บทที่ 189 ตัดไฟแต่ต้นลม

ชู่ว!

ในขณะที่เซี่ยวจวินใช้วิชาม่านหมอกโลหิตออกไป หลิงไป๋ก็แปลงร่างเป็นดวงแสงสีทองพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว และความเร็วของเขาก็รวดเร็วยิ่งยวดจนทำให้เฉินซีต้องอุทานด้วยความชื่นชม ความเร็วของหลิงไป๋ที่เผยในขณะนี้ รวดเร็วยิ่งกว่ากว่าเคล็ดวาตะเหินทะยานที่หลอมรวมเข้ากับเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมของเขาเสียอีก

“ช่างเป็นสตรีเจ้าปัญหาเสียจริง ๆ… เจ้าคิดว่าจะหนีไปได้หรือ? จงตายซะ!” สุ้มเสียงของหลิงไป๋ยังไม่ทันจะหายไป ดวงแสงสีทองดวงน้อย ๆ ได้ฟาดลงไปยังท้องฟ้าที่ห่างออกไปไม่กี่สิบลี้อย่างดุเดือด จนทำให้เกิดฝนโลหิตโปรยปรายลงมาที่พื้นในทันที

เฉินซีอ้าปากค้างเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เจ้าไป๋น้อยผู้นี้… ช่างโหดเหี้ยมและนองเลือดเกินไป!

“หึ ๆ นับว่าข้าโชคดีพอที่จะทำภารกิจให้สำเร็จ” เพียงชั่วพริบตา หลิงไป๋ก็กลับมาแล้ว ใบหน้าเล็ก ๆ ที่หล่อเหลาและเย็นชาของเขาเต็มไปด้วยความชิงชัง “ตายได้ก็ดี! อันที่จริงข้าเกลียดสตรีมากที่สุดโดยเฉพาะสตรีที่ฉลาดเจ้าเล่ห์ การฆ่านางทำให้มือของข้าต้องแปดเปื้อนจริง ๆ”

เฉินซีอ้าปากค้างแต่ไม่รู้จะกล่าวอะไรออกไป จึงได้แต่พึมพำอยู่ในใจ ‘หรือว่าหลิงไป๋เคยถูกสตรีบางคนในอดีตทำร้าย ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลายเป็นคนวิปริตและจิตใจคับแคบ?’

อันที่จริง แม้ว่าการกระทำของหลิงไป๋จะไร้ความปรานีและโหดเหี้ยม แต่มันก็ได้ตัดไฟแต่ต้นลมโดยสิ้นเชิง ด้วยวิธีนี้ หลังจากที่เขาเข้าสู่เมืองห้วงทะเลทรายมรณะ เขาเพียงต้องปกปิดตัวตนของตัวเองและไม่ต้องคอยกังวลว่าศิษย์ของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตจะจดจำเขาได้

แต่สิ่งเดียวที่เฉินซีกังวลก็คือ หลังจากที่เขาเข้าไปในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ เขาอาจจะต้องเผชิญหน้ากับหัวหน้าหมู่ตึกฟ่านที่เซี่ยวจวินได้กล่าวถึง เพราะเฉินซีมั่นใจอยู่แล้วว่า เมื่อตอนที่เขาพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ภายในเมืองทะเลสาบมังกร คนผู้นี้ได้ซ่อนตัวอยู่ด้านข้างและคอยเฝ้าดูเขาอย่างแน่นอน หากพวกเขาบังเอิญพบกันที่เมืองห้วงทะเลทรายมรณะ มันคงเป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งนัก

“เฮ้ ไปดูกันว่าเคียวสมบัติวิเศษยังอยู่หรือเปล่าดีกว่า” หลิงไป๋ไม่รู้ว่าเฉินซีกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ และความสนใจของสหายตัวน้อยที่มีต่อสมบัติวิเศษนั้นมากกว่าความสนใจในตัวอิสตรีอย่างเห็นได้ชัด

ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองคนได้มาถึงจุดที่หานกู่เยว่ล้มตายทันที พวกเขากวาดสายมองดูสภาพแวดล้อม ก่อนจะสังเกตเห็นเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว

นี่เป็นหลุมขนาดใหญ่ที่มีความลึกราวร้อยยี่สิบจั้ง ซึ่งมันเกิดจากการระเบิดของแกนทองคำก่อนหน้านี้ และที่ด้านล่าง มีเคียวสีดำสนิทยาวสิบสองฉื่อถูกวางอยู่เงียบ ๆ เมื่อมองจากระยะไกล มันเหมือนกับเคียวที่ชาวนาในโลกมนุษย์ใช้เก็บเกี่ยวข้าวเปลือก และรูปลักษณ์ของมันก็ธรรมดามากจนเหมือนกับเศษเหล็ก

แต่มีเพียงเฉินซีและหลิงไป๋เท่านั้นที่รู้ว่าสมบัติชิ้นนี้น่ากลัวเพียงใด

“สมบัติเช่นนี้มันคือสิ่งใดกัน! จิตสังหารภายในนั้นไร้ขอบเขต บริสุทธิ์ และรุนแรง ราวกับมันกำเนิดจากจิตสังหารของสวรรค์และโลก นอกจากนี้ยังปราศจากปราณชั่วร้าย นี่คืออาวุธสังหารที่ชอบธรรมอย่างแท้จริง อาวุธสังหารที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้! ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เจ้าสุนัขแก่หานจะสามารถเข้าใจความลึกล้ำของเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารได้!” หลิงไป๋กระโจนลงไปในหลุมและหยิบเคียวสีดำสนิทขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่การระเบิดครั้งนี้สามารถเขย่าสวรรค์และสะเทือนไปทั้งโลก แต่สิ่งนี้กลับไม่เป็นอันตรายใด ๆ และไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย!

“หืม ขอข้าดูหน่อย” เฉินซีไม่อาจทนต่อความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้เช่นกัน จึงยื่นมือออกไปรับมันมาดูใกล้ ๆ เขารู้สึกว่าเคียวนี้เบาเหมือนขนห่าน และดูเหมือนว่าจะไม่มีน้ำหนักเลยแม้แต่น้อย แต่มันทำให้มือของเขาชาดิกและเย็นเป็นน้ำแข็ง ยิ่งไปกว่านั้น มันดูเหมือนเหล็กแต่ก็ไม่ใช่เหล็ก ดูเหมือนไม้แต่ก็ไม่ใช่ไม้ และวัสดุที่ใช้ในการสร้างขึ้นมานั้นก็ไม่สามารถระบุได้

“สิ่งนี้คือสมบัติวิเศษอะไร? หลิงไป๋ เจ้าพอจะรู้ไหมว่าเคียวนี้อยู่ที่ขั้นอะไร” เฉินซีถามด้วยความประหลาดใจ

“ถือได้ว่าเป็นสมบัติที่หายากเท่านั้น ถ้าข้าจำไม่ผิด เคียวนี้ถูกสร้างขึ้นโดยปราณสังหารของสวรรค์และโลกที่ถูกควบแน่นเป็นเวลาเนิ่นนานจนไม่อาจระบุได้ นอกจากนี้มันยังไม่ใช่สมบัติวิเศษ แต่กลับทรงพลังยิ่งกว่าสมบัติวิเศษ ปราณสังหารภายในเคียวนั้นมีเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารจากสวรรค์และโลก และเต๋ารู้แจ้งประเภทนี้จะมีอยู่ในสมบัติอมตะเท่านั้น” แววตาของหลิงไป๋ลุกโชนดั่งเปลวไฟขณะที่เขากล่าวช้า ๆ ว่า “สมบัติอมตะล้วนมีโลกเป็นของมันเองอยู่ภายในตัว และโลกนี้ก่อตัวขึ้นจากเต๋ารู้แจ้ง ยิ่งมีเต๋ารู้แจ้งอยู่ภายในมากเท่าไร สมบัติอมตะก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เมื่อเซียนสวรรค์บางคนขัดเกลาสมบัติอมตะของพวกเขา นอกเหนือจากการรวบรวมวัตถุที่หายากและมีค่าแล้ว ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดก็คือการสกัดความเข้าใจของพวกเขาที่มีต่อเต๋าแห่งสวรรค์และถ่ายทอดเข้าไปในสมบัติอมตะ ทำให้มันพัฒนาและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”

“เจ้าหมายความว่า… ถ้าข้าสามารถขัดเกลาเคียวที่มีเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารนี้ได้อย่างถูกต้อง มันจะสามารถกลายเป็นสมบัติอมตะได้ด้วยหรือ?” เฉินซีประหลาดใจ

หลิงไป๋พยักหน้า “แต่เดิมมันเป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมในการหลอมสร้างสมบัติอมตะ เจ้าคิดว่ามันจะกลายเป็นสมบัติวิเศษระดับอื่นได้อย่างไร?”

“ขนาดยังไม่ได้ถูกขัดเกลาให้ดี แต่เมื่ออยู่ในมือของหานกู่เยว่กลับสามารถแสดงพลังอันน่าสะพรึงกลัวได้ หากมันถูกขัดเกลาจนกลายเป็นสมบัติอมตะ ข้าเกรงว่ามันจะเป็นอาวุธสังหารอันดับหนึ่งในบรรดาสมบัติอมตะอย่างแน่นอน!” เฉินซีอุทานด้วยความชื่นชม จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว “ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าควรจะไม่ใช้สิ่งนี้ในอนาคตเสียดีกว่า หากผู้บ่มเพาะที่มีฝีมือสูงล้ำสัมผัสได้ถึงมัน มันก็จะก่อปัญหาไม่รู้จบอย่างแน่นอน”

“เจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนั้น! เป็นเพราะเจ้าสุนัขแก่หานใช้เคียวเช่นนี้ จึงทำให้มีมันชีวิตรอดและสามารถกล่าวพล่ามมาได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้าเขายังรอดจากการถูกพวกเราเข่นฆ่าก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง!” หลิงไป๋ยิ้มกว้างและกล่าวว่า “แต่เจ้าสามารถใช้สมบัตินี้เพื่อทำความเข้าใจเต๋าแห่งการสังหาร และเมื่อเจ้าพบกับอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต เจ้าก็สามารถใช้มันเป็นไพ่ตายได้”

เฉินซีพยักหน้ารับแต่รู้สึกไม่ยินยอม เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำได้ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบัน การครอบครองสมบัติแห่งการสังหารเช่นนี้คงไม่ต่างอะไรกับการที่ความมั่งคั่งสร้างปัญหาให้กับผู้บริสุทธิ์ และเป็นการดีกว่าที่จะทำตัวไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน

ท้ายที่สุด การครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่เสียหาย ได้กระตุ้นความโลภของกองกำลังต่าง ๆ ในเมืองทะเลสาบมังกรทั้งหมด และหากไม่ใช่เพราะมีเป่ยเหิงเป็นที่พึ่ง เขาคงถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยศัตรูมากมายเมื่อนานมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขายังได้เคียวแห่งการสังหารมาเพิ่มอีก ทำให้สิ่งล่อใจเช่นนี้ เป็นสิ่งที่แม้แต่พวกเฒ่าประหลาดก็ยังต้องหวั่นไหวและไม่อาจต้านทานได้

เมื่อเขาคิดถึงจุดนี้ เฉินซีก็นึกขึ้นได้ทันทีว่า ถันไถจื่อเซวียนและผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำอีกสี่คนยังคงซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ของเขา ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็กระตุกวูบ ขณะที่เขาร้องออกมาในใจ ‘เวรแล้ว!’

หากคนเหล่านี้รู้ว่าหานกู่เยว่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเขา พวกเขาก็ย่อมรู้อย่างแน่นอนว่าเคียวแห่งการสังหารนั้นตกอยู่ในความครอบครองของเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็อยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์และน่าจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าพวกเขาถูกซ่อนอยู่ในสมบัติอมตะ เนื่องจากมีเพียงสมบัติอมตะเท่านั้น ถึงจะมีโลกเป็นของตัวเองและสามารถซุกซ่อนผู้คนเอาไว้ข้างในได้!

นี่เป็นความจริงง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถคาดเดาได้

ด้วยเหตุนี้ เรื่องที่เฉินซีครอบครองสมบัติอมตะและเคียวแห่งการสังหาร จึงไม่อาจปกปิดถันไถจื่อเซวียนและคนอื่น ๆ ได้เลย เว้นแต่ว่าจะฆ่าพวกเขาทิ้งเพื่อปิดปาก

‘ข้าจำเป็นต้องฆ่าพวกเขาจริง ๆ หรือ?’ เฉินซีรู้สึกลังเลเล็กน้อย

“แล้วไยถึงไม่แก้ไขด้วยการขอให้พวกเขากล่าวคำสาบานภายใต้เต๋าแห่งสวรรค์แทนล่ะ?” หลิงไป๋ดูเหมือนจะรับรู้ความคิดของเฉินซีได้ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อันที่จริง ถ้าเจ้ารู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัย ข้าจะฆ่าพวกเขาเพื่อเจ้าและจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจอีก”

เฉินซีจ้องเขม็งไปยังเจ้าตัวน้อยที่ฆ่าคนอย่างบ้าคลั่งด้วยความโกรธ และเขาก็ได้ตัดสินใจแล้ว จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อออกไป เพื่อปล่อยให้ถันไถจื่อเซวียน และคนอื่น ๆ ออกมาจากเจดีย์

หลังจากที่ถันไถจื่อเซวียนพบว่าเฉินซีได้ทำลายล้างหานกู่เยว่แล้ว นางกลับสงบเป็นอย่างมาก และท่าทางของนางยังคงตึงเครียด เพราะมันเป็นอย่างที่เฉินซีคาดเดาไว้ ในช่วงเวลาที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ พวกเขาต่างก็ตระหนักได้ว่ากำลังอยู่ภายในสมบัติอมตะ และนอกจากอุทานด้วยความชื่นชมแล้ว พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะวิตกกังวลและหวาดกลัว เนื่องจากพวกเขาล่วงรู้ความลับอันยิ่งใหญ่ของเฉินซี และสิ่งที่รอพวกเขาอยู่อาจเป็นชะตากรรมของการถูกฆ่าเพื่อปิดปาก

ด้วยเหตุนี้ บรรยากาศในที่นี้จึงดูอึมครึมและน่าหดหู่ใจเป็นอย่างมาก

เนื่องจากเฉินเค่อครอบครองสมบัติอมตะและสามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะทั้งหมดของตระกูลหานโดยเพียงลำพัง สิ่งนี้อยู่เหนือจินตนาการของถันไถจื่อเซวียนและคนอื่น ๆ ในใจของพวกเขา แม้ว่าเฉินเค่อจะมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นน่ากลัวยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่พวกเขาเคยพบเห็นเสียอีก ดังนั้นการดำรงอยู่ของเขาในตอนนี้จึงดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง

พวกเขาไม่สามารถเอาชนะเฉินเค่อได้ และพวกเขาก็รู้ดีว่าการต่อต้านนั้นไร้ประโยชน์ พวกเขาเป็นดั่งเนื้อบนเขียงของเฉินเค่อ ที่ทำได้เพียงร้องขอความเมตตา ดังนั้นพวกเขาจึงรออย่างกระวนกระวายและหวาดกลัว มีเพียงความตาย? หรืออาจจะรอด? ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความคิดของเฉินเค่อเท่านั้น

“กล่าวคำสาบานภายใต้เต๋าแห่งสวรรค์ซะ และข้าจะปล่อยพวกเจ้าทั้งหมดไป” เฉินซีนิ่งเงียบอย่างยาวนาน และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจไว้ชีวิตพวกเขา เพราะเขาไม่ใช่คนขายเนื้อผู้เลือดเย็นและไร้อารมณ์ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่เต็มใจที่จะต้องกลายเป็นคนที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างไม่เลือกหน้า

เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ ถันไถจื่อเซวียนและคนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขารู้ว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว และไม่มีผู้ใดรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเลยแม้แต่น้อย

สำหรับผู้บ่มเพาะ คำสัตย์สาบานที่กล่าวไว้ภายใต้เต๋าแห่งสวรรค์ เป็นข้อจำกัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากพวกเขาละเมิดคำสัตย์ จุดจบของพวกเขาจะต้องน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง และอาจถึงขั้นต้องทนทุกข์กับการลงโทษของเต๋าแห่งสวรรค์และถูกกำจัดจนเหลือไม่ซาก

“สหายเต๋าเฉินเค่อ ถ้าอย่างนั้น… พวกเราขอตัว” หลังจากตั้งคำปฏิญาณภายใต้เต๋าแห่งสวรรค์แล้ว ถันไถจื่อเซวียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา

“ช้าก่อน”

หัวใจของถันไถจื่อเซวียนและคนอื่น ๆ กระตุกโดยไม่รู้ตัว

เฉินซียิ้ม “แม่นางถันไถต้องการทำการค้ากับข้าไม่ใช่หรือ ข้าจะตามพวกเจ้าไปที่เมืองห้วงทะเลทรายมรณะเช่นกัน”

เมืองห้วงทะเลทรายมรณะนั้นอยู่ใกล้กับห้วงทะเลทรายมรณะ และเป็นสถานที่ที่เฉินซีต้องผ่านไป เขาตัดสินใจที่จะคว้าโอกาสนี้มุ่งหน้าไปยังเมืองห้วงทะเลทรายมรณะและขายสิ่งที่เขาไม่ต้องการ เพื่อแลกกับสมบัติวิเศษหรือยาเม็ดเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ

เห็นได้ชัดว่า ถันไถจื่อเซวียนรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก และนางก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าด้วยความประหลาดใจ “ดี ดี ดี” นางกล่าวอย่างตะกุกตะกัก

เพราะนางตระหนักได้ตั้งแต่ที่เฉินซีสามารถเดินออกมาจากรอยแยกแห่งความสิ้นหวังภายในช่องเขาเมฆามรกต วัตถุดิบล้ำค่าที่เขาครอบครองอยู่จะต้องมีจำนวนไม่น้อยอย่างแน่นอน ถ้านางสามารถทำการค้ากับเขาได้ ไม่เพียงแต่นางจะสามารถส่งเสริมสถานะของนางในตระกูลได้ นางยังสามารถชนะใจบิดาของนางและผู้อาวุโสทุกคน และบางทีนางอาจได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลโดยตรง

แต่เมื่อนางนึกถึงถันไถหงผู้เป็นบิดาของนาง ถันไถจื่อเซวียนก็เกิดความกังวลขึ้นในใจทันที เนื่องจากนางจำสิ่งที่หานกู่เยว่กล่าวได้อย่างชัดเจน “ถ้าท่านพ่อยังปกติดี เขาคงจะมารับข้าตั้งนานแล้ว… แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่ปรากฏตัว หรือว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาจริง ๆ?”

“อย่าได้เสียเวลาเลย ไปกันเถอะ” เฉินซีดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ในขณะที่เขามองไปยังถันไถจื่อเซวียน และดูเหมือนว่าเขาจะอ่านความคิดของนางออก เขาไม่ลังเลอีกต่อไปและดึงเรือเหาะสมบัติของเขาออกมาเพื่อบรรทุกทุกคน ก่อนที่จะพุ่งผ่านท้องฟ้า

“ข้าเคยได้ยินมาว่าเมืองห้วงทะเลทรายมรณะเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนทางใต้ และทั้งเมืองสร้างจากผงกำมะถันทองคำทั้งหมด ทำให้พายุและอาวุธต่าง ๆ ไม่สามารถผ่านไปได้ อีกทั้งยังงดงามและสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ข้าจึงชักสงสัยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือ?” ขณะที่เขานั่งไขว่ห้างอยู่บนเรือเหาะสมบัติ เฉินซีก็โคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของเขาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่ในใจ แต่ตามที่เป่ยจงและเซวี่ยเฉินจากนิกายกระเรียนพิสุทธิ์เคยกล่าวไว้ มีศิษย์รุ่นเยาว์จากนิกายอื่น ๆ ภายในที่ราบตอนกลางต่างก็มุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะเช่นกัน ด้านหนึ่งก็เพื่อฝึกฝนความแข็งแกร่งและเตรียมพร้อมสำหรับการชุมนุมดาวรุ่ง และอีกด้านก็เพื่อค้นหาเบาะแสขุมสมบัติของเฉียนหยวน บางที อัจฉริยะเหล่านี้ทั้งหมดได้รวมตัวกันภายในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะแล้วในตอนนี้… อันที่จริง ยังมีสมาชิกของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตอีกด้วย เหตุใดพวกมันถึงมาโผล่ที่เมืองห้วงทะเลทรายมรณะด้วย?

เฉินซีถอนหายใจอย่างไม่มีเหตุผล เป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ดูเหมือนจะซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ