออกเสียงไม่เหมือนกัน