ภาคที่ 4 ตอนที่ 30 ปัญหาการสืบทอดราชบัลลังก์

มรรคาสู่สวรรค์

เมื่อเดินไปถึงเรือนด้านข้างได้ไม่กี่ก้าว จิ๋งซางก็เลือกเอาเรื่องที่ตนเองคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญบอกกล่าวกับจิ๋งจิ่วเสียงเบาๆ อย่างเช่นขุนนางสองสามคนที่พยายามเข้ามาตีสนิทกับตนเอง เมื่อสองปีก่อนฝ่าบาทเคยเรียกตนเองไปเข้าเฝ้าครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เป็นเรื่องที่หลายปีมานี้ตระกูลกู้ได้แอบส่งเงินมาที่นี่ไม่น้อย แล้วทุกปีกู้ชิงยังให้คนนำเอายาวิเศษมาส่งให้

จิ๋งจิ่วไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสองสามเรื่องแรก เขากล่าวว่า “เงินที่ตระกูลกู้ส่งมาสามารถใช้ได้ ยาเหล่านั้นก็กินได้”

มิได้เป็นเพราะความสัมพันธ์ของอาจารย์และศิษย์ หากแต่เป็นเพราะเขาไว้ใจกู้ชิง

จิ๋งซางรู้ว่าจิ๋งจิ่วชื่นชอบความเงียบ จึงส่งเขาที่หน้าประตูแล้วกลับไป

เมื่อผลักประตูห้องแล้วเดินเข้าไป จิ๋งจิ่วก็มองเป็นบุตรชายผู้สืบทอดของลู่กั๋วกงที่ยังเยาว์วัยผู้นั้น จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “พ่อเจ้าล่ะ?”

ลู่หมิงกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม “ท่านพ่อมีธุระออกไปข้างนอก ข้าได้แจ้งให้ท่านกลับมาแล้วขอรับ”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าสงสัยนิดหน่อย ในเรือนกั๋วกงมีคนคอยรออยู่ตลอดเลยหรือ?”

—–รอให้หินกลมๆ หล่นลงมาทับเครื่องกระเบื้องอันล้ำค่านั้นจนแตก

ลู่หมิงกล่าวตามจริง “ท่านพ่อไม่ค่อยไปว่าราชการ ส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่บ้าน ในช่วงปีแรกๆ ก็ถูกร้องเรียนอยู่บ่อยๆ ขอรับ”

ลู่กั๋วกงไม่ค่อยสนใจในเรื่องการเมือง ในเมืองเจาเกอต่างทราบกันดี เพียงแต่ไม่ว่าจะถูกโจมตีอย่างไร ฝ่าบาทก็มิได้สนพระทัย เหล่าขุนนางย่อมต้องค่อยๆ เข้าใจอะไรบางอย่าง

“แต่แน่นอนว่าท่านพ่อก็มิได้อยู่ที่บ้านตลอด หากแต่จะมีคนรับหน้าที่คอยฟังเสียงอยู่ขอรับ”

ลู่หมิงกล่าวต่อ

จิ๋งจิ่วมองดูใบหน้าเขา พลางครุ่นคิดว่าเมื่อหลายปีก่อนลู่กั๋วกงก็เป็นหนุ่มเช่นนี้ จึงกล่าวว่า “เขาบอกเจ้าหมดแล้วหรือ?”

“ขอรับ”

เสียงของลู่หมิงสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้น

เขาเป็นผู้สืบทอดของกั๋วกง สถานะสูงส่ง ผู้บำเพ็ญพรตเองก็เคยพบเจอมามาก จึงไม่มีทางที่เขาจะสนใจอะไรนัก แม้นจะเป็นอาจารย์เซียนของสำนักชิงซานก็ตาม

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจิ๋งจิ่วมิใช่ผู้บำเพ็ญพรตธรรมดา หากแต่เป็นเจ้านายที่เรือนกั๋วกงทั้งในอดีตและในอนาคตต้องรับใช้ให้ดี เป็นจุดกำเนิดทุกสิ่งทุกอย่าง

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

ไม่ว่าจะอยู่ที่ที่ราบหิมะหรือว่าชิงซาน เขาก็ไม่เคยสนใจสถานการณ์ในราชสำนักและความเคลื่อนไหวของราชวงศ์มาก่อน

เพราะอายุขัยของฮ่องเต้ยังเหลืออีกหลายปี ด้วยความสามารถของเขาจะต้องสามารถควบคุมทุกอย่างได้อย่างแน่นอน

ลู่หมิงรู้ว่าเขาอยากจะรู้เรื่องอะไรมากที่สุด จึงกล่าวออกไปตรงๆ ว่า “ทุกอย่างเหมือนเดิมขอรับ”

ทุกอย่างเหมือนเดิม แสดงว่าไม่ปกติ

จิ๋งจิ่วรู้ว่าจิ่งซินไม่ได้ถูกส่งไปยังวัดกั่วเฉิง เดิมนึกว่าฮ่องเต้อยากจะค่อยๆ จัดการ แต่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่าง

แล้วก็เป็นอย่างที่คาด เมื่อลู่หมิงอธิบายให้ฟังต่อ เขาถึงได้รู้ว่าจิ่งซินไม่เพียงแต่จะไม่ถูกกำจัด แต่ชื่อเสียงบารมีกลับยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม

หากลู่กั๋วกงมาเป็นคนเล่าเรื่องเอง บางทีเขาอาจจะใช้คำพูดได้อ้อมค้อมมากกว่านี้ แต่ลู่หมิงอายุยังน้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังค่อนข้างตื่นเต้น เขาจึงเล่ามันออกมาตรงๆ

“ท่าทีของสำนักจงโจวชัดเจนเป็นอย่างมาก อีกทั้งการสนับสนุนก็ดูเหมือนจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยขอรับ”

จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจ กล่าวว่า “ลั่วไหวหนานตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?”

ตอนที่อยู่ในสวนดอกเหมยเก่าครั้งนั้น เขากับเจ้าล่าเยวี่ยได้มองออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างลั่วไหวหนานและจิ่งซินแล้ว

แต่ปัญหาก็คือลั่วไหวหนานตายไปหลายปีแล้ว เหตุใดสำนักจงโจวยังสนับสนุนจิ่งซินอยู่อีก?

ลู่หมิงคิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสำนักจงโจวและองค์ชายใหญ่ จึงกล่าวอธิบายว่า “พระมารดาขององค์ชายจิ่งซินคือศิษย์รักของท่านนักพรตไป๋ ในตอนนั้นสวรรคตลงเพราะให้กำเนิดองค์ชายขอรับ”

จิ๋งจิ่วไม่เคยได้ยินฮ่องเต้พูดเรื่องนี้ ดูเหมือนจะต้องมีความลับอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน

หากเป็นเช่นนี้จริง ก็แสดงว่าแท้ที่จริงลั่วไหวหนานเพียงแต่ทำตามเจตนารมณ์ของสำนักเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไป ก็ล้วนแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการที่สำนักจงโจวจะสนับสนุนจิ่งซิน

สำนักจงโจวมีอิทธิพลต่อราชสำนักอย่างมาก ก็เหมือนกับที่วัดกั่วเฉิงมีอิทธิพลต่อราชวงศ์อย่างมาก

เกี่ยวกับเรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์ วัดกั่วเฉิงไม่มีทางแสดงความคิดเห็นใดๆ ท่าทีของสำนักจงโจวจึงดูค่อนข้างมีความสำคัญเป็นพิเศษ

จิ๋งจิ่วพลันกล่าวถามว่า “เรือนอี้เหมาล่ะ?”

นอกจากสำนักจงโจงและวัดกั่วเฉิงแล้ว ผู้ที่ยังมีอิทธิพลต่อเรื่องนี้ก็คือบัณฑิตเหล่านั้น

ที่ราชวงศ์ตระกูลจิ่งสามารถต่อสู้กับคลื่นอสูรของแคว้นเสวี่ย และยังสามารถรักษาการปกครองเอาไว้ได้ สิ่งที่พวกเขาพึ่งพาจริงๆ ก็คือเรือนอี้เหมา

ภายในใจของกองทัพ ขุนนางธรรมดาและชาวบ้าน บัณฑิตเหล่านั้นมีสถานะที่สูงส่งและน่าเคารพเลื่อมใส

“ท่านบัณฑิตในเรือนมิได้แสดงความเห็นใดๆ แต่องค์ชายที่พระสนมหูให้กำเนิดพระองค์นั้น…”

ลู่หมิงยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “เหล่าบัณฑิตต่างแสดงการต่อต้านขอรับ”

ตอนนี้ภายในวังมีองค์ชายเพียงแค่สองคน เรือนอี้เหมาต่อต้านองค์ชายของพระสนมหู แล้วมันจะต่างอะไรกับการสนับสนุนจิ่งซิน?

จิ๋งจิ่วกล่าว “ดูเหมือนพระสนมหูคนนั้นจะลำบากทีเดียว”

ลู่หมิงกล่าวว่า “แต่ว่า…ก็ไม่ถือว่าลำบากมากขอรับ”

จิ๋งจิ่วกล่าว “หมายความว่าอย่างไร?”

ลู่หมิงมองเขา พลางกล่าวว่า “เมื่อห้าปีก่อน จู่ๆ ตระกูลเจ้าก็เข้ามาในวังแล้วถวายของขวัญประจำปีให้แก่พระสนม หลังจากนั้นก็ไปมาหาสู่กันมาโดยตลอดขอรับ”

ตระกูลเจ้าก็คือบ้านของเจ้าล่าเยวี่ยที่อยู่ในเมืองเจาเกอ

เรื่องนี้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ภายในเมืองเจาเกออย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลกระทบมาจนถึงทุกวันนี้

ในตอนนั้นหลายคนต่างคิดว่าเป็นเพราะเรื่องของจู๋กุ้ยและจู๋เจี้ยสองพี่น้อง พระสนมหูจึงเกิดความเคียดแค้น ถึงได้เกิดเรื่องที่เจ้าล่าเยวี่ยถูกลอบสังหารขึ้น

ใครจะไปคิดบ้างว่าจู่ๆ สถานการณ์จะกลายเป็นแบบนี้

พระสนมหูถูกสำนักจงโจวทอดทิ้ง เรือนอี้เหมาก็แสดงออกว่าต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงแม้จะต้องเผชิญหน้ากับความกดดันเช่นนี้ การใช้ชีวิตของนางก็ยังไม่ถือว่าลำบากเท่าไรนัก สาเหตุก็เป็นเพราะเรื่องนี้

สำนักชิงซานที่ไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักมาก่อน…จู่ๆ พลันแสดงท่าทีของตน!

ต่อให้สำนักจงโจวและเรือนอี้เหมาจะมีอิทธิพลแค่ไหน รากฐานหยั่งลึกเพียงใด พวกเขาก็จำเป็นต้องยำเกรงชิงซานเช่นกัน

……

……

ลู่หมิงเดินออกมาจากทางใต้ดิน ไปขอให้บิดาช่วยจัดการเรื่องที่จิ๋งจิ่วจะเข้าไปในวังคืนนี้

เมื่อเห็นหมากล้อมที่ยังวางอยู่บนโต๊ะในสภาพเดิมกับเมื่อหลายปีก่อน อารมณ์ของจิ๋งจิ่วก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย

เขาหยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมานั่ง แมวขาวมุดออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะปีนขึ้นไปนอนหมอบอยู่บนหน้าอกเขาอย่างคุ้นเคย จากนั้นเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจ

จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจรายละเอียดเหล่านี้ เขากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะทราบเมื่อครู่นี้

ในตอนที่สังหารลั่วไหวหนาน เจ้าล่าเยวี่ยและพระสนมหูก็ได้ร่วมมือกันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางยังคล้ายรู้ว่าพระสนมหูคือคนที่จิ๋งจิ่วเลือกเอาไว้

เขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องมีคนที่ทำมัน

ใช้เวลาเพียงไม่นาน จิ๋งจิ่วก็คิดเรื่องนี้จนเข้าใจ แล้วก็รู้ด้วยว่าเบื้องหลังการยอมรับอย่างกลายๆ ของหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงนั้นมีความคิดอะไรแอบซ่อนอยู่

ช่างวุ่นวายจริงๆ

จิ๋งจิ่วยื่นมือออกไปลูบแมว ในใจครุ่นคิดว่าน่าจะพากู้ชิงมาด้วยจริงๆ

……

……

ช่วงเวลากลางดึก จิ๋งจิ่วมายังมุมหนึ่งของเขตพระราชฐาน ลู่กั๋วกงพาเขาเข้าไป ทุกอย่างเป็นไปอย่างง่ายดาย

จิ๋งจิ่วสงบนิ่ง ดูเป็นธรรมชาติคล้ายเดินกลับบ้านอย่างไรอย่างนั้น

แมวขาวที่ซ่อนตัวอยู่ในแขนเสื้อของเขาค่อนข้างตื่นเต้น

ในฐานะที่เป็นสัตว์เทพผู้พิทักษ์ของชิงซาน สภาวะของมันลึกล้ำจนมิอาจประมาณได้ แต่เมื่ออยู่ที่นี่มันก็ยังรู้สึกตื่นตัว หรือเรียกได้ว่าไม่สบายใจ

เมืองเจาเกอมีข่ายพลังคอยปกป้องอยู่ ส่วนข่ายพลังในพระราชฐานนั้นเป็นข่ายพลังที่เจ็ดสำนักใหญ่ร่วมมือกันวางเอาไว้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นแหวกทะเลระดับสูงก็ไม่อาจทนอยู่ได้นาน

ลู่กั๋วกงพาจิ๋งจิ่วไปถึงหน้าห้องทรงพระอักษร ก่อนจะหมุนตัวมองไปยังลานกว้างที่อยู่ตรงหน้า แสงสว่างส่องตัวเขาจนเงาทอดยาวออกไป

ภายในห้องทรงพระอักษรมีเสียงถอนใจดังออกมา

ลู่กั๋วกงมองดูเงาของตัวเองที่อยู่บนพื้น หนังตาตกลงเล็กน้อย ดูคล้ายง่วงนอนเป็นอย่างมาก ราวกับว่ามิได้ยินอะไรทั้งสิ้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ประตูห้องทรงพระอักษรเปิดออก จิ๋งจิ่วเดินออกมา

ลู่กั๋วกงลืมตาตื่นขึ้นมา พาเขาเดินออกไปจากเขตพระราชฐานพลางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ฝ่าบาททรงวางแผนให้แผ่นดินสุขสงบไปตลอดกาล ดังนั้นจึงไม่ง่าย”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “พาข้าไปดูองค์ชายเล็กคนนั้นหน่อย”