บทที่ 191 ฉู่เทียนจวี่

หอขุมทรัพย์สวรรค์มีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่และกองกำลังแข็งแกร่ง มันรวบรวมสมบัติล้ำค่าหายากทั้งหลายในใต้หล้าไว้ ผู้ที่สามารถเป็นลูกค้าของหอขุมทรัพย์สวรรค์ได้นั้น หากไม่ร่ำรวยก็จะต้องสูงส่ง และยังเป็นสถานที่มีชื่อด้านการใช้เงินตราในราชวงศ์ซ่งอีกต่างหาก

แม้ว่าหอขุมทรัพย์สวรรค์แห่งเมืองห้วงทะเลทรายมรณะจะไม่ยิ่งใหญ่และงดงามเท่ากับศาลาชุมนุมเซียนแห่งเมืองทะเลสาบมังกร แต่ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดเยี่ยมในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะทีเดียว มีทั้งคนหนุ่มสาวมากความสามารถหลากหลายคนจากแดนเถื่อนทางตอนเหนือ ที่ราบตอนกลาง และทะเลตะวันออก ที่ไหลเข้ามาสู่เมืองห้วงทะเลทรายมรณะ กิจการของหอขุมทรัพย์สวรรค์อาจกล่าวได้ว่าเป็นไปได้ด้วยดี

ตอนที่เฉินซีเพิ่งมาถึงก่อนหน้านี้ ห้องโถงใหญ่อันหรูหราครอบคลุมพื้นที่ร้อยจั้งเต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะในชุดราคาแพงมากมาย ท่าทางดูดี ทุกการเคลื่อนไหวเผยให้เห็นถึงรัศมีความสูงส่งหยิ่งผยอง ไม่มีใครส่งเสียงดังหรือก่อปัญหาใด ล้วนทำธุระตนไปเงียบ ๆ ทำให้ดูเป็นผู้มีวัฒนธรรมมาก

แต่ตอนนี้ เสียงร้องลั่นของลูกสมุนในชุดสีดำคนหนึ่งพลันทำลายบรรยากาศสงบเงียบ ส่งผลให้ทุกสายตาโดยรอบมาบรรจบกันที่จุดนี้ สายตาของพวกเขากวาดผ่านเฉินซี ก่อนจะหยุดลงที่ชายคนนั้นและผู้หญิงสองคนที่อยู่เบื้องหลังอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวทั้งสองไม่มีสิ่งใดควรค่าแก่การใส่ใจ แต่สิ่งที่กระตุ้นความสนใจของพวกเขาคือชายหนุ่มคนนั้นต่างหาก ชายคนนี้สูงและมีหน้าตาหล่อเหลา สวมมงกุฎแบน เสื้อคลุมยาวสีเงิน รองเท้าหุ้มชุบทองลายเมฆ ที่ผมมีเงาสีม่วงอ่อน ๆ ยามมันไหวไปตามลม เผยให้เห็นรัศมีสูงส่งแผ่ออกมา

“เอ๊ะ ฉู่เทียนจวี่แห่งนิกายนภาจรัสแสงที่ราบตอนกลางก็มาด้วยหรือ?”

“ฉู่เทียนจวี่? ศิษย์รุ่นเยาว์ผู้โดดเด่นของนิกายนภาจรัสแสงหรือ? ได้ยินว่าตอนนี้เขาอายุเพียงยี่สิบสามปี แต่กลับบ่มเพาะไปถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลางและเข้าใจเจตจำนงเต๋าถึงเก้าประเภทแล้ว เขาเป็นคนหนุ่มที่มีทั้งพรสวรรค์และชื่อเสียงอย่างกว้างขวาง กระทั่งในที่ราบตอนกลางก็เถอะ น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง”

“คือเขาล่ะ เด็กคนนี้เป็นศิษย์สายหลักของนิกายนภาจรัสแสง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมาที่เมืองห้วงทะเลทรายมรณะ เขาอาจต้องการมาที่นี่เพื่อกลั่นร่างฝึกฝนตนเอง เตรียมพร้อมสำหรับการชุมนุมดาวรุ่งที่จะจัดขึ้นในอีกห้าปีข้างหน้ากระมัง”

“คราวนี้มีของดีให้ดูล่ะนะ แต่ความแข็งแกร่งของเด็กขอบเขตเคหาทองคำนั่นด้อยกว่าเล็กน้อยนี่ อาจจะกลัวอำนาจของฉู่เทียนจวี่แล้วยอมไม่เอาห้องพิเศษกระมัง?”

แม้ว่าเสียงสนทนาโดยรอบจะแผ่วเบา แต่ก็ยังดังเข้าหูเฉินซีครบทุกคำพูด เขาเองก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอายุยี่สิบสามปีย่อมมีคุณสมบัติพอจะทำหยิ่งผยองได้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสายตาของเฉินซี เขาย่อมสามารถแยกได้ว่าลูกน้องชุดดำทั้งสี่คนที่อยู่ฝั่งฉู่เทียนจวี่นั้นอยู่ขอบเขตเคหาทองคำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถานะของฉู่เทียนจวี่นั้นพิเศษเพียงไหน

“ไอ้หนู แกมายืนทำอะไรโง่ ๆ อยู่ตรงนั้น รีบออกไปเสีย ไม่เช่นนั้นอย่าโทษที่ข้าโยนเจ้าออกไปเล่า!” เมื่อเขาเห็นเฉินซียืนอยู่ตรงนั้นเหมือนคนโง่ ลูกน้องเสื้อดำก็พูดออกมาอีกครั้ง ความเหยียดหยามในน้ำเสียงยิ่งชัดเจน

คนผู้นี้มีใบหน้ายาวแคบ ดวงตาทรงสามเหลี่ยม มีนามว่าหวงเหลียง แม้ว่าจะเป็นลูกน้อง แต่หว่างคิ้วก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและหยิ่งผยอง ราวกับว่าการเป็นลูกน้องของฉู่เทียนจวี่เป็นเรื่องที่มีเกียรติอย่างยิ่ง

อีกด้านหนึ่ง ฉู่เทียนจวี่ดูไม่เคร่งเครียด เริ่มตรวจดูสภาพแวดล้อมโดยรอบและหยอกล้อหญิงสาวสองคนที่อยู่ข้างกายเป็นครั้งคราว ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้เหลือบมองเฉินซีเลย นิสัยชอบปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความดูถูกนี้ดูหยิ่งผยองเกินทน น่ารังเกียจกว่าชายสวมชุดดำเสียอีก

“ผู้อาวุโส ฉู่เทียนจวี่ผู้นี้มีภูมิหลังที่ลึกล้ำ เขาไม่เพียงแต่เป็นศิษย์สายหลักของนิกายนภาจรัสแสงเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของตระกูลฉู่แห่งที่ราบตอนกลางอีกด้วย ในความคิดข้า เหตุใดท่านไม่มอบห้องพิเศษให้เขาล่ะ?” ผู้ดูแลหญิงคนหนึ่งส่งเสียงผ่านกระแสปราณ เอ่ยด้วยความระมัดระวัง

“ผู้อาวุโส ท่านเปลี่ยนเป็นห้องอื่นดีไหมเจ้าคะ” ผู้ดูแลหญิงอีกคนแนะนำอย่างระมัดระวัง

“ข้ามาถึงที่นี่ก่อน ตั้งแต่เมื่อไรกันที่อนุญาตให้คนมาทีหลังได้ของเป็นคนแรก? เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ไม่ว่าใครจะมาที่นี่ในวันนี้ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ เขาเป็นนายน้อยแล้วอย่างไรเล่า?” เฉินซีส่ายหัวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ไปกันเถอะ เหตุผลที่ข้าเลือกที่จะอยู่ในหอขุมทรัพย์สวรรค์นั้นเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก หากหอขุมทรัพย์สวรรค์ของเจ้าไม่สามารถรับประกันเรื่องนี้ได้ ก็นับว่าพวกเจ้ากำลังทำลายชื่อเสียงตัวเองแล้ว”

“อะไรกัน?” ผู้ดูแลหญิงเหล่านั้นตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของเฉินซี พวกนางรู้ว่าเฉินซีไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ จึงอดตกตะลึงไปชั่วขณะไม่ได้ หรือว่าคนผู้นี้จะไม่กลัวทำฉู่เทียนจวี่โกรธ ไม่กลัวถูกสังหารเมื่อออกจากหอขุมทรัพย์สวรรค์อย่างนั้นหรือ?

“เจ้ามันรนหาที่ตาย!” สีหน้าของลูกน้องชุดดำที่ชื่อว่าหวงเหลียงขรึมลง ในขณะที่นัยน์ตาฉายจิตสังหารลึกล้ำ “เจ้าพูดสิ่งต้องห้ามออกมาแล้ว คุกเข่าลงและยอมรับความตายเสีย!”

เขาก้าวออกมาข้างหน้า รัศมีปราณในกายพลันเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน บดขยี้ดั่งภูผายักษ์ทุ่มลงมาจากฟ้า กดลงมาเหนือศีรษะเฉินซี มือของเขาไร้การเคลื่อนไหว เพียงก้าวไปข้างหน้าก็สร้างลมปราณกดดันดั่งภูเขา คล้ายกับหมายจะบดขยี้อากาศโดยรอบให้เป็นผุยผง

“วิชาขั้นสุดยอดนิกายนภาจรัสแสง ปราณทลายภูผา!” ผู้ดูแลหญิงหน้าซีดและถอยกลับไปทันที

“ข้ารับใช้น่ารังเกียจที่เหมือนมดแมลงกลับกล้าทำให้ข้าไม่พอใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยากถูกซัดสักทีกระมัง!” เฉินซียังคงไม่ขยับเขยื้อน พลังปราณแข็งแกร่งทั้งหมดหายไปโดยสมบูรณ์เมื่อพุ่งมาตรงหน้าเขา และเหลือเพียงความว่างเปล่า

พริบตาถัดมา ร่างของเฉินซีก็หายไปทันที

เปรี๊ยะ!

ภายใต้สายตาประหลาดใจของคนรอบข้าง พวกเขาเห็นเฉินซีปรากฏตัวต่อหน้าหวงหลิง จากนั้นก็ยื่นมือออกไปคว้าลำคออีกฝ่ายยกขึ้นแล้วกดลงกับพื้นอย่างรุนแรง

ปึง!

เมื่อครู่นี้ หวงเหลียงยังหยิ่งผยองดูภาคภูมิอยู่เลย ต่อมากลับกลายเป็นคนอ่อนแอคุกเข่าลงกับพื้นอย่างไม่อาจต้านทานได้

“ไม่!” หวงเหลียงกำลังจะลุกขึ้นต่อต้าน ก็เห็นว่าตนเองถูกกดลงให้คุกเข่าลงบนพื้นต่อทันที เขาจึงอดตกตะลึงไม่ได้ และคำรามเสียงออกมาด้วยความเกรี้ยวโกรธ

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเฉินซีรวดเร็วเกินไป นับตั้งแต่เขาเคลื่อนกายมา จนถึงจังหวะที่หวงเหลียงคุกเข่า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียว จนคนอื่นไม่อาจตอบสนองได้ทัน

“เจ้ากล้าเปิดฉากโจมตีด้วยการลอบโจมตีหรือ? รนหาที่ตาย!”

“เด็กนี่ช่างน่ารังเกียจนัก!”

“ฆ่ามันเสีย!”

สมุนชุดดำอีกสามคนที่อยู่ข้างฉู่เทียนจวี่โกรธขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นหวงเหลียงคุกเข่าลงกับพื้น พวกเขาก้าวไปข้างหน้า ในมือบังเกิดก้อนพลังแกร่ง ซัดโจมตีเฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน

ทั้งสามคนนี้อยู่ขอบเขตเคหาทองคำ เมื่อพวกเขาโจมตี ไม่เพียงแต่หมายจะรุมโจมตีเฉินซีพร้อมกัน แต่การโจมตียังรวดเร็วและโหดเหี้ยม ทุกการโจมตีล้วนเล็งไปยังจุดสำคัญบนร่าง เห็นได้ชัดว่าหมายสังหารเฉินซี

“ช่างเป็นพวกทาสและสมุนที่น่ารังเกียจอะไรเช่นนี้!” ดวงตาของเฉินซีพลันเยือกเย็น เขาก้าวไปข้างหน้าแทนที่จะถอยกลับ ขยับนิ้วเพื่อสร้างดาบขึ้นมา จากนั้นก็แทงดาบออกไปด้วยวิชาเต๋ากระบี่อัคคี เกิดรูเลือดโชกหกรูบนมือศัตรูแต่ละคน ก่อนเขาจะสะบัดแขนเสื้อ ส่งผลให้ลูกสมุนทั้งสามกระอักเลือดออกมา ร่างกระเด็นออกมาไกลกว่าสิบจั้งราวกับถูกค้อนยักษ์ซัด ก่อนร่างจะร่วงลงพื้นและไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก

เปรี๊ยะ!

การโจมตีของเฉินซีอาจกล่าวได้ว่ารวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ทำลายล้างทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้า เพียงพริบตาเดียว เขาก็เอาชนะคนสามคนได้แล้ว คนอื่นโดยรอบได้แต่ตกใจอยู่ ณ ตรงนั้น

ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าชายหนุ่มขอบเขตเคหาทองคำจะสามารถต่อสู้กับศัตรูสี่คนได้ด้วยตัวคนเดียว ทั้งยังสามารถสังหารศัตรูได้อย่างง่ายดาย เกินความคาดหมายไปมากนัก

เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้อยู่ขอบเขตเคหาทองคำ แต่ซ่อนเร้นพละกำลังไว้?

“ฮึ่ม! เจ้ากล้ารังแกลูกน้องข้าหรือ? ตายเสียเถอะ!” ตอนนี้ฉู่เทียนจวี่ที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ และหยอกเอินสองสาวมาโดยตลอดพลันเอ่ยเสียงเย็น จากนั้นก็ก้าวคราเดียวมาหยุดตรงหน้าเฉินซี เขายกแขนขึ้น แสงสีฟ้าสว่างจ้าพลันบรรจบกันเป็นลูกกลม ราวกับถือตะวันสีฟ้าไว้ในมือ ก่อนจะซัดมันเข้าใส่เฉินซีอย่างรุนแรง