ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกหรอไม่พบพาน ยามได้มาไม่เสียเวลาเลยด้วยซ้ำจริงแท้
ก่อนหน้านี้ยามที่อยู่แคว้นเซียง นางยังเสียดายว่าเฟยหลัวหลบหนีไปได้ ไม่มีโอกาสได้ทำร้ายนางสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกันอีกครั้งรวดเร็วขนาดนี้
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางขว้างกระบอกเชื้อไฟไปบนบึงโคลน สาดส่องดวงตาเขียวเรืองสองดวงของสัตว์ยักษ์ตัวนั้น นางยังมองเห็นเค้าโครงเงาคนบนร่างสัตว์ยักษ์ด้วย ตอนนั้นรู้สึกแล้วว่าคุ้นตาอยู่บ้าง ภายหลังได้กลิ่นหอมกรุ่นบนร่างเฟยเฟย ในหมู่สตรีที่นางรู้จัก คนที่มีกลิ่นหอมเข้มข้นขนาดนี้ก็มีเพียงแค่เฟยหลัว
เพียงแต่รู้สึกว่านี่ก็บังเอิญเกินไป ไม่อยากจะเชื่อไปชั่วขณะ จึงแอบสะกดรอยตามข้างหลังของเหยียลี่ว์ฉีอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ก็ได้พบว่าเป็นนางจริงด้วย
มุมปากของจิ่งเหิงปัวผลิแย้มออกเป็นรอยยิ้มเย็นชาและงดงาม ไม่รู้สึกผิดหวังกับการปิดบังของเหยียลี่ว์ฉี แค่รู้สึกดีใจที่ได้พบเจอเฟยหลัวผู้เป็นศัตรูกลางทาง
ตั้งแต่วันนั้น นางก็ไม่โง่เขลาเชื่อใจใครจนหมดหัวใจขนาดนั้นอีกแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าเหยียลี่ว์ฉีจะแอบนัดพบเฟยหลัว หรือคิดวางแผนการร้ายลอบทำร้ายนาง นางก็รู้สึกไม่สนใจทั้งนั้น
ข้างหลังสายลมหิมะซุกซ่อนกระบี่โอบอุ้มคมมีด คนไหนทำร้ายนาง นางก็แทงคนนั้น
“พี่ชาย ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องจำข้าได้” เฟยหลัวยิ้มบาง
น้ำเสียงของเหยียลี่ว์ฉีเจือด้วยเสียงหัวเราะเช่นกัน ทว่าเผยให้เห็นความเย็นชาอยู่หลายส่วน เอ่ยขึ้นว่า “ยาถอนพิษเล่า?”
เขาแบมือออกภายใต้แสงไฟ บนมือขวาที่ถูกแขนเสื้อบังไว้มีรอยบาดลึกหลายรอยอย่างที่นางคิดไว้ ยามนี้บาดแผลเหล่านั้นเริ่มบวมแล้ว ม่วงคล้ำเป็นผืนหนึ่ง ดูท่าทางน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้ว…เหยียลี่ว์ฉีได้รับบาดเจ็บจริงๆ ด้วย แต่เขาจงใจปกปิดนาง
“พี่ชายจริงจังจริงใจกับนังสารเลวนั่นโดยแท้” เฟยหลัวไม่ขานรับวาจาของเขา หัวเราะเยาะอย่างเสียดสีเสียงหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “รู้แน่ชัดว่ากรงเล็บบางของสัตว์หาทองมีพิษ ทว่าเพื่อนางแล้ว กลับไม่ห่วงแม้แต่ชีวิตของตนเอง”
“ละทิ้งชีวิตเพื่อผู้อื่น” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มอ่อนโยนภายใต้แสงไฟ เอ่ยว่า “ดีกว่าถูกผู้อื่นไม่คำนึงถึงชีวิตเป็นแน่”
ใบหน้าอมชมพูของเฟยหลัวพลันเขียวคล้ำ ถูกเหยียลี่ว์ฉีแทงใจดำอีกครั้ง จากนั้นก็ยิ้มเยาะ เอ่ยว่า “เพียงเกรงว่าท่านละทิ้งชีวิตเพื่อผู้อื่น ไม่แน่ว่าผู้อื่นจะน้อมรับน้ำใจไมตรีของท่าน ไม่คำนึงถึงชีวิตของท่านในช่วงเวลาสำคัญเฉกเช่นเดียวกัน”
“เช่นนั้นไม่เห็นเป็นไร” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “หากนางไม่คำนึงถึงชีวิตของข้า เช่นนั้นย่อมเป็นโชคชะตาของข้า เอ่ยกันว่าหาเหตุใส่ตนเอง บุญคุณความแค้นควรชำระ ข้าผู้นี้มีข้อดีเพียงข้อเดียวคือยอมรับเรื่องที่ตนเองเคยกระทำอย่างตรงไปตรงมาเสมอ”
เฟยหลัวหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็ถอนหายใจออกมายืดยาวอย่างเชื่องช้า มองไม่เห็นความโกรธแค้นเดือดดาล แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าโศกเศร้า
“พี่ชาย อย่าได้เป็นเช่นนี้เลย ท่านอย่าได้เอ่ยวาจาเสียดสีแสบทรวงทุกครั้งยามที่ได้พบหน้าข้า พวกเราถกเถียงกันเช่นนี้ ผลสุดท้ายย่อมสะบัดแขนเสื้อลาจาก กลายเป็นสองฝ่ายอาฆาตแค้นต่อกัน” นางเอ่ยอย่างเศร้าสลดว่า “ท่านลืมเลือนความรักใคร่ของพวกเราในยามก่อนแล้วหรือ…บัดนี้ข้าตกอับจนถึงขั้นนี้แล้ว ท่านจะ…ท่านจะสงสารข้าหน่อยไม่ได้เลยหรือ?”
“วาจาที่ข้าเอ่ยถึงตนเองเมื่อครู่นี้ มอบให้เจ้าได้เช่นเดียวกัน” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยด้วยความสนิทสนมเล็กน้อยว่า “หาเหตุใส่ตนเอง”
เรือนร่างของเฟยหลัวสั่นสะท้าน ก้มหน้าลงคล้ายไม่โกรธเคืองเสียด้วยซ้ำ สองมือลูบคลำใบหน้า ห้านิ้วสอดกุมหนังศีรษะอย่างเชื่องช้าดั่งเป็นตะคริว
แสงไฟแปรเปลี่ยนทิศทางพาเงาร่างของนางสะท้อนบนกำแพงภูเขา สีดำเข้มเลื้อยขยุกขยิกดุจเงาวิญญาณ
“ท่านเอ่ยเถิด…ท่านเอ่ยให้เต็มที่เถิด…” นางเอ่ยด้วยความเหนื่อยหน่ายเล็กน้อยว่า “ในเมื่อท่านเดินร่วมทางกับนังสารเลวนั่น ปกป้องนาง ปิดบังข้า ความรักใคร่ของพวกเราคงต้องเป็นเช่นนี้แล้ว”
“พวกเราเคยมีความรักใคร่ต่อกันด้วยหรือ?” เขายิ้มแย้มพลางเอ่ยวาจา
จิ่งเหิงปัวจ้องมองกำแพงศิลาเย็นเยียบเบื้องหน้า ในใจคิดว่ายามที่ผู้ชายโหดร้ายขึ้นมาแล้วก็เป็นเหมือนกันเลยแฮะ เจ้าคนนี้ก็ใจแข็งใช่ย่อย
“ข้ายังนึกไม่ถึงว่าข้าจะพ่ายแพ้รวดเร็วขนาดนี้ รวดเร็วเพียงนี้…” เฟยหลัวคล้ายไม่ได้ยินวาจาของเขา พึมพำว่า “กงอิ้นร้ายกาจเหลือเกิน…คืนนั้นเขาดูคล้ายว่ายอมแพ้ พลิกฝ่ามือแยกพวกเราออกจากกันทีละคนแล้ว เรื่องที่แคว้นเซียงต้องเป็นฝีมือของเขาเป็นแน่ มิฉะนั้นคงไม่บังเอิญขนาดว่ายงซีเจิ้งจะได้เลื่อนตำแหน่งยามนี้ เขาบังคับให้ข้าต้องออกจากตี้เกอ ยามนี้ข้าติดต่อลูกน้องและผู้ช่วยคนใดในตี้เกอไม่ได้เลย ทั้งขุนนางทั้งสายลับของข้าในแคว้นเซียงถูกขุดรากถอนโคนจนหมดสิ้นเพียงชั่วข้ามคืน คนที่ไม่ถูกถอดถอนยังทรยศข้า ข้าหลบหนีจากวังกษัตริย์แคว้นเซียง อาศัยพึ่งพิงผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนทางนั้น ภายในสามคนนั้น สองคนหักหลังข้า อีกคนหนึ่งจะสังหารข้า โชคดีที่ข้าระมัดระวัง…ข้าได้แต่หลบหนีจากแคว้นเซียงเพียงผู้เดียวก่อน…ต้องซ่อนกายภายในเขาลึกบึงโคลน คลุกคลีกับสัตว์ป่าน่ารังเกียจเหล่านี้ชั่วคราว…เหยียลี่ว์ฉี ท่านไม่ต้องยิ้มแย้มดีใจขนาดนั้น คนที่เขาลงมือจัดการเป็นคนแรกคือท่าน คนต่อมาคือข้า คนถัดไปอาจจะเป็นเซวียนหยวนจิ้งหรืออาจจะเป็นเฉิงกูมั่ว…คืนนั้นพวกเราดูคล้ายชนะแล้ว ทว่าแท้จริงคือพ่ายแพ้แล้ว…คั่งหลงอวี้จ้าวยังคงเป็นของเขา…ข้าสังหรณ์ว่า…คนที่บีบบังคับเขาที่จัตุรัสในวันนั้นจะหนีไม่รอดสักคน หนีไม่รอดสักคน…”
นางเงยหน้าขึ้นโดยพลัน ร้องว่า “พี่ชาย! พวกเราต้องละทิ้งความแค้นครั้งก่อน ขัดแย้งกันเองไม่ได้อีกแล้ว! พวกเราต้องร่วมมือกันต่อต้านกงอิ้น! เขาจะไม่ปล่อยผู้ใดก็ตามที่กล้าทรยศต่อต้านเขาลอยนวลเป็นแน่! ข้ารู้สึกตั้งแต่แรกเริ่มว่าต่อให้ยามนี้ท่านหรือข้าจนตรอก มันยังไม่ใช่การจัดการขั้นสุดท้ายที่เขากระทำต่อพวกเรา! เขาคงไม่เพียงเนรเทศท่าน มอบตำแหน่งผู้ตรวจการแปดชนเผ่าแก่ท่าน ให้ท่านเที่ยวท่องโลกหล้าอย่างสง่างามเท่านั้น อีกทั้งคงไม่เพียงขับไล่ข้าออกจากแคว้นเซียงกับตี้เกอ เพียงถอดถอนจากตำแหน่งเสนาหญิงเท่านั้น…เขาต้องมีแผนการอื่นเป็นแน่…พี่ชาย! กงอิ้นใจคอเ**้ยมโหดเช่นนี้ หากท่านยังยึดมั่นในความแค้นครั้งก่อน ไม่ยอมร่วมแรงร่วมใจกับข้า ภายภาคหน้า จุดจบของข้าย่อมเป็นจุดจบของท่าน!”
นางค่อยๆ เร้าใจให้ฮึกเหิม เสียงดุเดือดดังสะท้อนทั่วช่วงกลางภูเขา สะเทือนจนกำแพงศิลาส่งเสียงดังหวึ่งๆ
จิ่งเหิงปัวรวบรวมสมาธิมองดูหยดน้ำที่ซึมออกมาจากบนกำแพงศิลา ไหลรินสู่ปลายนิ้วของนางอย่างเย็นเยือก
ใช่แล้ว เฟยหลัวเอ่ยได้ถูกต้อง แบบนี้คือนิสัยของเขา
อดกลั้นไว้ในใจยอมถอยหลัง เป็นแค่การล่าถอยก้าวหนึ่งเพื่อสะบั้นมีดได้สะดวกและรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ความนิ่งเงียบคือเปลือกนอก ความดุเดือดรุนแรงคือตัวตนที่แท้จริง
นางฟังอย่างระมัดระวัง ซ้ำยังพยายามไม่ให้ลมหายใจของตนเองยุ่งเหยิงยามได้ยินชื่อนั้น เพราะกลัวว่าจะถูกพบเจอเข้า
พอได้ยินเฟยหลัวเอ่ยถึงเขาแล้ว ในใจของนางสั่นสะท้าน วิธีการเอ่ยวาจาของเฟยหลัวค่อนข้างตรงกับที่นางคาดคะเนไว้ในใจ จนอดจะเกิดเป็นความงงงวยที่มากยิ่งขึ้นพุ่งเข้ามาในใจไม่ได้
เขาลงมือจัดการเฟยหลัว เป็นเพราะว่าพวกนั้นทรยศต่อต้านเขา ล่วงละเมิดอำนาจบารมีที่ล่วงเกินไม่ได้ของเขา หรือด้วยเพราะ…
นางสะบัดศีรษะอย่างแผ่วเบา หยุดยั้งความคิดสับสนวุ่นวายส่วนหนึ่งนี้ไว้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้ นางควรสงบจิตสงบใจ เรียนรู้ให้เต็มที่
เรียนรู้กลอุบายทุกสิ่งของนักการเมืองบนโลกนี้ อาศัยความคิดจิตใจของผู้อื่นมาหล่อหลอมกระบี่แห่งสติปัญญาของตนเอง รอคอยว่าสักวันตนเองจะร่นถอยก้าวหนึ่งอย่างสวยงามแบบนั้น หันหลัง แล้วชักมีด สะบั้น!
เสียงของเหยียลี่ว์ฉีค่อยๆ แว่วเข้ามาอย่างแผ่วเบา
“จุดจบหรือ…” เขาหัวเราะแผ่วเบา เอ่ยว่า “จุดจบของข้าจะต้องแตกต่างจากเจ้าเป็นแน่”
“ท่านนึกว่ายามนี้ที่ท่านคุ้มครองเคียงข้างจิ่งเหิงปัวตลอดทาง นางจะซาบซึ้งในน้ำใจของท่าน ปกป้องท่าน ขอบคุณท่าน ไม่ชำระสะสางความแค้นครั้งเก่ากับท่านในภายภาคหน้าหรือ?” เฟยหลัวหัวเราะอย่างเสียดสี เอ่ยว่า “เหยียลี่ว์ฉี ท่านไร้เดียงสาขนาดนี้ตั้งแต่ยามใดกัน? ท่านเข้าใจสตรีหรือ? ท่านรู้หรือไม่ว่าหากข้าเป็นจิ่งเหิงปัว ขอเพียงข้าสบโอกาส ข้าต้องสังหารท่านเป็นแน่!”
“เจ้าไม่ใช่จิ่งเหิงปัว” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “อย่าได้นำตนเองไปเทียบกับนาง อย่าได้เอ่ยวาจาเหลวไหลมากมายขนาดนั้น…ยาถอนพิษ”
“อยากได้ยาถอนพิษหรือ?” เฟยหลัวหัวเราะคิกๆ เอ่ยว่า “ข้าเอ่ยแล้วไม่ใช่หรือ? ร่วมมือกับข้าสิ อย่าได้หลอกลวงข้าเฉกเช่นคราวก่อน ร่วมมือกับข้าอย่างจริงใจ”
“จริงใจอย่างไร”
“กลับไปสังหารจิ่งเหิงปัว”
กลางถ้ำภูเขาเงียบสงัด จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะแผ่วเบาของเหยียลี่ว์ฉีดังขึ้น ก่อนเอ่ยว่า “เจ้ากำลังล้อเล่นอยู่กระมัง?”
“ท่านรู้ว่าข้าไม่ได้ล้อเล่น”
“เจ้าเพิ่งเอ่ยไว้ว่ายามนี้จิ่งเหิงปัวคงไม่เชื่อใจข้า เจ้านึกว่าข้าอยู่ข้างกายนางแล้วจะสังหารนางได้หรือ? เจ้าเห็นว่าเจ็ดสังหารกับเทียนชี่ไร้ฝีมือหรืออย่างไร?”
“ท่านเองก็ไม่ได้ไร้ฝีมือเช่นกัน” เฟยหลัวเบะปากแล้วเอ่ยว่า “เหยียลี่ว์ฉี อย่าเสแสร้งไปหน่อยเลย ผู้อื่นไม่รู้จักท่าน แล้วข้าจะไม่รู้จักท่านด้วยหรือ? หลายปีมานี้ ด้วยเพราะต้องชดใช้ความผิด ท่านถูกตระกูลเหยียลี่ว์เลือกมาเป็นราชครูฝ่ายซ้ายผู้นี้ ต้องเสนอความคุ้มครองหลายอย่างเพื่อตระกูล ตระกูลไม่ได้เมตตากรุณาต่อท่าน ในใจท่านไม่ยินยอมเป็นราชครูผู้นี้ด้วยซ้ำ เพียงแค่เล่นละครตบตาก็เท่านั้น ท่านไม่ได้ทุ่มเทสุดเรี่ยวแรงเพื่อต่อสู้กับกงอิ้นด้วยซ้ำ เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ พอเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาสำคัญ ท่านก็พลันร่นถอย เหตุใดท่านไม่ลองอาศัยอำนาจของกงอิ้นมาปราบปรามตระกูลเหยียลี่ว์ พวกเขาจะได้ไม่เรืองอำนาจมากเกินไป บีบบังคับท่านจนไม่อาจขยับเขยื้อนเล่า?”
“หลังจากสูญเสียอำนาจ เจ้าก็คล้ายเฉลียวฉลาดขึ้นแล้ว” เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มแย้มมองดูนาง แล้วเอ่ยว่า “ทว่าอาจจะโง่เขลาลงเช่นกัน”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนยิ่งขึ้น แต่จิ่งเหิงปัวพบว่าเขายืนอยู่ใกล้เฟยหลัวมากแล้วตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
เฟยหลัวก็คล้ายสังเกตเห็นเช่นกัน เรือนร่างเอนไปข้างหลัง ยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “พี่ชาย ท่านคิดจะสังหารข้าหรือ?”
“เขาไม่กล้าหรอก!” เสียงตวาดพรวดพราดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากส่วนลึกของกลางภูเขา
เหยียลี่ว์ฉีเงยหน้าขึ้น เงาด้านข้างภายใต้แสงไฟมีท่าทางไม่แปลกใจ มุมปากยังคงเจือด้วยรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นเยือกเย็นขึ้นอย่างเชื่องช้า