พอพ่อบ้านก้าวเข้ามาในฝั่งเฉิงใต้ก็รู้ถึงความแตกต่างในทันที
แม้จะไม่เหมือนเดิมมาได้สักพักหนึ่งแล้วก็เถอะ ดูบ้านเรือนที่สร้างขึ้นใหม่ในแต่ละวันนั่นสิ ดูผู้คนที่วิ่งไปมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มนั่นสิ
แต่สิ่งที่วันนี้แตกต่างออกไปก็คือมีคนเยอะขึ้น แถมยังมีรถม้าคนงามจอดเบียดเสียดกันอยู่ในตรอกอันแสนคับแคบ ยิ่งทำให้เห็นความสง่างามของรถและม้าได้อย่างชัดเจน
บรรยากาศเช่นนี้ควรเกิดขึ้นที่ฝั่งเฉิงเหนือของเขาไม่ใช่หรือ
“คนเยอะไม่น้อยนี่”
เสียงของหญิงที่อยู่ด้านหลังดังขึ้น
พ่อบ้านรีบเหลียวไปมองฮูหยินหวังที่มีแม่นมคอยประคองอยู่ข้างหลังตน รถม้าที่จอดอยู่ไกลออกไป ยิ่งทำให้บรรยากาศในที่แห่งนี้ดูครื้นเครงมากยิ่งขึ้น
“ฮูหยิน ท่านจะไปจริงหรือขอรับ” พ่อบ้านถามอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ไปที่เรือนเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือขอรับ แล้วฮูหยินค่อยเรียกแม่นางเฉิงไปพบ”
ฮูหยินหวังมองเขาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“ข้าเกรงว่าจะไม่สะดวก” นางตอบ
คำพูดนั้นทำเอาพ่อบ้านกังวลอยู่ไม่น้อย
จะเรียกพบหรือไม่นั่นก็เรื่องหนึ่ง พอเรียกแล้วจะมาพบหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
ฮูหยินหวังยิ้มก่อนจะเดินนำเขาไป
ที่แท้เกิดเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้เชียวหรือ ถึงว่าล่ะเหล่าฮูหยินของตระกูลถึงได้ล้มป่วย หลังจากนั้นนายใหญ่ก็ป่วย หากไม่ใช่เพราะชายสิบเจ็ดกลับมาบอกว่าตนได้พบกับเฉิงเจียวเหนียง นางจึงรู้สึกแปลกใจถึงได้ให้คนมาสืบ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้
‘ฝีมือร้ายกาจนัก’ นายใหญ่หวังได้ฟังเรื่องราวก็ตบเข่าฉาดแล้วเอ่ยชม จนเกือบลืมไปว่าคนที่ได้รับเคราะห์จากฝีมืออันร้ายกาจนี้คือพี่น้องของตน
‘ร้ายกาจเหมือนดั่งตอนที่ท่านปู่จุดไฟเผาเรือเจ็ดลำไม่มีผิด’
นายใหญ่หวังเอ่ยอย่างทอดถอนใจ พลางรำลึกอดีต
‘เรือตั้งเจ็ดทำเชียวนะ นั่นคือเลือดเนื้อของตระกูลเชียวนะ ผู้ใดจะกล้าสละ แต่หากไปสูญเสียก็ไม่มีวันจะได้มา’
เรื่องว่าแต่ก่อนบรรพบุรุษตระกูลหวังนั้นร้ายกาจเพียงใด ฮูหยินหวังเองก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามารำลึกความหลังเสียหน่อย
‘เช่นนั้นตอนนี้ควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ ชายสิบเจ็ดเองก็ทำให้นางโกรธเข้าให้แล้ว’ นางเอ่ย
ลูกชายกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นทั้งยังบอกว่าแม่นางเฉิงเป็นคนตกลงว่าจะถอนหมั้นเองด้วย ฮูหยินหวังย่อมรู้ว่าเป็นกลอุบายของลูกชาย พอถามเหล่าบ่าวและสาวใช้ก็พอจะเดาออกแล้วว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร
เจ้าเด็กคนนี้นี่ กล้าข่มขู่หญิงสาวเชียวหรือ
‘จะว่าไปแล้วแม่นางผู้นั้นคงมีใจให้ชายสิบเจ็ดของเราไม่น้อย ถึงขนาดยอมตกลงเช่นนั้น’ นางเอ่ย
นายใหญ่หวังส่งเสียงเย้ยหยัน
‘มีใจอะไรกัน เจ้าคิดไปเองทั้งนั้น ในสายตาของแม่นางผู้นั้น นางต้องการเพียงแค่แต่งงาน ไม่ได้ต้องการตัวคนเสียด้วยซ้ำ’ เขาเอ่ย ‘นางเป็นคนมองการณ์ไกลนัก หากผู้ใดชอบพอก็อยู่ หากไม่ถูกใจก็ไป ไม่มีทางจะบีบบังคับผู้ใดหรอก’
ฮูหยินใหญ่หวังเบ้ปาก มองการณ์ไกลอย่างนั้นหรือ เป็นเพียงแค่หญิงนางหนึ่งจะทำการยิ่งใหญ่อันใดถึงกับต้องมองการณ์เช่นนั้นเชียว ก็แค่แต่งงานเป็นภรรยาเลี้ยงลูกเต้าแค่นั้นมิใช่หรือ
‘เช่นนั้นการหมั้นหมายครั้งนี้ก็ยกเลิกไปเสียเช่นนั้นหรือ’ นางถาม
นายใหญ่หวังถอนหายใจอย่างนึกเสียดาย
‘ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ก็คงต้องยกเลิก’ เขาเอ่ย ‘ชายสิบเจ็ดช่างไร้วาสนา’
‘ก่อเรื่องวุ่นวายเสียจนอลหม่านไปทั้งตระกูลเฉิง วาสนาเช่นนั้นข้าคงรับไม่ไหว’ ฮูหยินหวังเอ่ย
‘นั่นเป็นเพราะพวกเขารังแกนางก่อนต่างหาก’ นายใหญ่หวังเอ่ย ‘พี่สาวข้าเองก็มีส่วนผิด ไม่ยอมไปสืบข่าวให้แน่ชัดเสียก่อน คิดเองเออเอง คิดว่าผู้อื่นเป็นเพียงเห็บเหาไม่มีทางระแคะระคายสัตว์ร้ายได้ แต่ที่ไหนได้ผู้อื่นนั้นมิใช่เห็บเหา แต่กลับเป็นสัตว์ร้ายต่างหาก’
หากพูดเรื่องที่ตระกูลเฉิงไม่ยอมไปสืบข่าวให้แน่ชัด ความจริงแล้วตระกูลหวังเองก็มีส่วนผิด ที่พวกเขาตั้งใจปิดปังเรื่องที่ไปสืบรู้มาจากเมืองหลวง ก็เพราะต้องการหมั้นหมายให้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นแล้วนายใหญ่เฉิงคงไม่พลาดท่าจนกลายเป็นแบบนี้
ฮูหยินหวังเองก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
‘แม้จะไม่ได้เป็นฝั่งเป็นฝากัน แต่อย่างน้อยพวกเราต้องแสดงเจตนารมณ์ให้นางเห็น’ นายใหญ่หวังเอ่ย ‘เจ้าไปที่นั่นด้วยตัวเองอีกสักหน ไปดูว่าแม่นางผู้นั้นกลับมาหรือยัง แล้วค่อยขอโทษนาง’
เสียงตะโกนโหวกเหวกเรียกสติของฮูหยินหวังกลับคืนมา ก่อนจะเห็นเหล่าแม่นมเดินออกมาจากอีกฝั่ง
ฮูหยินหวังเห็นเช่นนั้นก็ตกใจอย่างห้ามไม่ได้ ส่วนพ่อบ้านเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
“นั่นคือคนของจวนองค์หญิงตระกูลฉินจากเมืองหลวงมิใช่หรือ” เขาเอ่ยพึมพำ
พวกนางมาที่นี่ได้อย่างไร ตามฮูหยินรองเฉิงมาอย่างนั้นหรือ
เหล่าแม่นมไม่ได้ขึ้นรถม้า แต่กลับยืนอยู่ด้านหน้ารถ พร้อมกับผู้ติดตามของตระกูลโจวที่ตามมาด้านหลัง
“ใกล้สิ้นปีแล้วหากหิมะตกเดินทางไปไหนก็คงไม่สะดวกนัก ฮูหยินของข้าจึงส่งของขวัญปีใหม่มาล่วงหน้า…”
“นางรู้ว่าแม่นางไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใด เพียงแต่อยากจะแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ…”
“สิ่งนี้ท่านชายสิบสามตั้งใจมอบให้ท่าน โปรดช่วยรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ…”
พอเห็นของขวัญห่อเล็กห่อใหญ่ที่ถูกทยอยขนลงจากรถอย่างไม่หยุดหย่อน พร้อมกับเสียงพูดคุยหัวเราะที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว ทั้งพ่อบ้านและฮูหยินหวังเองก็ได้แต่ยืนเหม่อลอย
ฮูหยินของพวกนาง… เช่นนั้นก็คือฮูหยินฉินน่ะสิ
ฮูหยินฉินถึงกับตั้งใจส่งคนมามอบของขวัญปีใหม่ให้นางเชียวหรือ
คำว่า ’ฮูหยินหวัง’ และ ‘ตั้งใจ’ ดังก้องอยู่ในหัวของฮูหยินหวังและคนอื่นๆ
หากเพียงเพื่อรักษาหน้าตาของตระกูลโจว ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องถ่อมาถึงที่นี่ นอกเสียจากพวกเขาตั้งใจมาเพื่อแม่นางเฉิงผู้นี้
พ่อบ้านยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อใต้จมูกอย่างอดไม่ได้
ส่วนฮูหยินหวังที่อยู่ข้างกันก็พยักหน้าราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง เดิมทีตอนที่มาที่นี่นางเองก็ไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ แต่ ณ ยามนี้วิ นาทีนี้ถึงได้รู้ว่านายใหญ่ของตระกูลนั้นฉลาดหลักแหลมเพียงใด
คนผู้นี้แม้จะไม่ได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่ก็อย่าได้คิดเป็นศัตรูเด็ดขาด
พอคิดได้ดังนั้น ฮูหยินหวังก็เดินนำหน้าพ่อบ้านตระกูลเฉิงไป
“ไม่รู้ว่านายหญิงของเจ้าสะดวกหรือไม่”
แม่นมตระกูลหวังยื่นตราตระกูลใช้แก่ผู้ติดตามตระกูลโจว ก่อนจะถามอย่างนอบน้อม
ตราตระกูลเชียวหรือ! ถึงกับยื่นตราตระกูลให้ ราวกับตนเป็นผู้น้อยมาพบญาติผู้ใหญ่อย่างไรอย่างนั้น!
พ่อบ้านตระกูลเฉิงที่อยู่ด้านหลังเบิกตาโพลงอีกครั้ง
ในตอนนั้นฮูหยินรองเฉิงที่นั่งอยู่ในห้องมาครู่หนึ่งแล้วได้เผยสีหน้าตื่นตกใจขึ้นมา พลางมองเฉิงเจียวเหนียงที่ดันกองจดหมายทาบทามเหล่านั้นกลับมาให้
“เจียวเหนียง พวกเขามาจากตระกูลฉิน จวนองค์หญิงตระกูลฉิน ไม่ใช่พวกตระกูลบ่าวไพร่ไม่มีหัวนอนปลายเท้านะ” นางรีบเอ่ยในทันใด
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เพราะเป็นตระกูลฉินนั่นแล ถึงไม่ต้องคิด” นางเอ่ย “ท่านก็บอกไปตามตรง ตระกูลฉินเข้าใจข้าดี”
ตระกูลฉิน…จะเข้าใจหรือ
หรือว่าจะสนิทชิดเชื้อกับตระกูลฉินยามอยู่เมืองหลวงอย่างที่ได้ยินมาจริงๆ
ฮูหยินรองเฉิงนึกถึงกิริยาแสนนอบน้อมของแม่นมตระกูลฉินเมื่อครู่ แถมยังมีของขวัญปีใหม่เหล่านั้นอีก คงไม่ได้แค่ทำตามแผนการของตระกูลโจวเป็นแน่
“เช่นนั้น หากตระกูลฉินไม่ได้ แล้วตระกูลอื่นเล่า…” นางรีบถามในทันใด
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ยามนี้ข้ายังไม่อยากคิดเรื่องออกเรือน เอาไว้วันหน้าเถิด” นางตอบ
เอาไว้วันหน้าอย่างนั้นหรือ
“เจียวเหนียง แต่ถึงอย่างไรก็อย่าได้แต่งกับตระกูลหวังเลย…” ฮูหยินรองเฉิงพูดต่ออย่างรีบร้อน
“ข้ารู้” เฉิงเจียวเหนียงตัดบทก่อนจะก้มหัวคำนับ “ขอบคุณฮูหยินที่เป็นห่วง เพียงแต่ระยะนี้อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย”
ฮูหยินรองเฉิงกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าปั้นฉินที่อยู่หน้าประตูก็ลุกยืนขึ้นแล้วชิงพูดเสียก่อน
“เชิญฮูหยินกลับเถิดเจ้าค่ะ นายหญิงของข้าเพิ่งกลับมาถึงเมื่อคืน ยังไม่ได้พักผ่อนดี” นางเอ่ย
พอได้ยินสาวใช้พูดดังนั้น ถ้อยคำมากมายที่ฮูหยินรองเฉิงอยากจะพูดจึงจำต้องถูกกลืนลงไป นางไม่อยากถูกจับโยนออกไปเป็นครั้งที่สอง แถมเด็กบ้าคนนี้กล้าฟ้องแม้กระทั่งนายใหญ่เฉิง ในสายตาของนางแล้วการที่สาวใช้ไล่แขกเช่นนี้คงมิใช่เรื่องเสียมารยาทแต่อย่างใด
“เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนเถิด มีเรื่องอันใดก็บอกข้าได้ ท่านพ่อของเจ้าไม่อยู่ ข้าจะเป็นคนจัดการเอง” นางรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากบ้านเรารักใครกลมเกลียวกันแล้ว ก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด”
เฉิงเจียวเหนียวพยักหน้าพลางคำนับก่อนจะลุกยืนขึ้น
“เจ้ารีบไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องไปส่งข้าหรอก” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยพลางเดินออกมา
“นายหญิง ฮูหยินตระกูลหวังมาขอรับ” ผู้ติดตามที่อยู่กลางลานบ้านเพิ่งจะเข้ามาบอก
ตระกูลหวังอย่างนั้นหรือ ฮูหยินรองเฉิงตกใจในทันใด ก่อนจะเหลียวออกไปมองทางด้านนอก ก็เห็นว่าฮูหยินหวังยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ
“เชิญเข้ามาเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“เจียวเหนียง…” ฮูหยินรองเฉิงท่าทางร้อนรน ก่อนจะหันหลังกลับมาในทันใด
ปั้นฉินเดินเข้ามาขวางหน้าไว้
“เชิญฮูหยินเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางผายมือเชิญออกไป
ฮูหยินรองเฉิงไม่กล้าต่อปากต่อคำกับสาวใช้ผู้นี้ หากเพียงแค่ด่าทอนั้นนางหาได้กลัวไม่ เพียงแต่กลัวว่าไม่ทันได้พูดอะไรสักคำก็ลงไม้ลงมือต่างหาก ฮูหยินรองเฉิงจำใจเดินออกไป พอมาถึงหน้าประตูก็พบกับพ่อบ้านอีก คราวนี้นางถึงกับก้าวเท้าไม่ออก
“พวกเจ้าระวังหน่อย ประเดี๋ยวจะเตะของพังเอา” นางยกมือชี้นิ้วสั่งกับเหล่าบ่าวที่กำลังขนของขวัญลงมาจากรถม้า พลางยกมือขึ้นมาทัดผมไว้ข้างหู
เหล่าแม่นมตระกูลฉินและผู้ติดตามเหลียวมามองนางอยู่ชั่วพริบตา ก่อนจะหันไปวุ่นกับงานของตนเองต่อโดยไม่พูดอะไร
พ่อบ้านนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเรียกฮูหยินรอง
ฮูหยินรองเฉิงไม่แลตามองเขาเลยแม้แต่นิด
“ของขวัญที่จะให้ตอบกลับเตรียมไว้แล้วหรือยัง” นางถามเหล่าผู้ติดตามตระกูลโจว
แม้จะไม่มีผู้ใดสนใจจะตอบคำถามของนาง ทว่าฮูหยินรองเฉิงก็ไม่ได้รู้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด
“ของขวัญที่ให้ตอบกลับ จะต้องพิถีพิถันเสียหน่อย ให้ของขวัญแก่จวนองค์หญิงตระกูลฉินเชียวนะ”
นางเอ่ยพลางลูบมือไปมา ก่อนจะสั่งแม่นมข้างกายของตน
“ต้องคิดไตร่ครองให้ดี”
เหล่าแม่นมพยักหน้าพลางขานรับอย่างพร้อมเพรียง บางคนก็เดินเข้าไปช่วยในทันใด ทว่ากลับถูกผู้ติดตามตระกูลโจวถลึงตาใส่ ตกใจจนต้องชะงักฝีเท้าลง
ขณะที่นางพูดอยู่นั้น ฮูหยินหวังที่เพิ่งเข้าไปก็เดินออกมาแล้ว
เหตุใดถึงได้รวดเร็วปานนี้
ถูกปฏิเสธอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินรองเฉิงหันไปมองในทันใด ก็เห็นใบหน้าโล่งใจของฮูหยินหวัง แถมยังดูดีอกดีใจไม่น้อย
“พวกเราเองก็คงต้องส่งของขวัญปีใหม่มาให้สักชิ้น…” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบากันแม่นมข้างกาย
ของขวัญปีใหม่อย่างนั้นหรือ นางเองก็จะส่งของขวัญปีใหม่มาให้เหมือนกันหรือ
ท่าทางดีอกดีใจราวกับได้เก็บเงินได้กลางถนน ไม่เหมือนคนเดือดเนื้อร้อนใจยามถูกปฏิเสธเลยสักนิด แต่หากตกปากรับคำเรื่องสู่ขอ มีอย่างที่ไหนต้องส่งขวัญปีใหม่ให้กับลูกหลานที่อายุน้อยกว่ากัน!
หรือว่าความจริงแล้วตระกูลหวังเองก็ไม่ได้อยากจะหมั้นหมายตั้งแต่แรก แล้วเหตุใดฮูหยินใหญ่เฉิงถึงได้ยินยอมกัน
“ฮูหยินหวัง” นางเรียกออกไปอย่างอดรนทนไม่ไหว
ฮูหยินหวังชะงักฝีเท้าลงแล้วหันมามองนาง รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไปในทันใด มีเพียงความเย็นชาเข้ามาแทนที
“รีบไปกันเถิด รีบกลับบ้านเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า มีธุระอีกมากมายต้องทำ” นางเอ่ย ไม่รอให้ฮูหยินรองเฉิงปริปากก็รีบเดินจากไปในทันที
ฮูหยินรองเฉิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นางตะโกนเรียกอยู่สองสามที ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วพาเหล่าแม่นมเดินตามไป
พ่อบ้านตระกูลเฉิงเพิ่งมีจังหวะได้เข้าพบ เขาบอกถึงเหตุที่มาเยือน ปั้นฉินได้ยินดังนั้นก็ไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่
“พอกลับมาก็ไม่เคยได้อยู่อย่างสงบสุขเลยสินะ…” นางเอ่ยพึมพำก่อนจะเดินเข้าไปบอกกับนายหญิงของตน ไม่นานก็เดินกลับออกมา
“นายหญิงของข้าบอกว่า หากมาเพราะเรื่องสินเดิมก็ไม่มีอะไรต้องพูดกัน รอคำพิพากษาจากทางการเถิด” นางเอ่ย
“แม่นาง แม่นาง” พ่อบ้านเอ่ยอย่างรีบร้อน ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาแล้วเอ่ยกระซิบ “นายใหญ่ของข้าบอกว่า ในเมื่อนายหญิงของเจ้ากังวลเรื่องสินเดิมนัก ก็จะยกสินเดิมคืนให้แก่นาง”
ปั้นฉินส่ายหน้า
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เช่นนั้นก็เหมือนว่านายหญิงของข้าเป็นคนโวยวายอยากได้คืน นายใหญ่จึงคืนให้เพื่อตัดรำคาญอย่างนั้นสิ เช่นนั้นจะเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อสิ่งใด” นางเอ่ย “รอให้ทางการเป็นผู้ตัดสินเถิด”
เหมือนว่าอย่างนั้นหรือ ก็นายหญิงของเจ้านั้นแหละที่โวยวายเรียกร้องอยากได้คืน
“แม่นาง แม่นาง อย่าพูดได้พูดจาไร้เยื่อใยเช่นนั้นเลย… อย่างไรเสียก็เป็นคนตระกูลเดียวกัน…” พ่อบ้านเอ่ยในทันใด
ปั้นฉินเหลียวกับมาเอ่ยขัดคำในทันที
“นายหญิงของข้าบอกไว้ว่า คนเราต้องพูดกันให้ชัดเจน จะได้ไม่ต้องอ้างกฎอ้างเกณฑ์ หากไม่เช่นนั้นจะถูกแปรคำแปรความไปต่างๆ นานา” นางเอ่ยก่อนจะคำนับให้พ่อบ้าน “ท่านพ่อบ้านเชิญกลับไปเถิด อย่าได้พูดเรื่องนี้อีกเลย นายหญิงของข้าบอกต้องแต่แรกแล้วว่า นางมิได้ทำเพื่อสินเดิม แต่ทำเพื่อรักษาศักดิ์ศรี”
ไม่ต้องการสินเดิม ต้องการเพียงแค่ศักดิ์ศรีอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรูหรอกหรือ
พ่อบ้านมองสาวใช้อย่างงุนงง
“ท่านเคยได้ยินเรื่องนางฟ้าผ่านทางของเมืองหลวงหรือไม่” ปั้นฉินถามด้วยรอยยิ้ม
พ่อบ้านส่ายหน้าอย่างสงสัย
แต่ก่อนมีคนผู้หนึ่งเห็นผู้อื่นกำลังกินนางฟ้าผ่านทาง เขาจึงลอกเลียนแบบ จากนั้นก็นำไปขายจนร่ำรวย แล้วทึกทักว่าตนเองก็เป็นเจ้าของสูตรนางฟ้าผ่านทาง พอเขาได้เจอกับผู้ที่กินนางฟ้าผ่านทางเป็นคนแรก เขากลับไม่เอ่ยขอบคุณแต่อย่างใด ทั้งยังวางอำนาจข่มขู่ผู้นั้น แต่สุดท้ายคนผู้นั้นบอกว่านางฟ้าผ่านทางมิใช่ของนาง แม้จะให้เงินนางนางก็อาจรับไว้
“แล้วหลังจากนั้นเล่า” พ่อบ้านถามอย่างสงสัย
“หลังจากนั้น นางฟ้าผ่านทางที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อจากนาง ก็มีขายไปทั่วทั้งเมือง” ปั้นฉินเอ่ย พูดจบก็หัวเราะก่อนจะหันหลังกลับเดินเข้าไป
นางฟ้าผ่านทางที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อจากนาง ก็มีขายไปทั่วทั้งเมือง หมายความว่าอย่างไรกัน
พ่อบ้านยิ่งคิดก็ยิ่งงุนงง