บทที่ 234.3 ฝุ่นคลุ้งตกตะกอน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 234.3 ฝุ่นคลุ้งตกตะกอน โดย ProjectZyphon

เด็กหนุ่มยังคงบ่นพึมพำ ส่ายศีรษะโคลงเคลง มือก็ลูบคลำไปคลำมาบนร่างของศพทั้งสอง เมื่อเห็นว่าไม่มีอาวุธวิเศษอะไรที่ตัวเองพลาดไปอีกแล้วจึงคลอเพลงในลำคลอเบาๆ เหมือนเวลาที่ไปเลือกซื้อผักในตลาด

แต่เพียงไม่นานเด็กหนุ่มก็ตัวแข็งทื่อ หยุดมือที่ป่ายปัดไปมา หยิบตำราสองเล่มออกจากสาบเสื้อหน้าอกมาวางไว้เหนือศีรษะของตัวเองแต่โดยดี

น้ำเสียงแก่ชราที่เด็กหนุ่มคุ้นเคยอย่างถึงที่สุดซึ่งแฝงไว้ด้วยถ้อยคำเย้ยหยันที่เด็กหนุ่มคุ้นเคยไม่ต่างกันดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา “ใช้ได้จริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ที่ข้ามารเฒ่าหมี่ภาคภูมิใจที่สุด เรียนรู้วิชาได้ไม่กี่มากน้อย แต่กลับมีสันดานของมารเต็มเปี่ยม”

ฟันของเด็กหนุ่มกระทบกันดังกึกๆ คราวนี้เขากลัวแล้วจริงๆ

ผู้เฒ่าร่างผอมสูงหันไปถ่มเลือดออกมาหนักๆ หนึ่งที พอเลือดสัมผัสโดนกำแพงก็กลายมาเป็นควันเลือดสีดำกลุ่มหนึ่ง

มารเฒ่าหมี่ที่จำศีลแฝงตัวอยู่ในเมืองแยนจือมาเกือบยี่สิบปีสบถด่าเบาๆ “เฉินเสี่ยวหย่ง เจ้าเซียนหลิวหลีตัวดี ต่อให้ครั้งนี้เจ้าหนีออกไปจากเมืองแยนจือได้สำเร็จ ข้าก็จะฆ่าสุนัขตกน้ำอย่างเจ้าให้จงได้!”

ผู้เฒ่าหันมามองเด็กหนุ่มด้วยสายตารังเกียจ “ลุกขึ้นมาเถอะ เก็บตำราสองเล่มนี้ให้ดี ในเมื่อศิษย์พี่ทั้งสองของเจ้าต่างก็ตายไปแล้ว ตอนนี้เจ้าก็ถือเป็นศิษย์พี่ใหญ่แล้ว”

เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนตัวสั่นสะท้าน

มารเฒ่าหมี่หยิบตะเกียงน้ำมันขนาดเล็กดวงหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ สูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง ดวงวิญญาณสองดวงก็ถูกดึงออกมาจากศพของลูกศิษย์ทั้งสอง แล้วพากันบินเข้ามาในตะเกียง ใบหน้าของลูกศิษย์ลอยขึ้นมาเหนือน้ำมันตะเกียงที่เหนียวหนืด เป็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด แต่เพียงไม่นานก็วูบหายไป ผสานรวมเป็นหนึ่งกับน้ำมันตะเกียง

ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มองดูอยู่เสียวสันหลังวาบ

ปลายตรอกเล็กสองฝั่งมีคนปรากฏกายฝั่งละคน พวกเขาเดินขยับเข้ามาใกล้ช้าๆ ซึ่งก็คือคู่สามีภรรยาที่ไปเยือนร้านขายข้าวสารก่อนหน้านี้ เอวของสตรีแต่งงานแล้วยักย้ายส่ายสะบัดยิ่งกว่ากิ่งหลิวที่ถูกลมแรงพัด “มารเฒ่าหมี่ บังเอิญจริง เจอกันอีกแล้ว”

สายตาของมารเฒ่าหมี่เปลี่ยนมาเป็นเย็นชา หัวเราะหยันกล่าวว่า “ทำไม คิดจะกลับคำรึ? พวกเราสองฝ่ายตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่า ถ้วยหลิวหลีเป็นของข้า สมบัติส่วนที่เหลือของตาเฒ่าเฉินเป็นของพวกเจ้า”

สตรีแต่งงานแล้วกางกรงเล็บข้างหนึ่งเป็นตะขอครูดไปบนผนังช้าๆ ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม “พูดแบบนั้นก็จริง แต่ตอนนี้เซียนหลิวหลีทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง เขาแกล้งตายได้ แต่จะให้พวกเราสองผัวเมียรอความตายอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขาคงไม่ได้ มารเฒ่าหมี่ เจ้าควรจะแบ่งกำไรให้พวกเราสักหน่อยหรือเปล่า อย่างไรก็ไม่ควรให้พวกเราสองผัวเมียเดินทางมาเสียเที่ยวหรอกกระมัง?”

สีหน้าของมารเฒ่าหมี่เดี๋ยวซีดขาวเดี๋ยวดำคล้ำ

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก้มหน้า ขยับตัวไปยืนชิดมุมผนัง แอบกลอกตาเงียบๆ

……

บนป้อมเหนือกำแพงเมืองประตูตะวันออก เนื่องจากแม่ทัพหม่าพาทหารออกจากกำแพงเมืองเพื่อเข้าไปช่วยเหลือคนด้านใน ตรงนี้จึงไม่มีคนคอยเฝ้ายามอีก

ชายหนุ่มสวมชุดนักพรตเต๋าสีชมพูคนหนึ่งยืนอยู่บนระเบียงด้านนอกชั้นบนสุดของป้อม ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มน้อยๆ มองไปทางตรอกที่มารเฒ่าหมี่อยู่แล้วหลุดหัวเราะขำ “แค่ถ้วยหลิวหลีซังกะบ๊วยเล็กๆ ใบเดียว วัตถุไร้ราคาที่ปีนั้นข้าใช้ดื่มเหล้า ต้องแย่งกันหัวร้างข้างแตกแบบนี้ด้วยหรือ? หนึ่งพันปีให้หลัง แคว้นไฉ่อีเปลี่ยนมาเป็นน่าเบื่อขนาดนี้แล้วหรือไง?”

เขามองเพียงครั้งเดียวก็ไม่อยากจะเสียเวลามองอีก ยังคงหันไปมองทางจวนเจ้าเมืองบ่อยครั้งกว่า “จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ หึหึ คิดไม่ถึงสินะว่า ‘ยันต์แผ่นนี้’ ที่เจ้าสั่งให้คนนำมาเพิ่มให้เมื่อสองร้อยปีก่อนจะถูกเอามาเก็บไว้ในเมืองแยนจือด้วยภาพลักษณ์ของตราประทับเทียนซือ แล้วก็น่าจะเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของฮ่องเต้แคว้นไฉ่อี ถึงไม่ยอมเพิ่มปราณวิญญาณรักษาไว้ให้ดี อีกทั้งการปรากฏขึ้นของสุสานรรกร้างก็น่าจะทำลายแผนการที่พวกเจ้าสองฝ่ายจัดวางไว้ เป็นเหตุให้ข้าหลุดออกจากกรงขังได้ในที่สุด ที่สุดแล้วคนคำนวณก็ไม่สู้ฟ้าลิขิตจริงๆ”

มือหนึ่งของเขาจับราวระเบียง อีกมือหนึ่งทำมุทราคิดคำนวณสถานการณ์ของแคว้นไฉ่อีโดยมีจุดเริ่มต้นเป็นเมืองแยนจือตั้งแต่เมื่อห้าร้อยปีก่อนจนถึงตอนนี้ แล้วจู่ๆ เขาก็ยิ้ม มองไปทางทิศเหนือ ไม่ใช่แค่ทิศเหนือของแคว้นไฉ่อี แต่มองไปยังทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป จุ๊ปากพูด “ยอดฝีมือ สมกับเป็นยอดฝีมือ แคว้นไฉ่อีขาดสมบัติพิทักษ์แคว้นที่สืบทอดต่อกันมานานไปชิ้นหนึ่ง พรรคหลิงซีที่ปกป้องแคว้นก็สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล ถูกคนขโมยอาภรณ์เซียนไฉ่อีสมบัติพิทักษ์พรรคชิ้นนั้นไป ประเทศเพื่อนบ้านสามแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นกู่อวี๋มีหรือจะยอมนิ่งดูดาย? ฉวยโอกาสที่คนป่วยเอาชีวิตของเขา นี่คือหลักการที่ง่ายมาก บวกกับที่ฮ่องเต้ละเลยกิจบ้านเมืองมานานปี ราชสำนักและคนใกล้เคียงเมืองหลวงแคว้นไฉ่อีจึงวิพากษ์วิจารณ์กันมานานแล้ว ขอแค่เกิดภัยพิบัติขึ้นอีกครั้ง ย่อมต้องทำให้ชาวบ้านเป็นเดือดเป็นแค้น ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นก่อจลาจลครั้งใหญ่ และความวุ่นวายครั้งนี้จะนำมาซึ่งสงครามโกลาหลของหลายแคว้น”

‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีชมพูพยักหน้า “ในเมื่อแนวโน้มของสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ข้าก็ควรรับลูกศิษย์สักสองสามคน”

เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว เรือนกายพลันพร่าเลือน ชั่วพริบตาก็หายวับไป

นาทีถัดมาเขาก็เดินออกมาจากในตรอกคับแคบมืดสลัวแห่งนั้น

มารเฒ่าหมี่และสองสามีภรรยาที่กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายตกใจจนไม่กล้ากระดุกกระดิก

การบดขยี้ทางด้านพลังอำนาจเช่นนั้นก็เหมือนกับกุ้งปูตัวเล็กตัวน้อยที่ไหลตามกระแสน้ำไปอย่างเชื่องช้า แล้วไปเจอเข้ากับเจียวหลงที่ร่างใหญ่โตจนแทบจะอัดแน่นเต็มท้องน้ำ

หลิ่วชื่อเฉิงที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีชมพูไม่เสียเวลาพูดให้มากความ มาถึงก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สองสามีภรรยาที่อยู่ในตรอกแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปทันที แม้แต่ขี้เถ้าสักเม็ดก็ไม่เหลือไว้ ส่วนพวกอาวุธวิเศษ อาวุธอาคมหรือเงินเกล็ดหิมะอะไรพวกนั้น แน่นอนว่าย่อมต้องหายไปจากฟ้าดินตามไปด้วย

ดอกบัวสีชมพูที่รัดพันกิ่งก้านบนอาภรณ์ไม่ใช่วัตถุที่ตายนิ่ง พวกมันโบกสะบัดอยู่บนชุดเต๋าอย่างมีชีวิตชีวา ทั้งยังส่งกลิ่นหอมอบอวลเป็นระลอก

เดิมทีชุดนักพรตเต๋านี้ก็เหมือนบ่อดอกบัวบ่อหนึ่งอยู่แล้ว

ขนาดเป็นมารเฒ่าหมี่ที่พบเห็นมรสุมมามากมายก็ยังเหงื่อแตกเต็มศีรษะ เอ่ยถามว่า “เหตุใดเซียนซือไม่สังหารข้าไปพร้อมกันด้วย?”

‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สวมชุดนักพรตเต๋าแล้วต้องกำจัดปีศาจปราบมารเท่านั้นรึ? จะไม่อนุญาตให้ข้าสวมมันเพื่อความสวยงามบ้างเลยหรือไง?”

มารเฒ่าหมี่ไร้คำพูดตอบโต้

แม่งเอ๊ย นี่ต้องเป็นยักษ์ใหญ่บนวิถีมารอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นประเภทที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดในตำนานด้วย

‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ดีดนิ้วหนึ่งที มารเฒ่าหมี่ก็ถูกดีดปลิวออกไปยังสุดตรอก “อย่ามาอยู่ให้ขวางหูขวางตา รีบไสหัวไปซะ อีกเรื่องนะ ลูกศิษย์คนนี้ของเจ้า ข้ารับเอาไว้แล้ว”

เขาเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าเด็กหนุ่ม เอาสองมือไพล่หลัง ก้มหน้าลง ยิ้มตาหยีถามว่า “เจ้าหนู ชื่อแซ่อะไร?”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า กลืนน้ำลาย กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ตอบเซียนซือ ข้าชื่อหยวนเถียนตี้”

“หืม?”

เขาฉงนเล็กน้อย “ตี้จากคำว่าเทียนตี้ที่แปลว่าฟ้าดินน่ะรึ?”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า สีหน้าซีดขาว กลัวว่านาทีถัดมาหัวสมองของตัวเองจะระเบิด อีกอย่างเขาก็ไม่กล้าโกหกอีกฝ่าย จึงตอบไปตามตรงว่า “ตอนที่ท่านแม่ตั้งท้องข้า ที่บ้านยากจน ตอนท้องได้เก้าเดือน นางยังต้องทำนา ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ทันระวังเลยคลอดข้าก่อนกำหนดอยู่ในนา บิดาข้าจึงตั้งชื่อให้ข้าว่า ‘เถียนตี้’ (ผืนนา)

‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ยิ้มกว้าง ตบไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นชื่อของเจ้าก็ไม่เลวเลยจริงๆ ข้าชอบ วันหน้าเจ้าก็คือลูกศิษย์ของข้าแล้ว อาจารย์จะมอบของขวัญเข้าสำนักให้เจ้าชิ้นหนึ่งก่อนก็แล้วกัน”

จากนั้นเด็กหนุ่มก็เห็นว่าอาจารย์ประหลาดผู้นี้ยกมือขึ้นดีดนิ้ว ปราณสกปรกสีแดงฉานเป็นเส้นๆ ก็ผุดพุ่งกรูกันมาจากสี่ด้านแปดทิศอย่างบ้าคลั่ง มารวมตัวกันกลายเป็นลูกกลมสีแดงขนาดใหญ่ยักษ์ แล้วอาจารย์ที่ได้มากะทันหันซึ่งเป็น ‘ชายหนุ่ม’ สวมชุดเต๋าสีชมพูก็ใช้สองนิ้วถูอย่างไม่ใส่ใจหนึ่งที ลูกกลมปราณสกปรกที่ใหญ่เท่าอ่างน้ำก็หดตัวกลายเป็นลูกกลมขนาดเล็กใหญ่แค่กำปั้น

ฝ่ามือของ ‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ตบเบาๆ ลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่ม เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ลืมบอกเจ้าไป จะเป็นลูกศิษย์ของข้า ต้องมีชีวิตรอดก่อนถึงจะได้ หากสามารถทนได้ถึงฟ้าสาง เจ้าก็จะกลายเป็น…บุคคลยิ่งใหญ่คนที่สองของสำนักเราแล้ว”

หลังของเด็กหนุ่มชนกับกำแพง เจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งตัว ความรู้สึกนี้ยากจะพรรณนา ราวกับว่าหว่างคิ้วจะปริแตกอย่างไรอย่างนั้น

‘หลิวชื่อเฉิง’ ไม่อนาทรร้อนใจกับอาการของเขา เขาหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พอลืมตาขึ้นก็มองไปทางทิศตะวันตก พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ยังคงเป็นนครจักพรรดิขาวของศิษย์พี่ใหญ่ที่มีกลิ่นหอมหวนมากกว่า”

……

หายนะไร้เหตุผลครั้งนี้ระเบิดขึ้นฉับพลันจนคนไม่ทันรับมือ แต่ก็ปิดฉากลงเร็วเช่นกัน และนี่ก็ทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อ เป็นเหตุให้คนของจวนเจ้าเมืองและทหารกล้าที่แม่ทัพหม่าพาเข้ามาในเมืองต่างก็เข้าใจผิดคิดว่าพวกปีศาจยังมีแผนการที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิมรออยู่ แต่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น แสงอรุโณทัยสาดไกลไปหมื่นจั้ง เมืองทั้งเมืองก็เริ่มกลับคืนมาเป็นปกติ จำนวนของชาวบ้านที่ถูกอาคมมารลดน้อยลง ทุกคนรอคอยให้เซียนซือพรรคหลิงซีขี่นกหลวนหลากสีเดินทางมาที่นี่เพื่อปลอบใจเหล่าทหารอย่างกระวนกระวาย ทว่าพวกเขากลับ ‘ผิดนัด’ ตั้งแต่เที่ยงไปจนถึงยามค่ำคืนก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาคน จากนั้นเจ้าเมืองหลิวก็ ‘ล้มป่วยลุกไม่ขึ้น’ โชคดีที่เมื่อผ่านยามจื่อไป (เวลา 23.00 น. – 01.00 น.) เมืองแยนจือก็ไม่มีเรื่องชวนสังเวชที่เกิดจากการก่อกวนของพวกปีศาจเกิดขึ้นอีก ระหว่างนี้มีแค่โจรข้างถนนที่คิดจับปลาในบ่อน้ำขุ่น บุกเข้าบ้านคนอื่นเพื่อปล้นชิงของมีค่า ผลกลับกลายเป็นว่าถูกแม่ทัพหม่าที่กำลังโมโหพากำลังพลเข้าปราบปราม สังหารคนชั่วที่หยิบอาวุธหมายต่อสู้สองคนให้ตายคาที่ อันที่จริงคนที่น่าสงสารสองคนนั้นก็แค่หยิบไม้กระบองขึ้นมาป้องกันตัวตามจิตใต้สำนึกเท่านั้น

ผ่านไปอีกคืนหนึ่ง เมืองแยนจือยังคงสงบสุขปลอดภัย แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าประมาท ทหารสวมเสื้อเกราะกลุ่มใหญ่จับกลุ่มกันลาดตระเวนในเมืองอย่างเข้มงวดทั้งกลางวันและกลางคืน

และเช้าตรู่วันถัดมา นกหลวนไม่ได้บินมาถึงกลางอากาศเหนือเมือง แต่เป็นเซียนกระบี่หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กที่ขี่กระบี่มาถึง คนหนึ่งพวกเฉินผิงอันสามคนรู้จัก นางก็คือเด็กสาวหน้ากลมแซ่ฟู่ อีกคนหนึ่งคือผู้อาวุโสไท่ซ่างของพรรคหลิงซี พอคนทั้งสองพลิ้วกายลงที่จวนเจ้าเมือง เจ้าเมืองหลิวก็หายป่วยทันใด หลังจากที่มานั่งอยู่ในจวนเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนนั้นที่ถึงแม้จะมีบุคลิกท่าทางไม่ธรรมดา คำพูดคำจาและการวางตัวสง่างาม แต่กลับปกปิดความเป็นกังวลกลางหว่างคิ้วไว้ไม่อยู่ มานั่งได้ไม่นานเท่าไหร่ หลังจากแน่ใจว่าปราณสกปรกในเมืองแยนจือถูกกำจัดจนสะอาดเอี่ยมหมดแล้ว เพียงไม่นานก็บอกลาไปพร้อมกับเด็กสาวเซียนกระบี่แซ่ฟู่ ทะยานลมจากไปไกล รีบกลับไปที่พรรคหลิงซี

นี่เป็นเพราะว่าระหว่างที่พวกเขาเดินทางลงใต้มาให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ จู่ๆ ก็ได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากทางสำนักว่าสมบัติที่พิทักษ์พรรคมาเป็นเวลาพันปีชิ้นนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย!

เพียงแต่ว่าเรื่องลับสำคัญที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของสำนักแบบนี้ ผู้เฒ่าจากพรรคหลิงซีย่อมไม่มีทางเอามาบอกเล่าแก่คนนอกอยู่แล้ว

อันที่จริงหากไม่เป็นเพราะศักดิ์ศรีค้ำคอ หลักๆ คือกลัวว่าจะทิ้งภาพความทรงจำที่ไม่น่าประทับใจให้แก่เด็กสาวจากสำนักโองการเทพคนนั้น ผู้อาวุโสไท่ซ่างที่เป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตกลางคนนี้ก็คงไม่มีทางมาที่เมืองแยนจือ ความปลอดภัยของแคว้นไฉ่อีจะสำคัญเท่ากับอาภรณ์เซียนไฉ่อีได้อย่างไร? นี่คือรากฐานของพรรคพวกเขาเชียวนะ

หลังจากนั้นก็มีเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าเกิดขึ้นในจวนเจ้าเมือง นั่นก็คือเซียนกระบี่เด็กสาวที่ว่ากันว่ามาจากสำนักโองการเทพผู้นั้นถูกใจหลิวเกาซินบุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองหลิว บอกว่าสามารถช่วยแนะนำนางให้เข้าไปอยู่ฝ่ายนอกของสำนักโองการเทพได้ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้มากว่าหลิวเกาซินจะกลายเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบุรพาจารย์ฝ่ายในบางท่าน

นำมาซึ่งความปลื้มปิติของทุกคน

มีเพียงเด็กสาวคนเดียวเท่านั้นที่กลัดกลุ้ม จากนั้นนางก็ถูกบิดามารดาด่า ถูกพี่สาวใหญ่พี่ชายรองด่า แม้แต่อาจารย์กุนซือเฒ่าของจวนเจ้าเมืองก็ยังด่านาง

แม้ว่าเด็กสาวหน้ากลมจะมีศักดิ์สูงมากในสำนักโองการเทพ เวลาอยู่ต่อหน้านักพรตเฒ่าจ้าวหลิว ผีชางหยางหว่างก็มีเพียงสีหน้าเย็นชาให้เห็น แต่พอมาเจอกับหลิวเกาซินนางกลับพูดง่ายอย่างมาก หัวเราะรื่นเริงอารมณ์ดีตลอดเวลา แถมยังลากหลิวเกาซินไปเดินเล่นในเมือง ซื้อของใช้สำหรับสตรีด้วยกัน

ไม่เหมือนกับเมื่อปีก่อนที่ฤดูใบไม้ผลิจากไปอย่างเชื่องช้า ฤดูร้อนกว่าจะมาถึงก็ยาวนาน

ฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ แรกฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ปลายฤดูใบไม้ผลิจากไปแล้ว พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันแรกของฤดูร้อน ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ผ่านไปทั้งอย่างนี้

วันนี้พอฟ้าสาง เด็กสาวหลิวเกาซินก็เดินทางออกจากเมือง นางไม่ได้อิดออดอาลัยอาวรณ์มากนัก หลังจากทิ้งจดหมายไว้ให้คนในครอบครัวเรียบร้อย เด็กสาวที่ตาแดงก่ำก็ติดตามพี่หญิงฟู่ที่มาจากตระกูลเซียนผู้นั้นไป พวกนางต่างก็ขี่ม้าสีขาวหิมะคนละตัว เสียงฝีเท้าม้าที่เหยียบอยู่บนพื้นหินส่งเสียงดังกุบกับ ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลจากครอบครัวและบ้านเกิดไปทุกที

เพียงแต่ว่าเมื่อเด็กสาวควบม้าขาวเดินไปบนถนนที่ผู้คนบางตา นางก็พลันใจกระตุก หันขวับไปมองด้านหลัง นางมองเห็นเด็กหนุ่มสะพายกล่องกระบี่ยืนอยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่ห่างไปไกล เขากำลังโบกมือลานางเบาๆ

เด็กสาวทำปากยื่น หันขวับกลับมา ใบหน้านองน้ำตา หยาดน้ำตาหยดเผลาะๆ ลงเป็นสาย

อารมณ์ของหลิวเกาซินดีขึ้นในชั่วพริบตา นางเชิดหน้าขึ้นสูง หันหลังให้กับคนผู้นั้นที่มาส่งตนเดินทาง แล้วเด็กสาวก็หัวเราะอย่างมีความสุข

เด็กสาวหน้ากลมแซ่ฟู่หันหน้าไปมอง รู้สึกเพียงว่าเด็กหนุ่มที่อยู่บนหลังคาค่อนข้างจะคุ้นตาอยู่บ้าง แต่นางกลับจำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน จึงคร้านจะนึกให้วุ่นวาย

หลังจากส่งหลิวเกาซินจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็นั่งอยู่บนหลังคาเพียงลำพัง ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าตรงเอวลงมาดื่มเหล้าคำแล้วคำเล่า

เด็กหนุ่มจิบเหล้าคำเล็กๆ พอคิดถึงอาจารย์ฉีก็มีลมฤดูใบไม้ผลิพัดวนเวียนตรงชายแขนเสื้อของเด็กหนุ่ม

—–