บทที่ 1145+1146 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 1145 หากจะฝึกวิชาเทพ ต้องตอนตัวเอง
ร่างโคลนนิ่งนี้ของโม่เจ้าสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก กล่าวได้ว่าเป็นความพยายามที่หลงฟั่นสั่งสมมานานนับสิบปี ต่อให้เขาสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ก็ต้องใช้เวลาอีกกว่าสิบปีถึงจะสร้างออกมาได้
และอาจไม่สมบูรณ์แบบเท่าร่างนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหลงฟั่นหรือโม่เจ้า ต่างก็ไม่อยากละทิ้งร่างโคลนนี้ไป
ในเมื่อโม่เจ้าต้องใช้สังขารนี้นานหลายสิบปี หลงฟั่นย่อมต้องคิดหาวิธีทำให้เขากลับมาเป็นปกติให้ได้
นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น เขาวุ่นอยู่หนึ่งวันเต็มก็ยังไม่สำเร็จ จึงตรงไปหากู้ซีจิ่ว ผลคือโม่เจ้าก็อยู่ตรงนั้นด้วย
หลังจากโม่เจ้าฟื้นฟูร่างก็กลายเป็นคนชอบกิน เพราะคิดว่ามีแต่การกระทำเช่นนี้ถึงทำให้เขาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์คนหนึ่งได้
เมื่อถึงเวลาอาหาร เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกู้ซีจิ่ว เขาจะมากินข้าวด้วยกันกับนาง หลงฟั่นก็หิวเช่นกัน จึงอยู่รั้งรอ ทั้งสามคนร่วมมื้ออาหารด้วยกัน
โม่เจ้ากับหลงฟั่นเห็นแก่สติปัญญาอันน้อยนิดของกู้ซีจิ่ว เมื่อพูดคุยกันจึงไม่ปิดบังอะไรนาง และย่อมพูดถึงปัญหาการเสื่อมสมรรถภาพและการฝึกวิชา…
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียด กู้ซีจิ่วที่นั่งกินข้าวอยู่ด้านข้างโพล่งขึ้นหนึ่งประโยค “หากจะฝึกวิชาเทพ ต้องตอนตัวเอง”
โม่เจ้านิ่งอึ้ง
หลงฟั่นก็กล่าวอันใดไม่ออก
โม่เจ้าชะงักไปนิด มองกู้ซีจิ่ว “เจ้าไปเอาคำพูดนี้มาจากที่ใดกัน?”
กู้ซีจิ่วเองก็ค่อนข้างงงงวย ทว่ายังคงตอบกลับอย่างเชื่อฟัง “มันผุดขึ้นมาในสมองเอง พี่โม่ วิชาของท่านก็นับว่าฝึกฝนสำเร็จแล้ว ท่านตอนไปแล้วใช่หรือไม่?”
ใบหน้าหล่อเหลาของโม่เจ้าเริ่มเขียวคล้ำ “เปล่า! อย่าได้เดาส่งเดช!” น้ำเสียงเขาไม่ระรื่นหู ราวกับกำลังติติงเด็กน้อย กู้ซีจิ่วสำนึกผิด เบะปากเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีกแล้ว
โม่เจ้านวดคลึงหว่างคิ้ว กับกู้ซีจิ่วที่เป็นแบบนี้ เขารู้สึกว่าความอดทนของตนลดลงอย่างรวดเร็ว และรู้สึกรังเกียจนางอย่างไม่คาดคิด ถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้านาง
เขานิ่งไปเล็กน้อย เอ่ยปากกำชับนางว่า “เด็กดี เจ้ากินอิ่มแล้วก็เข้านอนเถิด เจ้าคงง่วงแล้ว”
“อื้อ” กู้ซีจิ่วขานรับแล้วหันกายเดินเข้าห้องไปนอน
โม่เจ้าแสร้งถามหลงฟั่นคล้ายไม่ได้ตั้งใจ “คำพูดของนางมาจากที่ใด? เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
หลงฟั่นเจ้าคนเลวทรามคงไม่มีแผนชั่วเพราะถูกเขาไล่บี้กระมัง?
ทำให้เขากลายเป็นคนไร้สมรรถภาพ เช่นนี้ง่ายต่อการทำให้สังขารนี้มีพลังวิญญาณบรรลุขั้นเก้า…
หลงฟั่นกลับไม่ได้เอาคำพูดกู้ซีจิ่วมาใส่ใจ “คำพูดนี้เป็นโครงเรื่องของนวนิยายเล่มหนึ่ง ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย การฝึกฝนวิชาเทพกับการตอนไม่เกี่ยวข้องกันเลย…”
โม่เจ้ายิ้มบางๆ “งั้นรึ? แต่ว่าก็มีบางวิชาที่ต้องการร่างของชายหนุ่มถึงจะฝึกฝนได้ ก็ไม่แน่ว่าบางวิชาอาจต้องตอนถึงจะฝึกฝนสำเร็จได้” ถึงแม้เขาจะพูดด้วยรอยยิ้ม ทว่ากลับไม่มีรอยยิ้มในแววตาเลย
หลงฟั่นขมวดคิ้ว คำพูดของท่านเจ้าราวกับมีบางอย่าง…
เขาเอ่ยอย่างแผ่วเบา “คำพูดในนิยายไม่มีหลักวิทยาศาสตร์ใดมาอ้างอิง ท่านเจ้าไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”
โม่เจ้าเหลือบมองเขา “หลงฟั่น เจ้าผิดหวังในตัวข้าหรือไม่?”
ใจหลงฟั่นสั่นไหวเล็กน้อย ขมวดคิ้วโดยพลัน “เหตุใดท่านเจ้าพูดเช่นนี้? ข้าน้อย…”
โม่เจ้าทอดถอนใจพลางเอ่ย “เจ้าผิดหวังที่ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าตอนเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของตี้ฝูอีใช่หรือไม่? ความจริงในตอนนั้นข้าก็หมดหนทาง หากไม่ทำเช่นนั้น ตี้ฝูอีคงไม่มีทางติดกับ…”
หลงฟั่นตัดบทเขา “ท่านเจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย ข้าเข้าใจทั้งหมดดี”
ตอนนั้น ถึงแม้เขาตกอยู่ในเงื้อมมือของตี้ฝูอี ไม่สามารถขยับตัวได้ แต่ยังคงมีสติ และเห็นว่าโม่เจ้าต่อรองเงื่อนไขกับตี้ฝูอีโดยไม่สนใจชีวิตของลูกน้องอย่างพวกเขา…
เขาเข้าใจท่านเจ้าของพวกตน แต่หากจะบอกว่าไม่ตะขิดตะขวงใจเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
ไม่เพียงแต่เขาที่รู้สึกไม่สบายใจ ตอนนั้น อีกสามคนที่ถูกตี้ฝูอีจับเป็นตัวประกันก็ไม่สบายใจเช่นกัน เพียงแต่ไม่มีผู้ใดแสดงท่าทีออกมา
———————————————————-
บทที่ 1146 เหม็นจะตายอยู่แล้ว ออกไป!
เรื่องการคิดคำนวณและวางแผน ท่านเจ้าคงสู้ตี้ฝูอีไม่ได้ ทว่าในเรื่องจิตใจที่เหี้ยมโหดนั้น ท่านเจ้ากลับชนะขาดลอย
ภาษิตว่าไม่มีความปรารถนาจิตแข็งแกร่ง
ท่านเจ้าดูเหมือนเป็นคนอ่อนโยนสง่างาม แต่ความจริงแล้วเลือดเย็นเป็นที่สุด ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีทางเป็นจุดอ่อนของเขาได้ และเขายังยอมละทิ้งมิตรสหายเพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ได้ ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดหรือเรื่องอะไรจึงล้วนนำมาข่มขู่เขาไม่ได้
ส่วนตี้ฝูอี ตี้ฝูอีคนก่อนหน้านี้ก็คงเป็นแบบเดียวกันกระมัง?
เพียงแต่ตี้ฝูอีในตอนนี้มีจุดอ่อนเสียแล้ว ตราบใดที่จับจุดอ่อนเขาได้แล้ว ก็จะกำจัดเขาได้…
การที่ตี้ฝูอีรักใคร่ชอบพอกู้ซีจิ่ว บางทีอาจจะเป็นความผิดร้ายแรงที่เขาได้กระทำในชาตินี้
หลงฟั่นเห็นกฎเกณฑ์ของใต้หล้านี้เป็นเรื่องไรสาระมาตลอด เขารู้สึกว่าหลักการที่ถูกต้องของกฎเกณฑ์เหล่านั้นต่างเป็นสิ่งจอมปลอม หลายปีที่ผ่านมานี้เขาจึงยอมอยู่ข้างกายมารสวรรค์ที่ชั่วร้าย เตรียมการวางแผนให้ทั้งเขาและตัวเองเสียยังดีกว่า
เดิมที เขาคิดว่าการอยู่ข้างมารสวรรค์คือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด ทว่าตั้งแต่ที่โม่เจ้าพยายามฟาดฟันกับตี้ฝูอีโดยไม่ได้สนใจชีวิตของเขาเลย เขายังรู้สึกผิดหวังอยู่…
แต่เพราะเขาจงรักภักดีเสมอมา จึงเก็บซ่อนความผิดหวังนี้ของตัวเองไว้ได้ก็เท่านั้น
ทว่าตอนนี้ เนื่องจากเรื่องความเสื่อมสมรรถภาพของร่างโคลนนิ่ง ดูเหมือนว่าโม่เจ้าจะเริ่มสงสัยในตัวเขาอีก…
เขารู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาทันใด!
เป็นครั้งแรกที่ส่วนลึกภายในจิตใจเริ่มไม่มั่นใจว่าการตัดสินใจของตัวเองถูกต้องแล้วหรือไม่…
ทั้งสองพูดคุยกันไป โม่เจ้าก็ยังคอยพูดเหน็บแนมเขาอยู่ ราวกับสงสัยว่าเขาจงใจแก้เผ็ดทำให้ตนเองกลายเป็นคนไร้สมรรถภาพ…
หลงฟั่นเหนื่อยหน่ายเหลือทน ตอบกลับสีหน้าเคร่งขรึมอย่างอดไม่อยู่ “ท่านเจ้า ข้าน้อยจงรักภักดีต่อท่านมาตลอด ไม่เคยคิดไม่ซื่อ! เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ข้าน้อยก็กระวนกระวายใจอยู่ไม่น้อย สองวันที่ผ่านมานี้พยายามศึกษาวิจัยหาทางแก้ปัญหาอย่างสุดชีวิต หากท่านเจ้าสงสัยในความจงรักภักดีของข้าน้อยเช่นนี้…”
โม่เจ้ากลัวว่าเขาจะล้มเลิก ไม่ทำอีกต่อไป จึงปล่อยผ่านเลย และตบไหล่เขาเบาๆ “ข้าจะไม่เชื่อเจ้าได้อย่างไร? สองวันนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี เจ้าอย่าได้เก็บเอามาใส่ใจเลย เอาละ เจ้าไปทำงานต่อเถิด ข้าจะไปดูพวกเขาตระเตรียมงานแต่งงานเสียหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง” จากนั้นสาวเท้ายาวก้าวเดินออกไป
หลงฟั่นหลุบตาลงเล็กน้อย นั่งอยู่ตรงนั้นสักครู่ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องของกู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วกำลังเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน ดวงตาปิดลง แพขนตายาวเกิดเป็นเงาครึ่งวงกลมใต้ดวงตา ดูไปแล้วเป็นความงดงามที่เปราะบางอยู่บ้าง
หลงฟั่นไม่กล้าเข้าใกล้นางมากนัก ตอนนี้ประสาทสัมผัสการรับกลิ่นของนางดีเป็นพิเศษ ได้กลิ่นเขาเป็นศพเหม็นเน่า หากเข้าไปใกล้เกรงว่าจะทำให้นางตื่น…
เขาถอนใจเบาๆ ที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้สึกอย่างไรต่อกู้ซีจิ่ว
ลูกสาวก็ไม่ใช่ คนรักก็ไม่เชิง ส่วนลึกในใจ กู้ซีจิ่วคือความภาคภูมิใจสูงสุดของเขาในชีวิตนี้ ถึงขั้นวาดหวังว่านางจะประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไป เช่นนั้นจะยิ่งพิสูจน์ได้ถึงความสำเร็จของเขา
แต่ตอนนี้เขากลับทำให้ความภาคภูมิใจสูงสุดของตนกลายเป็นหญิงน่ารักใสซื่อไร้สมอง เพียงเพื่อความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของโม่เจ้า
กู้ซีจิ่วเหมือนนอนหลับไม่ค่อยสนิท ปากยังคงบ่นพึมพำเป็นครั้งคราว แต่ไม่ชัดถ้อยชัดคำ หลงฟั่นไม่รู้ว่านางกำลังพูดอะไรอยู่
เขาจึงตัดสินใจก้าวไปด้านหน้า เขยิบเข้าใกล้ปากจิ้มลิ้มของนาง ขณะกำลังตั้งใจฟัง กลับคาดไม่ถึงว่ามือน้อยของนางจะฟาดเข้ามาดังอสุนีบาต “เหม็นจะตายอยู่แล้ว ออกไป!”
หลงฟั่นไม่ทันระวังตัว ฝ่ามือนี้ตบเข้ามาที่ใบหน้าเขาเสียเจ็บปวดแสบร้อน
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลงฟั่นถูกคนตบหน้า เขาหยุดแน่นิ่งทันที กัดฟันกรอด “กู้ซีจิ่ว!”
แต่กู้ซีจิ่วก็นอนหลับไปอีก ไม่มีการตอบสนองใดๆ
นางตั้งใจ หรือว่าได้กลิ่นเหม็นอยู่ในความฝัน จึงตบที่มาของกลิ่นให้หายไปโดยสัญชาตญาณกันแน่?
————————————————————–