ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 199 แต่ก่อนยังดูแคลนเจ้า

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ในตอนที่มู่กวงจวินและหวงเจี๋ยสังเกตเยี่ยนจ้าวเกออย่างละเอียด จริงๆ แล้วเส้นสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอก็กำลังกวาดผ่านมาจากทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยู่พอดีเช่นกัน

สายตาเยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองผ่านหวงเจี๋ย จากนั้นตกลงไปบนร่างของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นที่อยู่ข้างกายอีกฝ่าย

ผู้ที่มาเข้าร่วมการประชุมฝ่านภาไม่น้อยเลย

ถึงแม้ว่าจะยังไม่อาจยืนยันว่าอีกฝ่ายจากไปแล้วหรือไม่ ทว่าถังหย่งฮ่าวที่เคยประมือกับมหาปรมาจารย์อำพรางใบหน้าเช่นเดียวกัน แม้จะเชื่อใจหวงเจี๋ย แต่ก็ต้องค้นหาหลักฐานอย่างน้อยที่สุดแน่นอนด้วยเช่นกัน

หวงเจี๋ยไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ มีบางคนตรึงการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้ สามารถตัดผู้ต้องสงสัยได้เกินครึ่งแล้ว

สายตาเยี่ยนจ้าวเกอมองไปรอบๆ ทั้งสี่ทิศ ดูเหมือนว่าไม่สนใจไยดี แต่ความจริงคือกำลังสังเกตจอมยุทธ์มหาปรมาจารย์กลุ่มนั้น ที่มีพลังฝึกปรือใกล้เคียงกับระดับพลังฝึกปรือของผู้อำพรางใบหน้าอย่างละเอียด

แท้จริงแล้วในบรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ยังมีหนอนบ่อนไส้ของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องที่บอกได้ยากเรื่องหนึ่ง

อย่างไรเสียไม่ใช่จอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตทุกคน ล้วนเลือกตกเป็นมาร

ตัวอยู่ที่ฟ้าดินแดนมาร ง่ายต่อการก่อเกิดความคิดมารในใจผู้คนอย่างแท้จริง แสวงหาความสุขชั่วคราว กลายเป็นมารโดยสิ้นเชิง

กระนั้นนี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แต่อย่างใด

ผู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ ประโยคนี้สะท้อนที่นี่ได้อย่างเหมาะสม มิตกเป็นมาร ต่อให้ในใจคนคนหนึ่งเปี่ยมไปด้วยเจตนาอันโหดเหี้ยม ขอเพียงแค่ปกปิดให้ได้ดีพอ ผู้คนรอบข้างก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะมองทะลุปรุโปร่งความจริงของเขา

ขอเพียงแค่ไม่มีผู้เห็นเหตุการณ์ ต่อให้คนผู้นี้สังหารอีกคนหนึ่งเงียบๆ จากนั้นจัดการศพในทันที หลังจากจบเรื่องยังคงเดินวางท่าออกมาพบปะกับฝูงชนได้

ตรงกันข้ามกับผู้กลายเป็นมาร หลังจากกลายเป็นมารวันใดวันหนึ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว ก็จะผิดแผกไปจากปกติราวกับฟ้าดิน ทั้งยังยากจะปกปิดอีกด้วย โดยภาพรวมหมดสิ้นซึ่งความเป็นไปได้ที่จะซ่อนต่อไป

เยี่ยนจ้าวเกอไม่กล้ายืนยัน ว่าบนโลกนี้ไม่มีวิธีที่หลังจากกลายเป็นมารแล้วกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ใหม่อีกครั้ง กระนั้นความเป็นไปได้นี้ก็น้อยอย่างยิ่งยวด

เปรียบเทียบกันแล้ว ควบคุมตนเองไม่ให้กลายเป็นมารโดยสิ้นเชิง ถึงจะเป็นตัวเลือกที่ผู้แอบซ่อนเป็นไปได้มากกว่า

เหมือนเช่นก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงของทะเลสาบปิดนภา กลุ่มของผู้อาวุโสโม่เช่นนั้น

‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าก่อนหน้าข้าขี่ช้างจับตั๊กแตนไปแล้ว?’ เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในใจ ‘มหาปรมาจารย์ผู้นั้นที่จู่โจมลอบสังหารข้า ไม่ใช่หนอนบ่อนไส้ที่ดักซุ่มแต่อย่างใด? อย่างไรเสียดูจากรูปร่างลักษณะของเขา น่าจะกลายเป็นมารได้หลายวันแล้ว ไม่ใช่เร็วๆ นี้เป็นแน่’

‘คิดๆ ดูแล้วยามปกติเขาน่าจะเป็นสมาชิกภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตที่แอบซ่อนดักซุ่มอยู่ที่ปฐพีพิภพ’

เยี่ยนจ้าวลูบคางตนเองครู่หนึ่ง ‘ปกปิดตนเองอย่างแน่นหนา อีกทั้งไม่แสดงวิชาวรยุทธ์ที่ตนเชี่ยวชาญจริงๆ ออกมา ไม่จับเขาให้ได้คาหนังคาเขา ก็มองฐานะเขาไม่ออกเลยสักนิด ใครจะรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่? กลายเป็นมารแล้ว จุดประสงค์ออกจะชัดแจ้งเสียด้วยซ้ำไป’

‘หากไม่ใช่เพื่อที่จะปกปิดฐานะ เช่นนั้นไฉนเขาถึงไม่แสดงวิชาวรยุทธ์ที่ตนเชี่ยวชาญจริงๆ ออกมาเล่า?’

ชายหนุ่มหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นอย่างละเอียด ‘วิชากระบี่ไปจนถึงวิชาฝ่ามือในตอนที่ประมือกับข้าและพวกศิษย์พี่สวี จริงๆ แล้วก็มีความชำนาญที่ลึกซึ้งยิ่งเช่นกัน เปรียบเทียบระดับพลังฝึกปรือของเขา แม้ว่าจะสามารถยืนยันได้ว่าไม่ใช่วิชาวรยุทธ์แต่เดิมที่เขาเชี่ยวชาญ แต่ก็น่าจะทุ่มความเพียรมามากเช่นกัน’

เขาใคร่ครวญ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยครู่หนึ่ง ‘ไยรู้สึกว่า ระยะเวลาที่เขากลายเป็นมารกลับใกล้เคียงอยู่บ้างกับ…’

“ครานี้จ้าวเกอสร้างความดีความชอบอย่างยิ่งอีกแล้ว พิเศษเป็นอย่างยิ่ง” เสียงอันใสสะอาดแลเพราะพริ้งของฟางจุ่นดังขึ้นข้างหู เยี่ยนจ้าวเกอจึงเก็บความคิด ยิ้มพลางตอบว่า “สวรรค์ประทานโชค ท่านอาจารย์ลุงสองชมเกินไปแล้ว”

ฟางจุ่นส่ายศีรษะช้าๆ “ไม่ เจ้าทำได้ดียิ่งนัก หากไม่ใช่เจ้าพลันระเบิดพลังขึ้นมา ครั้งนี้ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตมีโอกาสประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก”

“ประตูแห่งนพยมโลกเปิดกว้างออก คิดจะทำให้มันปิดอีกครั้ง เช่นนั้นก็ยากลำบากยิ่งแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถาม “เหตุใดท่านประมุขหออันแห่งหอคลื่นโหมยังไม่มาถึงหรือขอรับ หรือว่าทางนั้นมีปีศาจอัคคีก่อกวน?”

“ไม่ผิดหรอก น่าจะเป็นคนของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต สมคบกับมหาโลกาปีศาจอัคคีก่อการพร้อมกัน ทำให้พวกเราถูกศัตรูขนาบทั้งหน้าและหลัง” ฟางจุ่นกล่าว

“ไม่ใช่เพียงแค่ประมุขหออันแห่งหอคลื่นโหม เจ้าเมืองซ่งแห่งเมืองทะเลมรกต ยังมีเจ้าตำหนักอัสนีสวรรค์ ล้วนเร่งไปทะเลตะวันออกด้วยกัน”

“อีกทั้งทางด้านปฐพีพิภพเกิดคลื่นไม่สงบขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน สำนักเราและเขาไร้พรมแดนจึงร่วมมือกันปราบปรามทางด้านนั้น”

ฟางจุ่นเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของทะเลสาบปิดนภาในครั้งนี้ ทะเลสาบปิดนภาในครั้งนี้คล้ายกับเกิดเรื่องขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ความจริงแล้วโยงใยเชื่อมกันเป็นวงกว้าง “ทางด้านทะเลสาบปิดนภานี้ติดต่ออย่างเร่งด่วน การตัดสินใจท้ายที่สุดคือเหยียนซวี่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์นำมาตรสุริยันวัดสวรรค์มา”

เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย “แล้วคนเล่า?”

สีหน้าฟางจุ่นเอาจริงเอาจังขึ้นหลายส่วน “จอมมารปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง ดักซุ่มโจมตีเหยียนซวี่และมาตรสุริยันวัดสวรรค์”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “จอมมารหรือนี่…”

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ของโลกแปดพิภพในปัจจุบัน ที่สามารถยืนยันพลังฝึกปรือได้ และเป็นที่รู้จักดีของทุกคนมีทั้งหมดหกคน

หวงกวงเลี่ย ‘ตะวันเยือน’ จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ตะวันเยือน ผู้อาวุโสเก่าแก่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ซ่งอู๋เลี่ยง ‘คลื่นใหญ่หมื่นจั้ง’ ซ่งอู๋เลี่ยง จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ทะเลมรกต เจ้าเมืองทะเลมรกต

อันชิงหลิน ‘คลื่นโหมพลิกเมฆา’ จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์พลิกเมฆา ประมุขหอคลื่นโหม

เฉินลี่ ‘ฟ้าคำรนแปดทิศ’ จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าเขียว เจ้าตำหนักอัสนีสวรรค์

ตลอดจนจอมมารและปราชญ์ภาพวาดผู้ซึ่งไร้สำนักไร้พรรค

ชายชราแซ่โม่ ปราชญ์ภาพวาดหนึ่งในนั้น ปัจจุบันเป็นยอดฝีมืออาวุโสที่ยังคงมีชีวิตอยู่แน่นอน อายุมากที่สุด ลำดับอาวุโสสูงที่สุด

ในตอนที่จ่านตงเก๋อ ผู้สะเทือนสวรรค์และจ่านซีโหลว บุรุษเทียมสวรรค์แห่งเขากว่างเฉิงยังคงมีชีวิตอยู่ ชายชราแซ่โม่ก็มีชื่อเสียงเกรียงไกรแล้ว เรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน

ชายชราผู้นี้อาศัยอยู่โพ้นทะเลตลอดปี ไม่สนใจโลกภายนอก ไม่ข้องเกี่ยวความขัดแย้ง บรรดาผู้คนทั้งหลายไม่ได้รู้สึกถึงการมีอยู่ของเขาเลยทั้งสิ้น

มีเพียงตอนที่โลกปีศาจอัคคีรุกรานค่อนข้างเร่งด่วนเท่านั้น ชายชราผู้นี้ถึงจะปรากฎกาย ช่วยเหลือยอดฝีมือคนอื่นๆ โจมตีปีศาจอัคคีที่รุกล้ำเข้ามาให้ถอยร่นไป

เทียบกันแล้ว ชายชราแซ่โม่อยู่เหนือโลกหล้า รวมถึงขุมกำลังใหญ่แต่ละกลุ่มในอาณัติของสำนักเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็จะไม่ยุแหย่เขาง่ายๆ เช่นกัน

กระนั้นจอมมารหยวนเทียนกลับแตกต่างออกไป อุปนิสัยบุ่มบ่ามไร้ทำนองคลองธรรม ทว่าพลังฝึกปรือกลับสูงเสียอย่างนั้น ทั้งยังพลังทำลายล้างแก่กล้ายิ่ง

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหกล้วนเลวร้ายอย่างยิ่งยวด มักจะเอาตนเป็นที่ตั้งอีกด้วย ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย ยากที่จะคาดเดา ทำให้ทุกคนล้วนรู้สึกปวดเศียร

หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอเคยศึกษาการประมือระหว่างจอมมารกับผู้อื่นอย่างลับๆ การบรรยายของผู้ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ก็ผู้ที่ชมอยู่ข้างๆ พบว่าจอมมารหยวนเทียนผู้นี้ เกินกว่าครึ่งได้รับร่องรอยบางอย่างที่หลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ค่อยๆ ก่อตัวจนเป็นวิถีทางวิชาวรยุทธ์ในปัจจุบัน

สืบสาวเรื่องราวย้อนจนถึงต้นกำเนิด คล้ายกับว่ามีเงาวิถีมารของพรรคมารก่อนวิกฤตการณ์อยู่

‘จอมมารหยวนเทียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตหรือไม่? หรือว่าความจริงแล้วภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตเป็นการก่อตั้งขึ้นด้วยน้ำมือของหยวนเทียน?’ เยี่ยนจ้าวเกอเคาะลิ้นอยู่ครู่หนึ่ง ‘ในภาพความทรงจำ…หยวนเทียนยังคงชอบกระทำการด้วยตนเองอย่างอิสระ ตรงไปตรงมา’

ฟางจุ่นเอ่ย “เพราะเหตุอันใดหยวนเทียนถึงช่วยเหลือภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต โจมตีสกัดกั้นเหยียนซวี่และมาตรสุริยันวัดสวรรค์ ตอนนี้ยังไม่อาจตัดสินชี้ขาดเรื่องนี้ได้ แต่เพื่อให้รอบคอบ ยังคงไม่อาจถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ จำเป็นต้องป้องกันการลงมือครั้งถัดไปของหยวนเทียนไว้ล่วงหน้า”

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “ที่ท่านอาจารย์ลุงสองกล่าวคือ?”

“ที่นี่ดำเนินมาถึงจุดจบโดยชั่วคราวแล้ว การจัดการปัญหาที่ตามมาของทะเลสาบปิดนภาแห่งนี้ ยังคงส่งต่อให้หอคลื่นโหมจัดการเองเถิด จะว่าไปแล้วครานี้พวกเขาเสียหายหนักหนาที่สุด ผู้อาวุโสใหญ่หนึ่งในสองเป็นหนอนบ่อนไส้ ท้ายที่สุดถูกประหารชีวิต อีกคนหนึ่งก็รบจนสิ้นชีพ” ฟางจุ่นกล่าว

จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะ พลางกล่าวต่อไปว่า “ส่วนภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตและนพยมโลก ยังมีสิ่งที่ตามมากมายอย่างยิ่ง ล้วนจำต้องค่อยๆ ปรึกษาหารือ บัดนี้เรากลับสำนักกันก่อนเถิด”

ชายหนุ่มพยักหน้าตอบตกลง “ข้าเข้าใจขอรับ”

ฟางจุ่นยิ้มฉับพลัน “กลับไปคราวนี้ สำนักต้องบำเหน็จแก่เจ้าอย่างงามอีกคราเป็นแน่”

“แต่เดิมข้ายังเอ่ย เจ้าไม่ต้องใช้เวลาสิบกว่าปี ขอเพียงเวลาสองสามปี ผู้คนใต้หล้าก็จะมองว่าจ้าวเกอไม่ได้เป็นแค่บุตรของศิษย์น้องเยี่ยนตี๋อีกต่อไป แต่ล้วนให้ความสำคัญที่ตัวของเจ้าเอง”

“กระนั้นกลับไม่เคยคิดมาก่อน ซ้ำยังดูถูกเจ้า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป นามของเจ้าทั่วหล้าล้วนรู้จัก ไม่มีผู้ใดไม่รู้เสียแล้ว”

………