ตอนที่ 305 โยกย้าย

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 305 โยกย้าย

“อนุเว่ยช่างกล้าเสียจริงเจ้าค่ะ”

ปี้จูที่เดินเข้ามาจากด้านนอก เบะปากอย่างมิพอใจ

มิสำนึกเสียบ้างเลยว่าหากมิใช่เพราะคุณหนูของพวกนาง ป่านนี้เว่ยซื่อคงหอบอันหลิงหยูย้ายไปอยู่เรือนเพียนและโดนพวกสาวใช้กลั่นแกล้งไปแล้ว มิมีทางได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นตอนนี้หรอก

แต่หลังจากที่เว่ยซื่อออกมาจากเรือนเพียนกลับสนใจแค่ตนกับลูกเท่านั้น มิรู้จักสำนึกบุญคุณของคุณหนูแม้แต่น้อย

ปี้จูมิพอใจนางมาตั้งนานแล้ว ยิ่งตอนนี้เห็นว่าเว่ยซื่อคิดหลอกใช้อันหลิงจุนก็ยิ่งทำให้นางโมโหเข้าไปใหญ่

ทำให้ใบหน้ากลมป้อมที่กำลังโมโหอยู่คล้ายซาลาเปาเข้าไปทุกที

อันหลิงเกอเห็นแล้วก็อดขำออกมามิได้ “เอาล่ะ อย่าโกรธไปเลย ข้ายังมิว่าอันใด แต่เจ้ามาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแทนเสียนี่”

ตอนนั้นที่นางช่วยเว่ยอี๋เหนียงออกจากเรือนเพียน มิใช่เพราะความเห็นอกเห็นใจอย่างเดียว แต่นางก็ต้องการใช้เว่ยอี๋เหนียงคอยดึงความสนใจของหลี่ซื่อไว้ ทว่าชั้นเชิงของเว่ยอี๋เหนียงยังด้อยอยู่มากจึงทำได้แค่คอยเอาใจฮูหยินผู้เฒ่าไปวันวัน มิสามารถต่อกรอันใดกับหลี่อี๋เหนียงได้ สุดท้ายอันหลิงเกอจึงละทิ้งความคิดนี้ไป

บุญคุณนี้ นางมิได้ต้องการให้อีกฝ่ายมาตอบแทน อีกทั้งเดิมทีนางก็ต้องการหลอกใช้เว่ยอี๋เหนียงอยู่แล้ว ต่างฝ่ายต่างถือว่าได้ประโยชน์ นางจึงมิได้เอ่ยปากขอให้เว่ยอี๋เหนียงช่วยอันใดอีก

แต่การที่เว่ยอี๋เหนียงต้องการใช้ประโยชน์จากอันหลิงจุนนั้นเป็นสิ่งที่นางมิยอมเด็ดขาด

ปี้จูได้ยินดังนั้นก็ยิ่งมิพอใจเข้าไปใหญ่

“คุณหนู เพราะท่านใจดีเยี่ยงนี้ อนุเว่ยจึงเหิมเกริมขึ้นทุกวันเจ้าค่ะ”

เว่ยซื่อตอนที่เพิ่งออกมาจากเรือนเพียนใหม่ ๆ ยังหวาดกลัวไปหมดจนผู้อื่นพลอยเป็นห่วง

ทว่าตอนนี้เหิมเกริมกล้าใช้ประโยชน์จากคุณชายผู้เป็นบุตรจากภรรยาเอก นับว่าใจกล้ามากเสียจริง

อันหลิงเกอหัวเราะออกมา แต่มิได้กล่าวสิ่งใดต่อ ที่เว่ยอี๋เหนียงกล้าขอร้องเช่นนี้ก็เพราะมีความทะเยอทะยานอยากให้อันหลิงหยูสอบได้คะแนนดี ในสายตาของท่านพ่อจักได้มองว่าอันหลิงหยูเป็นเด็กฉลาดและตั้งใจเรียน

สำหรับบุตรชายของอนุภรรยาแล้ว การที่บิดาให้ความสำคัญหรือไม่นั้นถือเป็นการตัดสินอนาคตว่าจักไปได้ไกลเพียงใดด้วย

เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน คนที่มีความทะเยอทะยานย่อมใช้งานได้ง่ายกว่าคนขลาดกลัว

“หมิงซินไปพบคนของฉู่หยูมาหรือยัง ? ”

เมื่อนางกล่าวถึงเรื่องหมิงซินขึ้นมา สีหน้ามิพอใจของปี้จูเมื่อสักครู่ก็หายไปทันทีแล้วแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังแทน “ฉู่หยูส่งคนมาแล้วเจ้าค่ะ นางบอกว่าสืบได้เบาะแสสำคัญแต่ยังไร้หลักฐานที่เชื่อถือได้ คาดว่าต้องใช้เวลาอีกสักพักเจ้าค่ะ”

ระหว่างที่พวกนางกำลังสนทนากันอยู่นั้น อยู่ ๆ หมิงซินก็ถือจดหมายสองฉบับเดินเข้ามาพอดี

“เรียนคุณหนู นี่เป็นข่าวที่ฉู่หยูส่งมาเจ้าค่ะ” หมิงซินส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้อันหลิงเกอ รอจนคุณหนูของตนอ่านจบจึงยื่นจดหมายอีกฉบับในมือออกมา “ส่วนนี่เป็นจดหมายที่มู่ซื่อจื่อให้คนส่งมาเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอที่เพิ่งอ่านจดหมายของฉู่หยูจบก็มีสีหน้าอ่อนโยนทันทีเมื่อได้รับจดหมายฉบับที่สอง หากมองให้ชัดแล้วภายใต้ความอ่อนโยนนั้นก็แฝงความเขินอายไว้อีกด้วย

“คุณหนู มู่ซื่อจื่อเขียนมาว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

ดูเหมือนปี้จูสนใจจดหมายของมู่ซื่อจื่อยิ่งกว่าเรื่องที่ฉู่หยูสืบได้เสียอีก

สาวน้อยที่อายุเท่านางมักชอบความครึกครื้นและเรื่องซุบซิบนินทาเป็นที่สุด ส่วนเรื่องระหว่างชายหญิงนั้น สำหรับนางก็เป็นแค่เรื่องเพ้อฝันเท่านั้น

ต่อให้คนข้างหน้าคือคุณหนูของตน นางก็อดมิได้ที่จักอยากรู้อยากเห็น

อันหลิงเกอได้ยินก็เปิดจดหมายออกมาทันทีพร้อมใบหน้าที่ฉายแววอยากรู้

เนื้อหาในจดหมายช่างหวานเลี่ยนเสียจริง หวานจนนางอดหน้าแดงขึ้นมามิได้

‘มิพบกันวันเดียวราวกับมิได้พบกันสามปี’

คำเช่นนี้มิคิดว่าจักออกมาจากมู่จวินฮานได้เลย

แต่สำคัญที่สุดคือเขาบอกว่าปลอดภัยดี สงครามที่ม่อเป่ยถือว่ายังสงบอยู่ ตอนนี้มิมีเรื่องอันใดใหญ่โต

“มิมีอันใด เขาแค่บอกว่าปลอดภัยดีเท่านั้น” นางมีท่าทีสับสนและเขินอายเพียงชั่วครู่ มินานสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ

ปี้จูร้องอ๋อขึ้นมาและมิได้ติดใจอันใด แต่หมิงซินที่อยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็นท่าทีเขินอายเมื่อครู่ของคุณหนูได้ดี แม้รู้ว่าอันหลิงเกอมีบางอย่างปิดบังอยู่ แต่นางก็มิได้กล่าวอันใดออกมา

“คุณหนู ต้องส่งคนไปช่วยทางฉู่หยูหรือไม่เจ้าคะ ? ”

แม้อันหลิงเกอสั่งให้คนของหอจิ่นซิ่วคอยช่วยฉู่หยูอย่างลับ ๆ อยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังมิได้ลงมือทำอันใดเป็นชิ้นเป็นอัน การที่จักหาหลักฐานจากเรื่องในอดีตนั้นเกรงว่ามิใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน

หลังจากคอยรับใช้อยู่ข้างกายอันหลิงเกอพักใหญ่แล้ว หมิงซินจึงได้รู้ถึงภารกิจที่อันหลิงเกอสั่งให้ฉู่หยูไปทำและยิ่งได้รู้ว่าเรื่องนี้สำคัญต่ออันหลิงเกอเพียงใด

เรื่องนั้น…

อันหลิงเกอที่กำลังครุ่นคิดบางอย่าง อยู่ ๆ ก็กล่าวขึ้นว่า “ชางเยว่หายไปไหน ? ”

ชางเยว่เป็นองครักษ์เงาที่มู่จวินฮานฝึกมา น่าจักเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ดี

หากชางเยว่ไปช่วยฉู่หยูหาหลักฐานแล้วโอกาสสำเร็จก็จักมีมากขึ้น

“ชางเยว่กำลังทดสอบค่ายกลในเรือนอยู่เจ้าค่ะ” หมิงซินยิ้ม นางมิได้รู้สึกประหลาดใจอันใดกับสาวใช้ที่อยู่ ๆ มารับใช้ข้างกายอันหลิงเกอคนนี้ มิถามถึงที่มาของชางเยว่ด้วยซ้ำ

อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็เป็นคนที่คุณหนูเชื่อใจ นางต้องร่วมมือกับชางเยว่และปี้จูเพื่อปกป้องคุณหนูให้ปลอดภัยและทำเรื่องที่คุณหนูสั่งให้สำเร็จเป็นพอ

หมิงซินนั้นเรียกได้ว่าเป็นคนละเอียดอ่อน ทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยมเสมอ

อันหลิงเกอมองนางด้วยสายตาชื่นชม จากนั้นปี้จูก็เลิกม่านขึ้นเพื่อเรียกชางเยว่เข้ามา

“คุณหนู มีอันใดสั่งบ่าวหรือเจ้าคะ ? ”

ชางเยว่สวมกระโปรงยาวสีเทาหม่นที่เลอะไปด้วยฝุ่น เสื้อผ้าของนางคงสกปรกตอนที่ทดสอบค่ายกลเป็นแน่

ดวงตาของอันหลิงเกอเป็นประกาย “ตอนที่เจ้าอยู่กับมู่ซื่อจื่อเคยเรียนวิธีสืบข่าวและหาหลักฐานบ้างหรือไม่ ? ”

“เรียนคุณหนู เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่องครักษ์เงาต้องเรียนอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ชางเยว่ตอบพลางพยักหน้า “บ่าวพอรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง มิทราบว่าคุณหนูมีอันใดให้ไปทำหรือเจ้าคะ ? ”

เมื่อรู้ว่านางเคยเรียนเรื่องพวกนี้มาจริง แววตาของอันหลิงเกอก็ฉายชัดด้วยความยินดี

โชคดีที่มู่จวินฮานส่งองครักษ์อย่างชางเยว่มาไว้ข้างกาย เช่นนั้นนางคงมิรู้ว่าจักส่งใครไปช่วยฉู่หยู

“ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการให้เจ้าไปสืบ”

นางเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอย่างคร่าว ๆ แต่มิได้บอกว่าฮูหยินใหญ่อันโดนหลี่อี๋เหนียงฆ่าอย่างไร แค่บอกชางเยว่ว่าต้องหาหลักฐานในตอนนั้นมา

ชางเยว่ก็มิใช่คนขี้สงสัย เมื่อได้ฟังก็รับคำทันที “บ่าวจักติดต่อฉู่หยูได้อย่างไรเจ้าคะ ? ”

“ข้าจักให้หมิงซินพาเจ้าไปพบนาง จากนั้นเจ้าก็อยู่ที่นั่นแต่ต้องรีบหาหลักฐานให้เจอโดยเร็ว” อันหลิงเกอสั่งจบ หมิงซินก็รับคำสั่งทันทีแต่ชางเยว่มิยอมตกลง

สีหน้าของนางฉายชัดว่ามิเห็นด้วย “คุณหนู หากบ่าวไปอยู่ข้างนอกแล้วจักคุ้มครองท่านได้อย่างไรเจ้าคะ ? ”

นายท่านให้นางคุ้มครองคุณหนูใหญ่อัน หากคุณหนูเป็นอันใดไป นางคงรับผิดชอบมิไหว