จงรุ่ยมาเล่นหมากรุกกับหยางชู เมื่อเห็นว่าเขาต้องอยู่ที่ไป๋เหมินเซี่ยในช่วงปีใหม่ มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิดหากตนไม่ไปมาหาสู่กับเขา
หยางชูรู้สึกเบื่อเขาจมอยู่บนเตียงทั้งวันไม่ได้หรือ เขาไม่กลัวตนเองร่วมรักจนหมดแรงตายหรอกนะ แต่หมิงเวยคงรับไม่ไหว
ในตอนแรกจงรุ่ยเข้ามาทักทายเขาอย่างสุภาพ แต่ผลกลับกลายเป็นถูกหยางชูที่รู้สึกเบื่อลากไปเล่นหมากรุก พวกเขาไม่ได้เล่นหมากล้อมไม่ได้เล่นหมากรุก แต่เป็นหมากรุกกองทัพ
วิธีการเล่นหมากรุกกองทัพนี้ค่อนข้างพิเศษมันจะไม่เหมือนกับหมากรุกอื่นๆ ที่กระดานหมากได้กำหนดเอาไว้แล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริง อันดับแรกเลือกแผนที่ และจำนวนหมากที่แสดงในแต่ละพื้นที่แทนจำนวนทหารซึ่งขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ และกลยุทธ์ของสงคราม
กล่าวอีกนัยหนึ่งในการเล่นหมากรุกกองทัพประเภทนี้ทั้งสองฝ่ายต้องเข้าใจตำรายุทธพิชัยสงครามก่อน หากฝ่ายหนึ่งไม่เข้าใจ หรือแม้แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงแพ้ก็ไม่สามารถเล่นได้
ตอนแรกหยางชูไม่ได้อยู่ในสายตาของจงรุ่ยเลย เขารู้ว่าหยางชูแข็งแกร่งและขุนศึกของเขาก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน แต่เขาไม่เคยต่อสู้จริงๆ ถึงเข้าใจตำรายุทธพิชัยสงครามก็ไม่สามารถปรับแผนการรบได้เท่าตน
ตอนแรกเขาคิดเช่นนั้นเขามักจะเริ่มจากรายละเอียดเล็กน้อย และคว้าชัยชนะด้วยการได้เปรียบจากประสบการณ์
เมื่อพูดถึงตำรายุทธพิชัยสงครามจงรุ่ยจะรู้สึกอิ่มเอมใจมากเพราะเมื่อเขาพูดถึงประเด็นนี้จะสามารถทำให้หยางชูน้ำท่วมปากได้
ช่างเป็นความสุขอะไรเช่นนี้!
แต่ไม่นานจงรุ่ยก็พบว่ามันยากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะชนะ ตราบใดที่กลยุทธ์ของเขาปรากฏขึ้นครั้งเดียว ครั้งต่อไปก็จะถูกขัดขวาง หรือแม้กระทั่งถูกยืมนำไปใช้
เช่นนี้จากที่เอาชนะง่ายๆ กลายเป็นยากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็กลายเป็นแพ้มากชนะน้อยตอนนี้มันไม่ง่ายเลยที่จะชนะในครั้งเดียว
จงรุ่ยไม่ยอมแพ้เมื่อนึกถึงตนที่เข้าสู่สนามรบตอนอายุสิบสอง และต่อสู้มาสิบปีแล้วจะด้อยกว่าคุณชายหยางที่เติบโตเป็นคุณชายเจ้าสำราญในเมืองหลวงได้อย่างไร
ดังนั้นยิ่งยากที่จะชนะ เขาก็ยิ่งพบว่าหยางชูได้รับชัยชนะมากขึ้นเท่านั้น
ในตอนแรกหยางชูมีความกระตือรือร้น เขาเรียนรู้ตำรายุทธพิชัยสงครามมามากมาย และนำไปลองฝึกใช้กับพวกกลุ่มโจร แต่เขาไม่เคยต่อสู้ในศึกใหญ่จริงๆ เลยประสบการณ์ของจงรุ่ยเป็นสิ่งที่เขาไม่มี
แต่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ในขณะที่หมากรุกได้รับชัยชนะมากขึ้นเรื่อยๆ จงรุ่ยนำเสนอสิ่งใหม่ๆ น้อยลงเรื่อยๆ จนเขาหมดความสนใจ
ตอนแรกเขาดึงจงรุ่ยมาเล่นหมากรุกตอนนี้กลับกลายเป็นจงรุ่ยตั้งใจมาหาเขาเพื่อเล่นหมากรุกด้วย และต้องการเอาชนะกลับ ทั้งสองเล่นหมากรุกในห้องอันอบอุ่น หยางชูหาวเขานั่งบนเก้าอี้แล้วพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ท่านยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ”
จงรุ่ยได้เลือกแผนที่แล้ว “เล่นก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
เขาไม่ยอมแพ้ หมากรุกกองทัพนี้มีไว้สำหรับแม่ทัพที่ได้ต่อสู้จริงๆ เพื่อฝึกฝีมือ และมันก็ไม่สมเหตุสมผลเลยที่เขาที่เป็นถึงแม่ทัพนำทัพจะไม่สามารถเอาชนะหยางชูบนกระดานได้!
น่าเสียดายหยางชูทำให้เขาได้รู้ว่าการวางแผนการรบบนกระดานหมากรุกไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรับมือ…หลังจากเล่นมาสามรอบติดจงรุ่ยก็พ่ายแพ้
เขาพูดด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “ท่านเติบโตมาเช่นนี้กินอะไรเป็นอาหารกันถึงได้ฉลาดแกมโกงเช่นนี้ชนะอยู่ฝ่ายเดียว!”
หยางชูหัวเราะ “น้ำท่วมไม่ใช่เรื่องแปลก ท่านไม่คิดจะขุดเขื่อนป้องกันข้าบ้างเลยหรือถูกข้านำหน้าไปหนึ่งก้าวยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อีก”
จงรุ่ยหน้าแดง “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านสามารถทำทุกอย่างเพื่อถ่วงเวลาได้ ท่านสามารถเอาชนะด้วยรูปแบบนี้ แต่ท่านเคยคิดถึงความมั่นคงของทัพหลังของท่านหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ใช่กลยุทธ์ยกทัพ!”
หยางชูพูด “ทัพหลังนี้ของผู้ใด ทัพหลังของศัตรูควรถูกทำลาย! เมื่อไม่สามารถผลิตได้เสบียงทั้งหมดไม่เพียงพอ เช่นนั้นก็สามารถเอาชนะได้โดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้ วิธีที่ประหยัดแรงเช่นนี้ท่านไม่ใช้แล้วมาโทษข้าหรือ”
“นี่เป็นแผนชั่วร้ายลับๆ ของท่าน!”
“เป็นท่านที่มัวแต่เคร่งครัดกับกฎเก่าๆ ต่างหาก”
“เช่นนั้นท่านไม่ใช่แม่ทัพที่ดี”
“เอาชนะไม่ได้เลยมาโจมตีเรื่องคุณธรรมงั้นหรือ หากข้าเป็นท่านคงกลับไปถามบิดาท่านอย่างแน่นอนไว้เอาชนะให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาพูดเถิด”
จงรุ่ยพูดไม่ออก และจากไปอย่างโกรธเคือง เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งท่ามกลางหิมะที่ตกหนักจากนั้นก็ตัดสินใจไปหาจงซู่จริงๆ
แม้ว่าหิมะจะตก แต่สำหรับชายแดนก็เป็นเวลาที่ปลอดภัยที่สุด และจงซู่ยังคงขยันขันแข็งในหน้าที่ทหารทุกวัน ปัญหาการรักษาความอบอุ่นของกองทัพ ปัญหาเสบียงแล้วยังปัญหาการฝึกซ้อมประจำวัน ปัญหาการเฝ้าระวัง…ล้วนไม่อาจละเลยได้
เมื่อจงรุ่ยมาถึงเขาเพิ่งหยุดพักผ่อนและจิบชาร้อน
“ท่านพ่อ มาเล่นหมากรุกกัน”
จงซู่แปลกใจ “ว่างพอดีเลย เล่นหมากรุกอะไรล่ะ”
“หมากรุกกองทัพขอรับ” จงรุ่ยพูดแล้วดึงแผนที่ที่เขาเคยเล่นกับหยางชูออกมาจากกอง
จงซู่หยิบหมากรุกขึ้นมาตั้งกองทหารของเขาแล้วพูดว่า “ดูจากท่าทางของเจ้าแล้วเพิ่งออกมาจากเรือนของคุณชายหยางหรือ”
“ขอรับ” จงรุ่ยตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
จงซู่ส่ายหน้า “อย่าบอกพ่อนะว่าไปแพ้เขามาน่ะ”
จงรุ่ยอ้าปากตอนแรกเขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย รู้สึกว่าไม่ควรพูดออกมา แต่พอมาคิดอีกทีมีเรื่องใดที่ไม่สามารถพูดต่อหน้าบิดาได้บ้าง เขาพ่ายแพ้แก่บิดาอย่างยับเยินจนไม่มีโอกาสพลิกฟื้น ไม่มีอะไรที่จะพูดต่อหน้าบิดาไม่ได้อีกแล้ว
“เขาเล่นหมากรุกเก่งมาก”
จงซู่ขยับหมากรุกของเขาเพื่อเดินทัพและกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าเจ้าจะแพ้หมากรุกตัวอื่น หมากรุกนี้อาศัยประสบการณ์และความสามารถ หากเจ้าแพ้แก่เขา เจ้าไปแขวนตัวเองอยู่ข้างนอกสักสองวันเถอะ”
“…..”
จงซู่เหลือบมองบุตรชายของตน “แพ้จริงหรือ”
จงรุ่ยก้มหน้าพลางเบือนหน้าหนี “ตอนแรกชนะเขาง่ายมาก แต่พอเล่นไปเล่นมากลับเอาชนะเขาไม่ได้เลย”
“อ้อ”
“วันนี้เล่นไปสามรอบเอาชนะไม่ได้เลยสักครั้ง”
จงซู่แตะคางทันใดนั้นเขาก็ชี้ไปที่แผนที่และพูดว่า “นี่ไม่ใช่รูปแบบของเจ้า แต่เป็นวิธีของคุณชายหยางใช่หรือไม่”
“…ขอรับ”
จงซู่มีสีหน้าจริงจัง “เขาเล่นอย่างไรเจ้าลองทำให้ข้าดูสักรอบ”
“ขอรับ”
หนึ่งชั่วยามต่อมาจงซู่โยนตัวหมากรุกของเขาทิ้ง “น่าสนใจ”
แน่นอนว่าเขาชนะ แต่การต่อสู้นี้จำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ วิธีการตอบโต้ของเขาไม่เหมือนกัน จงรุ่ยไม่สามารถเลียนแบบทั้งหมดได้เช่นนั้นจึงเป็นจงรุ่ยที่พ่ายแพ้ในที่สุด
“ท่านพ่อ” จงรุ่ยไม่พอใจ “ข้าไปว่าเขาว่าเขาไม่ใช่แม่ทัพที่ดี การต่อสู้โดยไม่สนใจไยดีเช่นนี้ ถึงแม้จะชนะ แต่ไม่สนใจทัพหลังเลยสักนิดหากทำเช่นนี้ในสถานการณ์จริงในไม่ช้าก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก”
จงซู่ตอบ “ที่เจ้าพูดมาก็ถูกเพียงแต่บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องเก็บกวาดเรียบร้อยก็ได้”
เมื่อนึกถึงวิธีตอบโต้ของจงรุ่ยเขาก็ถอนหายใจ “น่าเสียดาย! เหตุใดเขาถึงไม่ใช่คนแซ่หยางจริงๆ นะ”
“ท่านพ่อ”
จงซู่ยิ้ม “มา พ่อจะสอนเจ้าเองแล้วเจ้าค่อยไปเล่นหมากรุกกับเขาอีกรอบ”
จงรุ่ยดีใจมาก “ขอรับ”
ดังนั้นจงรุ่ยผู้ซึ่งได้รับการฝึกฝนจากบิดาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามจึงเดินทางไปหาหยางชูอีกครั้งอย่างมั่นใจ
วันต่อมาจงซู่ถามเขาจงรุ่ยมีสีหน้าอยากร้องไห้ “ข้าไปเล่นกับเขาชนะไปหนึ่งรอบ รอบสองชนะอย่างหวุดหวิด แต่แพ้ในรอบที่สาม”
สองพ่อลูกจึงเริ่มเล่นหมากรุกอีกครั้ง หลังจากดูวิธีการใหม่แล้วจงซู่ก็สอนเขาอีกครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งการเอาชนะของจงรุ่ยยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ เพราะวิธีการของจงซู่ก็ถูกมองออกแล้วเช่นกัน แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะใช้วิธีการใหม่ๆ แต่อย่างมากสุดก็ชนะเพียงครั้งเดียว
จงซู่โยนหมากรุกอีกครั้งแล้วจมอยู่กับความคิด
“ท่านพ่อ” จงรุ่ยมองเขาอย่างมีความหวัง
จงซู่ส่ายหน้า “เจ้าไม่ต้องมาหาข้าอีกแล้วพ่อเองก็สอนเจ้าไม่ได้”
หากเขาอยู่ในสนามจริงๆ เขาไม่กลัว แต่นี่มันไม่ดูน่าอายไปหน่อยหรือ
เฮ้อ..ทำไมเขาไม่ใช่คนแซ่หยางจริงๆ นะ น่าเสียดายคนเก่งกาจเช่นนี้ เพราะเรื่องในราชวงศ์ทำให้เขาไม่สามารถแสดงฝีมือได้น่าเสียดายจริงๆ
……………