ผู้นำขุมกำลังกระจกจันทรากล่าว “เมื่อก่อนดินแดนลึกลับทางตกถูกเปิดขึ้นโดยพลังอันแข็งแกร่งมาก สำนักนิกายครึ่งระดับทั่วทั้งทางตกของเซี่ยโจวจะมาประลองฝีมือกัน จากนั้นก็มาตัดสินว่าสำนักใดได้เข้าไปในดินแดนลึกลับนั้น ขุมกำลังกระจกจันทราของพวกเราปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก เรื่องรายละเอียดต่าง ๆ ตอนนี้ยังรู้ไม่แน่ชัด”
มู่เฉียนซี “สำนักนิกายครึ่งระดับเช่นนั้นรึ ? ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากสนทนากับผู้นำขุมกำลังกระจกจันทราเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีกับปรมาจารย์นักปรุงยาเวินเหรินก็ออกไปจากที่นี่
ผู้อาวุโสใหญ่จิ้งเยี่ยกล่าวขึ้น “เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย ขุมกำลังกระจกจันทราของพวกเราเป็นหนี้บุญคุณต่อเขามากนัก เราต้องไม่เป็นศัตรูกับเขาเด็ดขาด อีกอย่าง หากเขามีเรื่องให้ช่วยก็ช่วยเขาให้เต็มที่อย่าได้รีรอ”
ผู้นำขุมกำลังกระจกจันทรา “ขอรับ สิ่งนี้ข้าเข้าใจดี”
เมื่อมู่เฉียนซีกับปรมาจารย์นักปรุงยาเวินเหรินกลับมาถึงสำนักตานซิน ก็ได้พบว่าสำนักตานซินนั้นถูกทำลายอย่างน่าอนาถ
ในขณะที่เจ้าสำนักตานซินเห็นร่างในชุดขาวปรากฏตัวขึ้น เขาพลันรู้สึกหวาดกลัว อกสั่นขวัญหายไปชั่วขณะ
“มู่ซี… เจ้า… เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกรึ ?”
ผู้มีพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงสุดไปตามตัวถึงหุบเขากระจกจันทรา ต่อให้เป็นคนที่เก่งกาจเหนือมนุษย์ก็ไม่น่าที่จะหลบหนีได้
ทว่านี่…
มู่เฉียนซีกล่าวเย้ยหยัน “เหอะ! ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักตานซินจะตกใจที่ข้ามีชีวิตรอดกลับมาได้”
เวลานี้เจ้าสำนักตานซินตกใจเป็นอย่างมาก “มู่ซี ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูด”
“หยุดเสแสร้งแกล้งทำเป็นโง่งมได้แล้ว ถึงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะไม่อาจโทษเจ้าได้ทั้งหมด เจ้าก็แค่บอกตำแหน่งที่อยู่ของข้าให้พวกมันรู้ แต่ถึงอย่างไรแล้วข้าก็ไม่อยากให้เผยแพร่เรื่องนี้ออกไปให้ผู้ใดรู้ ดังนั้นเจ้ามีเพียงแค่สองทางเลือกเท่านั้น หนึ่งคือยอมจำนนต่อข้า สองคือหายสาบสูญไปจากแผ่นดินเซี่ยโจวนี้”
“ฮ่า ๆ ๆ” เจ้าสำนักตานซินได้ยินเช่นนี้แล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องตลก เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง
“เจ้าเด็กน้อย เจ้ากล้าขู่ข้ารึ ?! เจ้าคิดว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในการปรุงยาเพียงเท่านั้นแล้วจะไม่มีใครเทียบเจ้าได้แล้วรึ ? ให้เจ้าสำนักตานจี้อย่างข้ายอมจำนนให้กับเด็กอายุไม่ถึงยี่สิบอย่างเจ้า เรื่องตลกชัด ๆ”
ขณะเดียวกันนั้น ปรมาจารย์นักปรุงยาเวินเหรินกล่าวขึ้นว่า “ตานซิน ข้าว่าทางที่ดีเจ้าอย่าประเมินค่าเจ้าหนุ่มนี่ต่ำเกินไปจะดีกว่า มิเช่นนั้นแล้วเจ้าอาจจะเสียใจภายหลัง”
ตานชินได้ยินเช่นนี้ผงะไปครู่หนึ่ง หันมองหน้านักปรุงยาเวินเหรินพลางกล่าว “นักปรุงยาเวินเหริน เจ้า… เจ้ากับเจ้าเด็กนี่เป็นพวกเดียวกันรึ ?!”
ในที่สุดเขาก็ได้รู้แล้วว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้พ่ายแพ้ให้กับเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างน่าอนาถเช่นนั้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าบังเอิญยิ่งนักที่เชิญคนของเขามาเป็นผู้ตัดสินอาวุโสเช่นนี้ เสียเปรียบแท้ ๆ
“นักปรุงยาเวินเหริน ในเมื่อเจ้าเป็นพวกเดียวกันกับเด็กหนุ่มผู้นี้ เช่นนั้นสำนักตานซินของข้าจะไม่ยอมก้มหัวให้เจ้าอีกต่อไป”
มู่เฉียนซี “ไม่ยอมก้มหัวให้งั้นรึ ? เช่นนั้นก็คงต้องใช้กำลังมาตัดสินแล้ว”
ทันใดนั้นองครักษ์เงาที่ลอบซุ่มอยู่ในสำนักตานซินก็ออกมา แน่นอนว่ายังมีผู้อาวุโสของสำนักตานจี้ด้วย
ตานซินผงะไป “อา… เหตุใดสำนักตานจี้ของพวกเจ้าถึงได้มียอดฝีมือมากมายเช่นนี้ ?”
ที่ผ่านมา เป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้วที่สำนักตานซินของพวกเขากดขี่ข่มเหงสำนักตานจี้มาโดยตลอด ไม่มีทางที่สำนักตานจี้จะมียอดฝีมือระดับจักรพรรดิมากมายเช่นนี้ได้
ตานคุนกล่าว “ตานซิง ทางที่ดีเจ้ายอมฟังผู้นำตระกูลมู่เสียดีกว่า เจ้าก่อเรื่องเดือดร้อนให้ผู้นำตระกูลมู่มากมายเช่นนี้ ผู้นำตระกูลมู่ไม่ทำลายล้างสำนักของเจ้าก็นับว่าท่านมีเมตตาต่อเจ้ามากแล้ว”
ตานซิงได้ยินคำกล่าวเรียกนี้ถึงกับอ้าปากค้าง “ผะ… ผู้นำตระกูลมู่”
ดวงตาของตานซิงเบิกกว้างแทบจะถลนออกมา เขาจ้องมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เจ้า… เจ้าเป็นผู้นำตระกูลมู่ มู่เฉียนซีรึ ?!”
“ใช่ ข้าเอง เพียงแต่ข้าแต่งผ้าอาภรณ์เยี่ยงบุรุษเท่านั้น” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงขรึม
ตานซิงครุ่นคิด เมื่อก่อนผู้นำตระกูลมู่ไม่ได้เป็นที่รู้จักแต่อย่างใด ทว่าแน่นอน ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังของหอหมอปีศาจ เขาจึงรู้ว่ายังมีตระกูลมู่อยู่
ตานซิงหัวเราะพลางกล่าว “ฮ่า ๆ ๆ ข้านึกไม่ถึงเลยแม้เพียงนิดว่าสำนักตานจี้ของเจ้าจะกลายเป็นสุนัขรับใช้ตระกูลมู่ไปเสียแล้ว มิน่าล่ะว่าเหตุใดถึงได้มีสูตรยามากมายเช่นนั้น”
มู่เฉียนซี “ตานซิง หากสำนักตานซินของเจ้าเลือกที่จะยอมจำนนต่อข้า ผลประโยชน์ต่าง ๆ ของสำนักเจ้าจะไม่น้อยหน้าไปกว่าสำนักตานจี้ แต่หากว่าไม่ เช่นนั้นก็…”
เวลานี้ตานซิงดิ้นรนอยู่ในใจ คู่ต่อสู้แข็งแกร่งกว่าพวกเขายิ่งนัก อีกอย่าง เขาเป็นคนให้ม้วนไม้ไผ่โบราณนั้นกับผู้นำตระกูลมู่ด้วยตนเอง ทำให้นางต้องเดือดร้อน
เพียงแค่นึกถึงความมั่งคั่งของสำนักตานจี้ในวันนี้ อีกทั้งหมอปีศาจผู้ลึกลับในตำนานผู้นั้น ก็ทำให้เขาอดใจเต้นมิได้
ในที่สุดตานซิงกล่าวขึ้น “หากสำนักข้ายอมจำนนให้กับตระกูลมู่ ข้าต้องทำสิ่งใดบ้าง ?”
มู่เฉียนซี “ไม่คิดร้ายและไม่สร้างความเดือดร้อนใด ๆ ให้กับคนของตระกูลมู่ ส่งนักปรุงยาที่มีความสามารถมาประจำอยู่ที่หอหมอปีศาจของข้า ส่วนเรื่องอื่นเจ้าสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเป็นอิสระ”
“อ้อ และสูตรยากับยาวิญญาณข้าจะให้พวกเจ้าไม่น้อยแน่นอน”
ตานคุน “ตานซิง เจ้าไม่ต้องลังเลใจใด ๆ แล้ว สิ่งดี ๆ เช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก เจ้าคงไม่อยากให้สำนักตานซินที่ก่อตั้งมาเป็นร้อย ๆ ปีพังทลายไปในรุ่นของเจ้าหรอกใช่หรือไม่ ?!”
ปัจจุบันนี้ผู้อาวุโสในสำนักตานซินของพวกเขาก็ถูกกลุ่มคนชุดขาวนั่นสังหารสิ้นลมไปหลายคนแล้ว หากถูกทำลายอีกครา สำนักของเขาคงมิวายต้องสลายไปเป็นแน่แท้
ตานซิง “ตกลง ข้ายอมรับข้อเสนอ”
มู่เฉียนซีหยิบขวดหยกออกมา กล่าวว่า “โดยนิสัยส่วนตัวของเจ้าแล้วข้าไม่อาจเชื่อใจเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าต้องกินเม็ดยานี้เข้าไป”
“ยาพิษ!” ตานซิงสะดุ้งเล็กน้อย
มู่เฉียนซี “เจ้าวางใจได้ ขอเพียงแค่เรื่องเดือดร้อนเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ยาพิษเม็ดนี้ก็จะไม่มีวันออกฤทธิ์แน่นอน ตรงกันข้าม หากจุดจบที่น่าสังเวชของเจ้ามาถึง อย่าคิดหายาแก้พิษ ในเมื่อคนอย่างข้ากล้าใช้ยาพิษนี้ นั่นหมายความว่าไม่มีผู้ใดสามารถแก้พิษให้เจ้าได้”
ดวงตาของสาวน้อยผู้นำตระกูลมู่ตรงหน้าทั้งเย็นชาทั้งดูน่ากลัวยิ่งนัก ในที่สุดตานซิงก็ได้กลืนยาพิษนั้นลงคอไป
ตานซิง “ผู้นำตระกูลมู่ ไม่ทราบว่ามีคำสั่งให้ทำสิ่งใดหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซี “ปิดข่าวไว้ เรื่องที่กลุ่มคนชุดขาวนั่นมาที่นี่ห้ามให้ผู้ใดรับรู้เด็ดขาด”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
มู่เฉียนซีพยักหน้าก่อนจะกล่าวถามว่า “สำนักพวกเจ้าเป็นสำนักครึ่งระดับ เรื่องดินแดนลึกลับทางตก พวกเจ้ารู้เรื่องหรือไม่ ?”
เจ้าสำนักตานซินและเจ้าสำนักตานจี้ขมวดคิ้ว ทั้งสองรู้สึกจนปัญญาอย่างยิ่ง
“สำนักของเราทั้งสองเป็นสำนักปรุงยา ระดับความแข็งแกร่งของสองสำนักเราไม่เพียงพอที่จะเข้าไปดินแดนลึกลับนั้นเลย”
ตานคุน “หากผู้นำตระกูลมู่สนใจก็น่าจะไปหาฮั่วอู๋จี๋ได้ อย่างน้อยครั้งหนึ่งผู้นำตระกูลมู่ก็เคยช่วยเขาเอาไว้ อีกทั้งผู้นำตระกูลยังเคยช่วยกำจัดศัตรูของเขา เวลานี้สำนักเฟินเทียนนับว่าเป็นสำนักอันดับหนึ่งในแคว้นชิง สำนักเฟินเทียนยิ่งใหญ่ไม่เบา”
มู่เฉียนซีพยักหน้า “อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
สำหรับสำนักเย่าอู๋นั้น แน่นอนว่าไม่สามารถทำเสียหน้าได้ ดังนั้นจึงได้นำสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดมาส่ง
ตานคุนกล่าวถามว่า “ผู้นำตระกูลมู สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ มีที่เจ้าสนใจบ้างหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซี “สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ เกือบทั้งหมดก็เหมือนกับของสำนักตานจี้ เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ ข้ากลับก่อน”
การหนีเอาชีวิตรอดออกมาจากความตายครานี้อันตรายโหดร้ายยิ่งนัก เมื่อมู่เฉียนซีกลับมาถึงจวน ได้เห็นบุรุษผู้มีสีหน้าอ่อนโยนนั่งอยู่บนรถเข็น หัวใจที่เหนื่อยล้าของนางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
มู่อวู่ซวงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ซีเอ๋อร์กลับมาปลอดภัยก็ดีแล้ว ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ ? เจ้าเล่ามาอย่าได้ปิดบังข้าเลย”
“ได้เจ้าค่ะท่านอาเล็ก ข้าไม่กล้าปิดบังท่านอาเจ้าค่ะ” มู่เฉียนซีกล่าว
นางเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านอาฟัง ตั้งแต่ตอนที่ได้รับม้วนไม้ไผ่โบราณที่เป็นเบาะแสของหม้อเทพนิรันดร์ ถูกยอดฝีมือพลังวิญญาณจักรพรรดิระดับสูงของหุบเขาหมอเทวดาตามฆ่าสังหารจนต้องระเห็จเข้าไปในบึงหมื่นพิษ ได้ทดสอบด่านต่าง ๆ ในถ้ำหมื่นพิษมากมาย
แน่นอนว่าครั้งนี้มู่เฉียนซีสู้ยิบตาและรอดพ้นมาราวกับเป็นแมวเก้าชีวิต นางรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด
ทันใดนั้นดวงตาที่อ่อนโยนของมู่อวู่ซวงพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที “หุบเขาหมอเทวดาเช่นนั้นรึ ? สำนักระดับสองกล้ามาคิดฆ่าซีเอ๋อร์ ช่างบังอาจนัก!”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “แต่ว่าท่านอา ข้าไม่ได้เสียแรงเปล่า ข้าได้รู้ข้อมูลและรู้วิธีการตามหาหม้อเทพนิรันดร์มาด้วย”
“ซีเอ๋อร์คิดจะทำสิ่งใดก็ย่อมทำได้ตามใจ เพียงแต่ต้องระวังตัวให้มาก ๆ”
มู่เฉียนซีหมกมุ่นอยู่กับหม้อเทพนิรันดร์ และมู่อวู่ซวงก็ไม่ได้ห้ามปรามนางแต่อย่างใด ถึงอย่างไรแล้ว ต่อให้ไม่ได้จะเอามาเพื่อรักษาอาการป่วยของเขา แต่ก็เพื่อการบรรลุทักษะปรุงยาของซีเอ๋อร์ หม้อเทพนิรันดร์เป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดไปได้
หลังจากที่ออกจากเรือนอวู่โยว มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้นว่า “มู่อี จิ่วเยี่ยกลับมาแล้วหรือยัง ? ”