ตอนที่ 307 โลภมาก

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 307 โลภมาก

หากมิใช่เพราะอันหลิงเฉว่ทำผิดร้ายแรงไว้ มิเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าคงทำโทษมิลงเพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเด็กที่นางเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต จริง ๆ แล้วนางรักอันหลิงเฉว่มิน้อยเลย

“ที่นี่ครึกครื้นจริง อีกประเดี๋ยวรอติ้งกั๋วกงมาถึง เจ้าจักได้รู้ว่าความครึกครื้นที่แท้จริงเป็นเช่นไร”

ฮูหยินผู้เฒ่าตบหลังมือของอันหลิงเฉว่เบา ๆ ให้นางนั่งด้านข้างตน

ที่นี่เป็นงานเลี้ยงของจวนติ้งกั๋วกง ทุกที่นั่งล้วนมีการจัดเรียงเอาไว้ แขกที่เป็นสตรีนั่งรวมกันส่วนแขกที่เป็นบุรุษก็จักนั่งอีกที่หนึ่ง

ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าเดิมควรเป็นหลี่ซื่อและอันหลิงเกอที่จักได้นั่ง แต่เมื่ออันหลิงเฉว่นั่งก่อนแล้วจึงทำให้ที่นั่งข้างกายของนางหายไปหนึ่งตำแหน่ง

จากนั้นหลี่ซื่อจึงรีบนั่งลงทันทีทำให้ตอนนี้อันหลิงเกอเสียที่นั่งของตนไป

นางเงยหน้าสบเข้ากับดวงตาที่แฝงแววยั่วยุไว้ของอันหลิงเฉว่

อันหลิงเฉว่เมื่อถอดหน้ากากออกแล้วจึงมิจำเป็นต้องปกปิดความคิดที่จักเป็นศัตรูกับอันหลิงเกออีกต่อไป นางทำราวกับว่าการแย่งที่นั่งของอันหลิงเกอได้จักทำให้ตนได้รับชัยชนะอย่างไรอย่างนั้น

อันหลิงเกอมองนางเพียงครู่เดียว จากนั้นก็มิได้สนใจแผนการของเด็กน้อยเยี่ยงอันหลิงเฉว่อีก

นางมิใช่เด็กจึงมิจำเป็นต้องไปแย่งชิงเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้กับอันหลิงเฉว่

ฮูหยินผู้เฒ่าดูเหมือนหลงลืมราวกับมองมิเห็นความอึดอัดในเวลานี้ของอันหลิงเกอ นางสนใจเพียงแค่อันหลิงเฉว่ที่ดูผ่ายผอมลงมิน้อย ทานมิอิ่มหรือไม่นะ…

ปี้จูที่อยู่ด้านหลังรู้สึกโกรธจนอยากกระทืบเท้าแรง ๆ แต่เมื่อเห็นสายตาที่อันหลิงเกอส่งมาจึงมิกล้าแสดงสีหน้ามิพอใจ นางจึงทำเพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโหแล้วมองอันหลิงเกอหาที่นั่งเอาเอง

อันหลิงเกอยกถ้วยชาด้านหน้าขึ้นจิบช้า ๆ สายตาพลางสำรวจแขกเบื้องหน้าทีละคน

กล่าวได้ว่าติ้งกั๋วกงเป็นขุนนางที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยเป็นอย่างมาก นอกจากอัครมหาเสนาบดีที่เป็นหัวหน้าของขุนนางฝ่ายบุ๋น ขุนนางอาวุโสเช่นนี้ย่อมมีผู้ไปมาหาสู่มากมายอยู่แล้ว

อันหลิงเกอมองไปก็เห็นผู้ที่คุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนทีเดียว

ผู้มีชื่อเสียงจากงานเลี้ยงในวังหลวงเยี่ยงจางหว่านหยี ทั้งมีเจียงหนิงผู้ที่เคยช่วยอันหลิงเฉว่ต่อกรกับอันหลิงอีที่สำนักศึกษาและยังมีอีกหลายคนที่คุ้นหน้ากันแต่จำชื่อมิได้

วันนี้ช่างเป็นวันที่ครึกครื้นเสียจริง หวังว่าอีกสักครู่คงจักคึกคักยิ่งกว่านี้

อันหลิงเกอหลุบตาลง แพขนตางอนยาวสั่นไหวราวกับผีเสื้อกำลังขยับปีกบดบังแววตาที่กำลังสั่นไหวเอาไว้

มินานแขกทั้งหมดก็มาครบ ติ้งกั๋วกงจึงเดินออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ หลังกล่าวเริ่มงานเสร็จก็ส่งมอบให้ฮูหยินใหญ่เป็นผู้จัดการต่อ ส่วนตนก็ออกไปต้อนรับแขกที่เป็นบุรุษทันที

ติ้งกั๋วกงฮูหยินยังพาสะใภ้ทั้งสองมาทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี พวกนางทำทุกอย่างได้ละเอียดรอบคอบและใช้เวลามินานก็ทำให้บรรยากาศคึกคักมาก

“ติ้งกั๋วกงปีนี้อายุเจ็ดสิบแล้ว ทว่าใบหน้ายังสดใสและเปี่ยมไปด้วยพลังมิเหมือนคนรุ่นราวคราวเดียวกันเลย ช่างวาสนาดีจริง ๆ ”

“ใช่แล้ว เมื่อครู่ตอนติ้งกั๋วกงกล่าวเสียงยังดังกังวาน ผู้ใดจักนึกว่าปีนี้เขาอายุเจ็ดสิบแล้ว ดูเหมือนคนอายุสี่สิบห้าสิบปีเท่านั้นเอง”

“ว่ากันว่าคนมีอายุถึง 70 ปีนั้นหาได้ยากยิ่ง ติ้งกั๋วกงต้องทำเรื่องดีงามไว้มากมายจึงอายุยืนเช่นนี้”

เหล่าฮูหยินทั้งหลายพากันกล่าวคำอวยพรและชื่นชมออกมามิหยุด ติ้งกั๋วกงฮูหยินเมื่อได้ฟังก็ยิ้มรับมิคลาย ใบหน้าอิ่มเอิบทอประกายแห่งความสุขอย่างเห็นได้ชัด

“ปกติติ้งกั๋วกงชอบทำอันใดเป็นพิเศษหรือ ? ออกกำลังกายเป็นประจำหรือไม่ ? ”

ฮูหยินท่านหนึ่งที่เป็นคนตรงไปตรงมาได้ถามคำถามที่ทุกคนก็อยากรู้

ใครต่างก็อยากอายุยืนทั้งนั้นแล้วผู้ใดจักมิอยากทราบเคล็ดลับ

“มิได้ มิได้ เขาเพียงหลงใหลในตัวอักษรและภาพวาด แทบมิได้ออกกำลังกายด้วยซ้ำ”

เรื่องความหลงใหลในตัวอักษรและภาพวาดของติ้งกั๋วกงหาใช่ความลับจึงทำให้ฮูหยินที่เป็นคนถามยิ้มออกมาอย่างจนใจ

โชคดีที่พวกนางรู้ว่าติ้งกั๋วกงชมชอบในตัวอักษรและภาพวาด ดังนั้นของขวัญที่ส่งมาจึงมิใช่ของพื้น ๆ เยี่ยงพวกเงินทอง แต่เป็นภาพวาดหายากที่คาดว่าติ้งกั๋วกงจักถูกใจ

ติ้งกั๋วกงฮูหยินหัวเราะออกมาและนางมิได้หลงลืมสหายเก่าของตน

เมื่อหันมาทางฮูหยินผู้เฒ่า ดวงตาของนางจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่เมื่อหันไปเจออันหลิงเฉว่ นางจึงชะงักไปชั่วครู่ อยู่ ๆ อุณหภูมิก็ลดต่ำอย่างรวดเร็วราวกับจักแช่แข็งทุกอย่างจนมิสามารถขยับเขยื้อนได้

เพียงแค่อาการชะงักงันเกิดขึ้นชั่วครู่ จากนั้นรอยยิ้มของติ้งกั๋วกงฮูหยินก็กลับมาเป็นปกติ

“คุณหนูท่านนี้คือ ? ”

นางมองไปยังอันหลิงเฉว่ แววตาเต็มไปด้วยคำถาม

ฮูหยินผู้เฒ่ามิทันสังเกตเห็นรอยยิ้มแข็งค้างของอีกฝ่ายจึงยิ้มตอบอย่างมีความสุข “นี่คือหลานสาวของข้าชื่ออันหลิงเฉว่ นางเป็นบุตรสาวของอิงคัง”

เป็นบุตรสาวของนายท่านสามนี่เอง

ติ้งกั๋วกงฮูหยินจึงเข้าใจได้ทันที นางเหลือบสายตามองไปยังอันหลิงเกอที่นั่งอยู่อีกด้าน สีหน้าค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเห็นใจยิ่งนัก

อันหลิงเกอที่น่าสงสาร เป็นถึงบุตรีภรรยาเอกของท่านโหวแต่มารดาด่วนจากไปจึงทำให้โดนอนุคนหนึ่งข่มเหงรังแก แม้แต่บุตรของอนุเยี่ยงหลี่ซื่อยังมีชื่อเสียงมากกว่าเสียอีก

อุตส่าห์มีผลงานจากการรักษาโรคระบาดจนได้รับรางวัลจากฮ่องเต้ แต่ก็โดนบุตรสาวของนายท่านสามที่เติบโตข้างกายสหายรักใช้เล่ห์เหลี่ยมแย่งที่นั่งไปอีก

หากมิใช่เพราะอันอิงเฉิง บ้านนายท่านสามจักมีคุณสมบัติพอมาเข้าร่วมงานนี้หรือ แต่อันหลิงเฉว่อาศัยว่าเป็นคนที่สหายรักโปรดปรานจนมิรู้ที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย !

แต่ละคนช่างมิรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเสียบ้าง ช่างแตกต่างจากจวนติ้งกั๋วกงของพวกนางที่รักใคร่และสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

“อ้อ เด็กคนนี้ดูฉลาดเฉลียวทีเดียว”

ภายในใจของติ้งกั๋วกงฮูหยินนึกอีกอย่าง ทว่าปากกล่าวอีกอย่างออกมา

งานเลี้ยงในบ้านตนเอง อย่างไรนางก็มิสามารถทำให้ผู้อื่นลำบากใจได้ อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นสหายเก่าแก่ของตนอีกด้วย

อันหลิงเฉว่เมื่อโดนกล่าวชม พลันในใจก็รู้สึกดียิ่งนัก

นางตั้งใจแย่งที่นั่งของอันหลิงเกอย่อมมิเพียงต้องการยั่วยุอันหลิงเกอเท่านั้น งานสำคัญเช่นวันนี้ที่นั่งข้างท่านย่าถือว่าสำคัญมาก หากผู้ใดได้นั่งตรงนี้ก็จักสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนในงานไว้ได้

ตอนนี้วัยของนางเป็นวัยต้องเริ่มดูตัวได้แล้ว หากเหล่าฮูหยินที่มางานสังเกตเห็นนางก็มิแน่ว่าอาจประทับใจภาพลักษณ์นางก็ได้ แค่เสแสร้งแสดงกริยาเยี่ยงที่ท่านย่าชอบออกมา ถึงเวลานั้นยังต้องกังวลเรื่องบิดามีตำแหน่งต่ำต้อยจนหาคู่ครองที่ดีให้นางมิได้อีกหรือ ?

ช่วงที่โดยกักบริเวณ อันหลิงเฉว่ไตร่ตรองดีแล้วว่าความหวังที่นางจักได้แต่งกับมู่ซื่อจื่อช่างริบหรี่ มิสู้นางหาตระกูลสูงศักดิ์แล้วแต่งเข้าไปชีวิตของตนอย่างรุ่งโรจน์ อย่างไรก็อิสระกว่าตอนอยู่เรือนบรรพบุรุษเหมือนอดีต

ถ้าเทียบกับความรักแล้ว นางต้องการเงินทองและอำนาจมากกว่า !

อันหลิงเฉว่ที่ดีอกดีใจหลังได้รับคำชมจากติ้งกั๋วกงฮูหยินกลับแสดงท่าทางเขินอายและก้มหน้าลงน้อย ๆ เสแสร้งแสดงภาพลักษณ์สาวน้อยน่ารักและมีเสน่ห์ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ทว่าฮูหยินหมิงจูทนมองมิได้ แต่เดิมนางก็รู้สึกเอ็นดูอันหลิงเกออยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าซินเจียวเจียวเป็นสหายกับอันหลิงเกอก็ยิ่งเข้าข้างไปอีก เมื่อเห็นท่าทางของอันหลิงเฉว่ในเวลานี้จึงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและใบหน้าเย็นชาว่า “คุณหนูของนายท่านสามเหตุใดจึงมานั่งตรงตำแหน่งของคุณหนูใหญ่ท่านโหวกันเล่า ? ”