บทที่ 22 สะท้านฟ้าสะเทือนดิน

บุหลันเคียงรัก

ผลสุดท้ายเหยียนสยาซึ่งเป็นคนที่ชวนนางมาก็หายลับไปในสวนดอกไม้ทิศใต้จนไม่เห็นแม้เงา อีกทั้งของว่างที่รับอาสาไว้ก็ไม่มี

 

 

เสวียนอี่เดินนวยนาดเลียบไปตามระเบียงหยกริมทะเลสาบเหอเกอรอบหนึ่ง ลูกศิษย์ทั้งหลายพากันจับกลุ่มรวมตัวกันรอบบริเวณริมทะเลสาบ บ้างดื่มสุรา บ้านดีดพิณเป่าขลุ่ย บ้างหยอกเย้ากันจนหัวเราะเสียงลั่น ทว่าก็ยังไม่พบเหยียนสยา

 

 

น่าแปลก ไม่ใช่แค่เหยียนสยาที่หายไป แม้เซ่าอี๋กับฟูหลัวก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

 

 

เสวียนอี่เดินไปตามทางหินแตกที่เล็กแคบนั้นอย่างไร้จุดหมาย นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาสวนดอกไม้ทิศใต้ แม้ไม่กว้างขวางเหมือนที่บ้านนาง แต่ก็งดงามวิจิตรไม่น้อย เส้นทางเล็กคดเคี้ยวสลับซับซ้อน ตลอดสองข้างทองปลูกดอกจื่อหยาง [1] นอกจากนั้นยังมีดอกไม้สีสันสดใสอีกหลายชนิด กิ่งไม้แตกกิ่งก้านสาขา ดอกโน้มลงเต็มกิ่ง ชวนให้ชื่นใจ

 

 

เสวียนอี่เด็ดดอกสาลี่มากิ่งหนึ่ง นำมาถือเล่นพลางเดินไปตามทางเล็กช้าๆ ต่อไป ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่ ทันใดนั้นก็พบศาลาเล็กหลังหนึ่ง มีเหยียนสยาผู้ที่นางตามหามาตลอดกำลังนั่งใช้แขนเสื้อซับน้ำตา

 

 

นางร้องไห้อีกแล้ว เหตุใดนางถึงมีน้ำตามากขนาดนั้น ต้องปลอบนางหรือไม่ เสวียนอี่พินิจมองไปยังด้านหลังของนาง ในศาลาว่างเปล่า ไม่เห็นมีของว่างอะไร

 

 

นางถอนหายใจอย่างผิดหวัง ช่างเถอะ ทำเป็นมองไม่เห็นก็แล้วกัน

 

 

เสวียนอี่เบือนหน้าไปทางอื่น ชมดอกท้อที่เบ่งบานสะพรั่งดุจเพลิง ใครจะไปรู้ว่าเหยียนสยามองเห็นนางแต่ไกล จึงรีบวิ่งหนีไปทันทีอย่างเงียบๆ

 

 

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าศิษย์พี่หญิงผู้นี้คิดวิธีแก้เผ็ดได้หรือยัง

 

 

เสวียนอี่คีบดอกสาลี่เดินออกจากทางหินแตกสายเล็ก เดินกลับมายังริมทะเลสาบเหอเกอ ยังไม่มีศิษย์คนไหนไปจากที่นี่สักคน ไม่รู้ว่าใครนำสุราชั้นยอดอย่างฉางหรงมา ทำให้รอบทะเลสาบนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา

 

 

นางไม่ชอบกลิ่นสุรามาตั้งแต่เด็ก เมื่อจะไปหาที่รับลมที่อื่น ทว่ากลับพบไท่เหยา ฝูชาง กู่ถิง จื่อซี ทั้งสี่ล้อมวงสนทนากันอยู่รอบโต๊ะหิน บนโต๊ะวางกาน้ำชากาหนึ่ง แล้วยังมีของว่างอีกสองสามกล่อง พอลมพัดมา กลิ่นหอมนั้นช่างเย้ายวนใจคนนัก

 

 

เมื่อรุ่งสางขนมที่เหยียนสยาให้นางไม่รู้ว่าเอาไปไว้ที่ไหนแล้ว นางไม่มีอารมณ์จะไปถามหามัน จึงจ้องกล่องของว่างกองนั้นไม่ละสายตา มองตาไม่กะพริบ

 

 

จื่อซีกำลังพูดเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับการสอนของท่านอาจารย์ พอพูดถึงจุดตื่นเต้นขึ้นมา ปีศาจตนนี้ก็มาแล้ว นางหน้างออย่างไม่ยินดี หุบปากลงไม่พูดต่อ

 

 

ไท่เหยาเห็นตาทั้งคู่ของเสวียนอี่เป็นประกาย จึงถามตามมารยาทว่า “ศิษย์น้องหญิง มานั่งดื่มชากินของว่างด้วยกันหรือไม่”

 

 

“ได้”

 

 

เสวียนอี่ตอบรับอย่างตรงไปตรงมา พอนางสะบัดแขนเสื้อ ม้านั่งน้ำแข็งก็ตกลงบนพื้น แทรกกลางระหว่างฝูชางกับกู่ถิง แล้วจึงสะบัดให้ถ้วยชาน้ำแข็งออกมาอีกครั้ง รินน้ำชาลงไปเกือบเต็มด้วยท่วงท่าสง่างาม ยกขึ้นจิบช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ ถอนหายใจ “ขมไปหน่อย”

 

 

กินเองดื่มเองแล้วยังเรื่องมากอีก! กู่ถิงกับจื่อซีมองนางอย่างแค้นเคือง

 

 

เสวียนอี่พินิจมองกล่องขนมบนโต๊ะหิน เฮ้อ แย่กว่าเมื่อเช้าที่เหยียนสยาเตรียมมามาก นางเลือกขนมถั่วเขียวชิ้นหนึ่งออกมาอย่างจำใจ ค่อยๆ กัดหนึ่งคำ จู่ๆ ถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่กู่ถิง เหตุใดศิษย์ฟูหลัวจึงไม่อยู่ที่นี่เล่าเจ้าคะ”

 

 

กู่ถิงสีหน้าไม่ดีแม้แต่น้อย “เจ้าถามถึงนางทำไมกัน”

 

 

เสวียนอี่ตอบอย่างขอไปที “ศิษย์พี่หญิงเหยียนสยาชวนข้ามา แต่ข้าไม่พบนาง ศิษย์พี่เซ่าอี๋ก็ไม่พบ”

 

 

กู่ถิงยิ่งอารมณ์ไม่ดี “แล้วเกี่ยวกับฟูหลัวตรงไหน”

 

 

เสวียนอี่กลืนขนมถั่วเขียว แล้วดื่มชาตามอีกครั้ง “ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรหรอก เมื่อครู่พวกท่านกำลังพูดเรื่องใด ท่าทางสนุกสนาน พูดต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า”

 

 

เจ้ายังนั่งหัวโด่อยู่นี่ใครจะอยากพูด?! จื่อซีโกรธมากจนหันหน้าไปทางอื่นทำเป็นไม่ได้ยิน

 

 

ไท่เหยามองซ้ายมองขวา ไม่มีใครยอมพูดสักคน ไม่มีทางเลือก เขาก็เป็นคนเรียกเสวียนอี่มา เขาจึงจำเป็นต้องเป็นคนไกล่เกลี่ย จึงยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “พวกข้าพูดถึงเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับท่านอาจารย์ เมื่อหลายปีก่อนท่านพูดให้ข้าฟังตอนเมาเล็กน้อย เกรงว่าพวกเจ้าจะไม่เคยรู้มาก่อน”

 

 

เขาตั้งใจหยุดเว้นระยะ ประเมินสีหน้าพวกเขา ที่จริงกู่ถิงกับจื่อซีก็กางหูพร้อมรับฟังอยู่แล้ว เสวียนอี่กับฝูชาง คนหนึ่งมองไปรอบตัวอย่างไม่ใส่ใจ อีกคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว…เฮ้อ ไม่สนใจพวกเขาสองคนแล้ว

 

 

“พวกเจ้ารู้กันมาว่าดินแดนที่อยู่ตะวันตกสุดมีทะเลหลีเฮิ่น ตอนนั้นเนื่องจากมหาเทพสององค์ทำสงครามกันที่นั่น ทุกวันนี้จึงกลายเป็นเขตหวงห้าม ที่จริงแล้วเล่ากันมาว่าพื้นที่ตรงนั้นมีทิวทัศน์งดงามมาก ราวกับดินแดนในความฝัน เคยเป็นสถานที่ที่คู่รักไปกันบ่อยมากที่สุด ท่านอาจารย์ในสมัยยังเยาว์วัยมีความปรารถนาที่จะฟื้นฟูทะเลหลีเฮิ่นตรงนั้นให้กลับมาเป็นดังเดิม…”

 

 

เสวียนอี่ก้มหน้าก้มตาเลือกของว่างบนโต๊ะนั้น ทว่าก็ยังไม่ถูกใจสักอัน เผอิญเหลือบไปเห็นกล่องของว่างตรงหน้าฝูชางมีขนมเกาลัดชุบน้ำผึ้ง นางจึงเอื้อมมือไปหยิบ ทว่ามีนิ้วมือเรียวยาวที่เร็วกว่านาง ดึงกล่องอาหารออกไปไกลขึ้น

 

 

“ท่านอาจารย์ร่อนเร่อยู่บริเวณใกล้ๆ กับทะเลหลีเฮิ่นหมื่นปี ในนั้นน้ำทะเลทั้งลึกทั้งเย็นเยียบ มืดมิดจนมองไม่เห็นสิ่งใด ด้วยเหตุนี้จึงเกิดปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน ท่านอยู่ที่นั่นหมื่นปี ก็ฆ่าพวกปีศาจไปหมื่นตน ทว่าเมื่อพบว่าฆ่าอย่างไรก็ไม่หมดเสียที สุดท้ายจึงทำได้เพียงจากที่แห่งนั้นไปด้วยความอาลัย…”

 

 

เสวียนอี่เลื่อนม้านั่งไปทางฝูชาง เอื้อมมือหยิบกล่องอีกครั้ง กล่องอาหารถูกชายหนุ่มเลื่อนไปไกลอีกแล้ว นางมองเขาอย่างไม่พอใจที่สุด ฝูชางกลับค่อยๆ เอื้อมไปหยิบฝากล่องมาปิดกล่องอาหารนั้น

 

 

“ท่านอาจารย์จำต้องละทิ้งปณิธานของตน ขณะเดียวกันก็ยอมแพ้ที่จะขอเส้นผมเทพเฟยเหลียนในยามนั้น ที่แท้ท่านกับเทพเฟยเหลียนในตอนนั้นได้พนันกันไว้ หากท่านสามารถฟื้นฟูทะเลหลีเฮิ่นให้เป็นเหมือนเดิมได้ เทพเฟยเหลียนจะยอมตัดผมทั้งหมดให้ท่าน น่าเสียดายที่ฝันนั้นยากจะเป็นจริง แน่นอนว่าเรื่องเส้นผมนั้นก็หมดหวังแล้วเช่นกัน ท่านอาจารย์ยังคงนึกถึงเรื่องเทพเฟยเหลียนมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นเป็นเพราะการพนันในครานั้น…”

 

 

ไท่เหยาทำเป็นไม่เห็นข้อพิพาทเรื่องของว่างที่อยู่เบื้องหน้า กำลังเตรียมที่จะพูดต่อไป ทันใดนั้นได้ยินเสวียนอี่เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “แม้แต่น้ำชาเจ้าก็ยังเก็บไว้กินคนเดียว! “

 

 

ไท่เหยาถอนหายใจยาว ไม่ต้อนสนใจพวกเขา ตอนนี้เขาแค่อยากอยู่อย่างสงบสักหน่อย…

 

 

จื่อซีขมวดหัวคิ้วแน่น องค์หญิงเสวียนอี่คนนี้ช่างเป็นตัวซวยจริงๆ พอเข้าใกล้นาง แม้ฝูชางก็เปลี่ยนไปเป็นน่ารำคาญเพียงนั้น

 

 

นางแค่นเสียงฮึเบาๆ ลุกขึ้นมองเสวียนอี่อย่างเย็นชา พูดว่า “องค์หญิงเสวียนอี่ โปรดอย่าทำลายความเบิกบานในการดื่มน้ำชาและชมทิวทัศน์ของเรา”

 

 

เสวียนอี่มองนางด้วยสายตาเหมือนได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างแรง “ก็ศิษย์พี่ฝูชางเอาของว่างกับน้ำชาไปหมด ทำไมศิษย์พี่หญิงจื่อซีถึงไม่ว่าเขาด้วยเล่า”

 

 

จื่อซีสูดหายใจลึกๆ อีกครั้ง หากพูดถึงความเที่ยงธรรมแล้ว ท่ามกลางศิษย์ทั้งหมด นางเป็นเอกในเรื่องนี้ เรื่องนี้ทำให้นางภูมิใจมาโดยตลอด แล้วยังเข้มงวดกับแม้กระทั่งตนเอง ทว่าเมื่อจุดเด่นนี้มาพบกับองค์หญิงเสวียนอี่ก็คล้ายกับเกล็ดหิมะที่ต้องแสงอาทิตย์ ทั้งหมดล้วนสลายไปไม่เหลือซาก

 

 

ใจเย็น ใจเย็น นางจะไม่หงุดหงิดส่งเดชแบบนี้อีก

 

 

“ศิษย์น้องฝูชางเป็นศิษย์ร่วมสำนักของเรา แต่ข้ายังไม่รับองค์หญิงเสวียนอี่เป็นสหายร่วมสำนัก” จื่อซีเอ่ยปากอย่างเข้มงวด “เรามันไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ข้าไม่อาจเห็นดีเห็นงามกับกิริยาวาจาขององค์หญิงได้ เพื่อความสุขของทั้งสองฝ่าย ทำไมองค์หญิงไม่ย้ายไปที่อื่นเสียเล่า”

 

 

เสวียนอี่ยิ้มอย่างสดใส “ไม่เป็นไร ข้าไม่สน”

 

 

จื่อซีไม่รู้จะทำอย่างไรกับนิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของนาง ตะลึงงันอยู่ครู่ใหญ่ ทำได้เพียงนั่งลงตามเดิม

 

 

ศิษย์ที่อยู่บริเวณระเบียงริมทะเลสาบดังเอะอะโวยวายขึ้นมาฉับพลัน ที่แท้ก็ไม่รู้ว่ามีหมอกบางๆ ปกคลุมทะเลสาบเหอเกอตั้งแต่เมื่อใด แล้วในหมอกจางๆ นั้นมีเงาร่างสองเงาที่คุ้นตายิ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา

 

 

“นั่นคือฟูหลัวกับเซ่าอี๋นี่”

 

 

“พวกเขาไปอยู่ในทะเลสาบได้อย่างไร”

 

 

“ไม่…นี่มันราวกับว่าเป็นเวทลวงตา…ใครทำกัน”

 

 

ศิษย์ที่มองอยู่รอบบริเวณนั้นพูดคุยกันไม่ขาดสาย ยิ่งไปกว่านั้นคือบางคนหันมาแอบชำเลืองกู่ถิง ภาพคนที่ปรากฏในทะเลสาบนั้นเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้น ท่าทางดูสนิทชิดเชื้อมากขึ้น ทำให้มองได้ถนัดตาที่สุด

 

 

…หรือนี่คือภาพที่เหยียนสยาต้องการให้ปรากฏขึ้นมา เสวียนอี่สำลักน้ำชา รีบใช้แขนเสื้อบังปาก

 

 

กู่ถิงหันกลับไปมองแวบหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปในพริบตา รีบลุกขึ้น มุ่งตรงไปยังริมทะเลสาบ น้ำเสียงดุดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ใครสร้างภาพมายานี้ขึ้น ทำให้เทพธิดาต้องเสียชื่อเสียงเยี่ยงนี้ จิตใจต่ำช้าจริงๆ! “

 

 

เหล่าศิษย์ล้วนส่ายหัวอย่างบริสุทธิ์ใจ กู่ถิงสีหน้าเรียบตึง ยกมือขึ้นทำให้ภาพลวงตานั้นหายไป ทันใดนั้นเงาคนทั้งสองจึงเคลื่อนไหวเล็กน้อย ฟูหลัวเหนี่ยวแขนเสื้อเซ่าอี๋ไว้ ดวงตาพราวระยับราวสายน้ำ ถามเสียงต่ำ “ในใจเจ้ามีข้าบ้างหรือไม่”

 

 

ยังมีเสียงอีกด้วย! เสียงของพวกลูกศิษย์ดังเอะอะวุ่นวายอีกครั้ง

 

 

 

 

[1] ดอกจื่อหยาง คือ ดอกไฮเดรนเยีย