“คุณชายเสิ่น นี่หมายความว่าอย่างไรขอรับ?” เป็นเวลาดึกมากแล้ว พวกตี๋ต่างดื่มจนเมามาย และประคองกันกลับเข้าไปนอนในห้อง
โม่เหยี่ยกลับถูกพามาภายในห้องเล็กๆ ที่แยกตัวออกมา หลังศาลาพักม้า
ภายในห้องมีเพียงเสิ่นจั้งเฟิงผู้เดียว เพิ่งจะเข้ามา เสิ่นจั้งเฟิงก็คำนับเขาอย่างเป็นทางการ ด้วยการประสานมือและโน้มตัวลงขนานกับพื้นคราวหนึ่ง
เมื่อเห็นภาพนี้ โม่เหยี่ยพลันขมวดคิ้ว รีบขยับหลบไป แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงหนัก
เสิ่นจั้งเฟิงลุกขึ้นมา เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “วันนี้ภรรยาของข้าได้พวกของท่านช่วยชีวิตเอาไว้ ข้าซาบซึ้งเป็นยิ่งนัก!”
“นั่นเป็นประสงค์ของท่านข่านอาอีถ่าหู หากคุณชายซาบซึ้งในเรื่องนี้ มิสู้ตอบรับการเจรจาสงบศึกจากท่านข่านของเรา เป็นเช่นใด?” โม่เหยี่ยลดขนตาลง พลางเอ่ยไปเรียบๆ
“เจรจาสงบศึกเป็นประสงค์ของท่านข่าน แต่การช่วยภรรยาข้าคงเป็นประสงค์ของท่านกระมัง?” เสิ่นจั้งเฟิงเผยมือออกไปยังเก้าอี้เป็นการส่งสัญญาณให้เขานั่งลงบนตั่งยาว ในดวงตามีแววว่าเข้าใจแจ่มแจ้ง “อูกู่เหมิงเอาอาชาพื้นถิ่นชั้นเลิศที่เป็นที่รักของตนออกมา ใช้ไส้ศึกที่ปกปิดตัวมิดชิดที่สุด และขายม้าให้แก่นายพลรักษาพื้นที่ของด่านเตี๋ยชุ่ย เดิมทีก็เพื่อนำมามอบให้ข้า ผู้ใดจะรู้ว่าครานี้ข้าพาภรรยามาด้วย และภรรยาข้าก็หมายตาอาชาดีตัวนี้ในทันใด นายพลรักษาพื้นที่จึงได้นำไปมอบให้ภรรยาข้าแทนตามประสงค์ของนาง …แต่ไม่ว่าผู้ใดได้อาชาล้ำเลิศเช่นนี้ไป ก็จะต้องอดจะลองขี่มันสักหนไม่ได้! ทว่าบริเวณใกล้ๆ ด่านเตี๋ยชุ่ยที่สามารถขี่ม้ามีเพียงแห่งเดียว ก็คือบริเวณหน้าด่าน เดิมทีแผนการนี้พุ่งเป้ามาที่ข้า แต่จนใจเหลือที่ภรรยาข้ามารับเคราะห์แทนข้า ในเมื่ออาอีถ่าหูมีประสงค์จะเจรจาสงบศึก ย่อมต้องหวังให้ข้ามีความแค้นใหญ่หลวงกับอูกู่เหมิง หากมิใช่ท่านสั่งการให้ยิ่งศรสังหารคนของอูกู่เหมิงก่อนที่กำหนดวางแผนไว้ วันนี้ภรรยาข้าก็ต้องมารับเคราะห์อย่างไรความผิดแล้ว!”
เมื่อเห็นโม่เหยี่ยไม่พูดจา เสิ่นจั้งเฟิงจึงเอ่ยต่อไปว่า “ครั้งวางแผนสังหารมู่ซิวเอ่อร์เมื่อปีก่อน ข้าเคยพบท่าน ฝีมือเกาทัณฑ์ของท่านดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้พบมาไม่ว่าจะเป็นในชาวเว่ยหรือชาวตี๋ ข้าคิดว่าหากวันนี้เป็นข้าขี่ม้าตัวนั้น ยามนี้ก็คงจะตายไปแล้ว เพราะท่านจะต้องลงมือ…”
“ไม่หรอก” จู่ๆ โม่เหยี่ยก็เอ่ยปากพูด
เสิ่นจั้งเฟิงตะลึง อีกพักหนึ่งโม่เหยี่ยจึงบอกว่า “หากสังหารท่าน ตระกูลเสิ่นจะต้องมาล้างแค้นท่านข่าน ท่านข่านไม่ต้องการมีศัตรูขนาบทั้งหน้าหลัง”
“อาจไม่เป็นเช่นนั้น” เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหน้า “ในเมื่อมู่ซิวเอ่อร์เป็นข่านคนก่อน ทั้งยังเป็นบิดาของอูกู่เหมิง แต่เมื่อเขาตายด้วยน้ำมือข้า แม้เรื่องเล็กน้อยนี้จะไม่ได้เขียนลงไปในรายงานชัยชนะ แต่คิดว่าพวกท่านคงล้วนกระจ่างแก่ใจดี ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ยังเป็นถึงว่าที่ประมุขคนต่อไปของตระกูลเสิ่น หากอาอีถ่าหูสามารถเอาหัวของข้าไปป่าวประกาศต่อทุกเผ่าของชาวตี๋ ย่อมสามารถหว่านล้อมจิตใจผู้คนและรวมรวมแผ่นดินตี๋ให้เป็นหนึ่งเดียวได้! โดยเฉพาะสาเหตุที่อูกู่เหมิงสามารถต่อกรกับอาอีถ่าหูได้ล้วนเป็นเพราะได้มู่ซิวเอ่อร์บ่มเพาะมา ปรากฏว่าอาอีถ่าหูกลับมาเอาคืนมู่ซิวเอ่อร์อย่างใหญ่หลวง ต่อให้อูกู่เหมิงเคียดแค้นอีกสักเท่าใด ก็ไม่อาจมีท่าทีต่อต้านอย่างเปิดเผยไม่ให้อาอีถ่าหูขึ้นมาเป็นข่านได้อีกต่อไป ชาวตี๋เลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้าเป็นหลัก ไปมาอย่างอิสระ พวกเราไม่อาจไล่สังหารพวกท่านบนที่ราบทุ่งหญ้าได้ตลอดไป ฉะนั้นขอเพียงอาอีถ่าหูสามารถล้างแค้นตระกูลเสิ่นในครานี้ได้ ก็จะสามารถเป็นข่านที่แท้จริงได้ มิใช่เพียงแค่ข่านที่พวกเขาเรียกขานกันเอาเองเช่นยามนี้ …ทั้งยังสามารถอาศัยการแก้แค้นตระกูลเสิ่นกำจัดชนเผ่าที่ไม่ภักดีเขาและสามารถควบคุมชาวตี๋ได้อย่างเบ็ดเสร็จ!”
โม่เหยี่ยนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ข้าไม่ใคร่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ข้าก็เพียงแค่นำคำสั่งของท่านข่านเพื่อมาแสดงความประสงค์เจรจาสงบศึกของท่านข่าน ข้อเสนอนี้ของท่านข่านก็พิเศษเป็นอย่างยิ่งแล้ว”
“ชะตาของเขาไม่อาจให้เขามองโล่งในแง่ดีได้” เสิ่นจั้งเฟิงหรี่ตาลงแล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “นับแต่ต้าเว่ยของเราถอนทัพจากที่ราบทุ่งหญ้า ในการสู้รบทั้งใหญ่น้อยระหว่างอูกู่เหมิงและอาอีถ่าหู อาอีถ่าหูล้วนพ่ายแพ้มากว่าได้ชัยชนะเรื่อยมา ครั้งสุดท้ายก็ถึงกับสูญเสียยุทธภัณฑ์ไปไม่น้อย แม้ยามนี้จะเป็นฤดูร้อน อาอีถ่าหูจึงยังคงสามารถอาศัยน้ำและหญ้าที่สมบูรณ์ในเวลานี้ประคองเอาไว้ได้สักพัก ทว่าหากมองไปถึงวันหน้า อาอีถ่าหูก็ยากจะไปช่วงชิงเสบียงมาจากมือของอูกู่เหมิงเพื่อนำมาใช้จนผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้ ในปีก่อนๆ เขายังสามารถอาศัยการเข้ามารุกรานต้าเว่ยของเราได้ ทว่าในเวลานี้นั้น…”
เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหน้าพลางว่า “หากไม่ได้รับกำลังหนุน วันคืนในภายภาคหน้าของอาอีถ่าหูก็จะต้องอยู่อย่างยากลำบาก ตำแหน่งข่านที่เขาครอบครองอยู่ในยามนี้ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถครองอยู่ได้อีกนานเท่าใด?”
โม่เหยี่ยมองไปที่ตาของเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “คุณชายเสิ่น หรือว่าพวกท่านชาวเว่ยจะหวังให้ท่านข่านพ่ายแพ้? ตระกูลเสิ่นของท่าน มิได้มุ่งหวังให้ท่านข่านและอูกู่เหมิงล้วนพ่ายแพ้ย่อยยับทั้งสองฝ่ายหรอกหรือ?”
“ท่านพูดไม่ผิด” เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้าพลางว่า “แต่นี่กลับมิได้หมายความว่าต้องยอมรับข้อเสนอสงบศึกของอาอีถ่าหู อย่างเช่นว่า พวกเราสามารถส่งคนไปปราบปรามอูกู่เหมิงสักหนเพื่อลดทอนกำลังของเขา เช่นเดียวกันก็สามารถบรรลุเป้าหมายที่จะทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ย่อยยับทั้งสองฝ่าย แต่มิใช่ให้อูกู่เหมิงยึดอำนาจจากอาอีถ่าหูได้”
เขาจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มชาวตี๋ที่กำลังขมวดคิ้วใคร่ครวญว่าจะตอบเขาอย่างไร แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีไมตรีว่า “ความจริงแล้วจะสงบศึกต่อกันหรือไม่ ในสายตาข้าหาใช่เรื่องสำคัญอันใดไม่ ยามนี้ข้ากลับอยากรู้เรื่องอื่นมากกว่า”
โม่เหยี่ยไม่ตอบคำ แต่เสิ่นจั้งเฟิงก็มิได้สนใจและพูดเรื่องที่ต้องการจะพูดออกมาแล้ว “เหตุใดอาอีถ่าหูต้องส่งท่านมาเจรจาสงบศึก? แม้ท่านจะพูดภาษาฮั่นได้ แต่ข้าคิดว่าในกระโจมของอาอีถ่าหูไม่มีทางจะมีเพียงท่านผู้เดียวที่พูดภาษาฮั่นได้ ข้าหาได้มีเจตนาดูแคลนท่าน แต่ข้าจำได้ว่าคราแรกที่วางแผนจับมู่ซิวเอ่อร์ ครั้งนั้นท่านลงมือช่วยชาวตี๋ที่ชื่อว่าเคอถ่านมู่ คล้ายว่าพวกตี๋จะรังเกียจท่านยิ่งนัก?” เมื่อครู่นี้แม้ว่าในโถงต้อนรับเลี้ยงอาหารชาวตี๋จะไม่มีชาวเว่ยเข้าไปดูแล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะไม่ส่งคนไปแอบฟัง
อาศัยท่อทองแดงที่ติดตั้งไว้ใต้โต๊ะอาหาร นอกจากเสียงกระซิบหลังจากตอนที่เมาสุราแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงก็รู้คำสนทนาของพวกตี๋ทุกเรื่องอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มที่มีชื่อว่า โม่เหยี่ยผู้นี้แม้จะมีฝีมือเกาทัณฑ์ล้ำเลิศนัก แต่ยามอยู่ท่ามกลางพวกตี๋ แม้ยามนี้จะมีป้ายเหยี่ยวที่เป็นตัวแทนของข่านแห่งชาวตี๋ไว้ในมือ ทว่าก็ควบคุมพวกพ้องได้อย่างยากเย็นนัก กระทั่งไม่อาจทัดเทียมชาวตี๋อีกคนในกองของเขาเลย
อาอีถ่าหูหาใช่คนเลอะเลือน หาไม่แล้วก็จะไม่สามารถรักษาฐานอำนาจของตนเอาไว้อย่างปลอดภัยแม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ต่อการคัดค้านให้มู่ซิวเอ่อร์ขึ้นสืบทอดตำแหน่งข่าน กระทั่งถูกหลานกดอำนาจเอาไว้ในยามนี้ก็ยังสามารถให้ตนขึ้นมาเป็นข่านได้ แล้วเหตุใดจึงได้ส่งคนเช่นนี้มาเป็นทูตเจรจาสงบศึก? ทั้งยังจัดหาลูกน้องที่เหิมเกริมไม่เชื่อฟังไม่รู้ความเช่นนี้มาให้เขาโขยงหนึ่ง?
“หากข้าไม่ตอบคำถามนี้ คำขอเจรจาสงบศึกที่เสนอไปก่อนนี้ ท่านจะตอบรับหรือไม่?” โม่เหยี่ยเอ่ยเสียงหนัก
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มเรียบๆ ไปหนหนึ่ง “ว่ากันตามจริง ข้ากลับไม่สนับสนุนให้สงบศึกกับอาอีถ่าหู ข้าไม่อาจเชื่อถือคำมั่นของชาวตี๋ได้ สิ่งต้องพึ่งพาในยามที่ซีเหลียงต้องการความสงบสุขล้วนเป็นดาบและกระบี่ในมือพวกเรา หาใช่สัญญาความร่วมมือกับพวกตี๋ไม่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนนี้ ชาวตี๋เป็นฝ่ายฉีกสัญญาความร่วมมือเองก็มิใช่เพียงครั้งสองครั้งแล้ว พอเกิดเรื่องขึ้น ข้าก็เบื่อหน่ายที่ต้องไปตำหนิการบิดพลิ้วต่อสัญญาเช่นนี้อีกแล้ว”
ใคร่ครวญสักพัก เสิ่นจั้งเฟิงจึงเอ่ยอีกว่า “ข้าก็ไม่อยากนั่งดูอูกู่เหมิงขึ้นเป็นใหญ่ แน่นอนว่า…นี่เป็นเพียงความเห็นของข้าเพียงผู้เดียว ซึ่งจำเป็นต้องผ่านการหารือกับ เสิ่นหยิวเจี่ย ซึ่งเป็นผู้บัญชาการแห่งซีเหลียง และผู้ตรวจการซีเหลียงเสียก่อนจึงจะตัดสินใจได้”
โม่เหยี่ยพยักหน้า กล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ทว่าผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการซีเหลียงและผู้ตรวจการซีเหลียงล้วนแซ่เสิ่น เรื่องนี้จึงยังคงเป็นท่านตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว ใช่หรือไม่?”
เสิ่นจั้งเฟิงกลับไม่ปฏิเสธ “ก็อาจพูดได้ดังนี้”
“ข่านมู่ซิวเอ่อร์ก็ตายไปแล้ว ท่านข่านอาอีถ่าหูให้ความสำคัญกับฝีมือเกาทัณฑ์ของข้ายิ่งนัก” โม่เหยี่ยนิ่งเงียบไปครึ่งเค่อเต็มๆ จึงเอ่ยเสียงเบาๆ ออกมา “ทว่าก็เป็นดังคำท่าน เหตุที่ข้าได้เป็นหัวหน้าในการมาเจรจาสงบศึกครานี้หาได้ง่ายดายเพียงเท่านี้ โอกาสในครานี้เป็นข้าที่ไปขอจากท่านข่านมา ท่านข่านให้คำมั่นกับข้าว่าหากข้าสามารถได้รับคำตอบรับจากท่าน เขาก็จะมอบผู้คนที่ดูแคลนข่มเหงมารดาของเขาให้ข้าจัดการ ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังจะมอบธิดาแท้ๆ ผู้หนึ่งให้แต่งเป็นภรรยาข้า ขอเพียงท่านข่านอาอีถ่าหูไม่ถูกโค่นล้ม ข้าก็จะอยู่ใต้พรมของเขาและได้ความก้าวหน้าโดยไม่เปลืองแรง”
“ฉะนั้น เมื่อครู่นี้ท่านจึงช่วยชีวิตภรรยาข้าเอาไว้เป็นพิเศษ เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการเจรจาสงบศึก?” เสิ่นจั้งเฟิงถาม
“ไม่ ข้าช่วยนางเพราะนางเป็นภรรยาท่าน เป็นมารดาของบุตรชายท่าน ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับการเจรจาสงบศึก” แววตาที่เยือกเย็นสงบนิ่งตลอดมาของโม่เหยี่ย จู่ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นเย็นยะเยือกและคมกริบดังคมดาบ เขาจดจ้องไปที่ตาทั้งคู่ของ เสิ่นจั้งเฟิง แล้วเอ่ยไปทีละคำว่า “ความจริงแล้ว ต่อให้ข้าสังหารนางด้วยมือข้าเอง ข้าก็ยังคิดว่าท่านจะต้องตอบรับคำขอเจรจาสงบศึกของข้า! แต่ข้าก็เพียงเลือกจะช่วยชีวิตนางเท่านั้น!”
เสิ่นจั้งเฟิงเพียงแค่ยิ้มเรียบๆ ไปหนหนึ่งให้กับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเขา “โอ้?”
“พี่ชายใหญ่ของท่าน เขายังอยู่ดีหรือไม่?” โม่เหยี่ยจ้องเขา พลางค่อยๆ เผยรอยยิ้มเยาะหยัน แล้วเอ่ยไปทีละคำว่า “เขาทอดทิ้งแม่ข้าและตัวข้า พอเขาไปก็จากไปถึงสิบกว่าปี ได้ยินว่าตบแต่งกับสตรีมีตระกูลที่มีฐานะทัดเทียมกันที่เมืองหลวงไปตั้งนานแล้ว มีลูกมีเต้าแล้วหรือไม่? แม่ข้าต้องพลอยรับกรรมเพราะเขา ต้องสูญเสียฐานะสูงศักดิ์ในเผ่าที่เคยมี และเลี้ยงดูข้ามาจนโตเพียงลำพังท่ามกลางคำเย้ยหยันและถูกคนในเผ่ารังแก ก่อนจะสิ้นปีก่อนก็ยังไม่ลืมจะกำชับข้าว่าอย่าได้เกลียดชังเขา …ยามนี้ข้าจะให้พวกเจ้าตระกูลเสิ่นตอบรับการเจรจาสงบศึกในครานี้ เพียงพอแล้วหรือไม่?!”
เขามองเสิ่นจั้งเฟิงอย่างดูแคลนคราวหนึ่ง พลางยิ้มหยัน “ระหว่างทางที่กระโจมอ๋องกำลังล่าถอยไป แม่ข้าก็ติดตามมาด้วย เพราะม้าที่ลากรถทนรับน้ำหนักและการเดินทางกลางป่าดงไม่ไหว นางจึงถูกคนในเผ่าสองคนผลักให้ตกจากรถม้าท่ามกลางพายุหิมะ แล้วจากนั้นก็ถูกคนตั้งมากมายเหยียบผ่านไปจึงเหลือเพียงแค่ลมหายใจรวยริน ครั้งนั้นข้าถูกข่านมู่ซิวเอ่อร์เรียกตัวไปและถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกห่างจากกระโจมอ๋อง เมื่อได้รู้ข่าว ข้าก็สังหารคนในเผ่าที่ขวางทางข้าไปหลายคน ตอนที่ย้อนกลับไปหานางนั้น นางก็เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว! แต่กลับยังคงไม่ลืมจะบอกให้ข้าอย่างได้ชิงชังพี่ชายใหญ่ของท่าน …จะว่าไปแล้ว การตายของแม่ข้า พวกเจ้าตระกูลเสิ่นก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย!”
โม่เหยี่ยเอ่ยอย่างทะนงตนว่า “นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลเสิ่นของพวกเจ้าติดค้างแม่ข้า ติดค้างข้า! การเจรจาสงบศึกครานี้ พวกเจ้าจะต้องตอบตกลง!”
…รอยยิ้มที่สงบนิ่งและผ่อนคลายของเสิ่นจั้งเฟิงก่อนหน้านี้พลันแข็งทื่อไปหลายอึดใจ จึงเพิ่งจะได้สติขึ้นมาและพึมพำไปว่า “ข้าไม่รู้ว่าครั้งพี่ชายใหญ่อยู่ที่ซีเหลียงนั้น?” คำพูดนี้เป็นความจริง
เสิ่นจั้งลี่อายุมากกว่าเขาสิบกว่าปี ครั้งพี่ชายแท้ๆ ผู้นี้อายุได้สิบห้าปีก็ถูกเสิ่นเซวียนบิดาของพวกเขาส่งมาขัดเกลาที่ซีเหลียงแล้ว ยามนั้นเสิ่นจั้งเฟิงยังคงเป็นเด็กเล็กๆ ไม่รู้ประสา
ส่วนเรื่องว่าเหตุใดเสิ่นจั้งลี่ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกและมีชื่อเสียงเรื่องความเก่งกาจและกล้าหาญเมื่อครั้งอยู่ในทัพซีเหลียง แต่กลับไม่ได้เป็นว่าที่ประมุขคนต่อไป แต่กลับเป็นตนเองซึ่งเป็นบุตรชายคนที่สามพอเพิ่งเริ่มรู้ประสีประสาได้ไม่นาน ก็ได้รับการอบรมบ่มเพาะจากบิดาและท่านอานั้น …เสิ่นจั้งเฟิงยังคงจำได้ว่าบิดาเคยบอกกล่าวสาเหตุให้ฟังอย่างผิวเผินหนหนึ่ง บอกว่าเป็นเพราะครั้งเสิ่นจั้งลี่อยู่ในทัพซีเหลียง เขาเคยได้รับบาดเจ็บสาหัส นับแต่นั้นมากลายเป็นโรคเรื้อรัง และคอยกำเริบอยู่เป็นประจำ เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงแล้วก็เชิญจี้ชวี่ปิ้ง มารักษาเขาหลายปีจึงหายดีขึ้นอย่างมาก แต่นับแต่นั้นมาก็ไม่อาจทำงานหนักเกินไป ย่อมไม่อาจรับตำแหน่งประมุขตระกูลได้
เสิ่นจั้งลี่มีโรคเรื้อรังที่ติดตัวมาจากซีเหลียงจริงดังว่า แม้แต่ในฤดูร้อนก็ยังไม่สามารถอยู่ในห้องน้ำแข็งได้นาน หากไม่ระวังเพียงน้อยอาการก็จะกำเริบ ประเด็นนี้แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าตระกูลเสิ่นมาไม่กี่ปีก็ยังเคยพบเห็นมาก่อน ฉะนั้นเสิ่นจั้งเฟิงจึงต้องเชื่อเป็นธรรมดา เพราะในความทรงจำของเขา เสิ่นจั้งลี่เคยบาดเจ็บจนต้องถูกส่งตัวกลับมารักษาที่เมืองหลวงอย่างเร่งด่วนจริงๆ
แม้จะเชิญจี้ชวี่ปิ้งมารักษา ทว่าก็ต้องนอนซมอยู่บนตั่งหลายปี ภายหลังก็ยังคงมีอาการกำเริบอยู่เสมอๆ …และด้วยเหตุที่ครั้งอยู่ในกองทัพของซีเหลียง เสิ่นจั้งลี่มีชื่อเสียงเรื่องความห้าวหาญองอาจถึงเพียงนั้น แต่สุดท้ายกลับต้องกลับมาเมืองหลวงด้วยอาการบาดเจ็บและเจ็บป่วยไปทั้งตัว คนเป็นน้องชายก็กลัวว่าหากถามขึ้นมาก็จะทำให้เขาเศร้าเสียใจ ทุกคนจึงพร้อมใจกันไม่ไปสอบถามให้มากความ
ดังนี้เอง เสิ่นเซวียนจึงเพียงบอกกล่าวไปอย่างผิวเผินคำหนึ่งและเสิ่นจั้งเฟิงก็เชื่อมาจนถึงบัดนี้
หากมิใช่โม่เหยี่ยผู้นี้พูดออกมาเอง เสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่มีทางคิดถึงว่าเด็กหนุ่มต่างเชื้อชาติที่ทั้งหน้าตาท่าทีล้วนไม่เหมือนกับพี่ชายใหญ่เสิ่นจั้งลี่และคนตระกูลเสิ่นแม้สักน้อยผู้นี้ ที่แท้ก็คือหลานชายแท้ๆ ของตน!
“หากไม่เชื่อ ไยไม่เขียนจดหมายกลับไปลองถามเขาที่เมืองหลวง?” โม่เหยี่ยเอ่ยอย่างหมดคำพูด “หากเขาแล้งน้ำใจจนกระทั่งไม่ยอมรับข้า จำไม่ได้ว่าแม่ข้าถูกเขาทำร้ายแสนสาหัสมาชั่วชีวิต เช่นนั้นข้าก็ไร้คำพูดใดจะพูดแล้ว!”
เสิ่นจั้งเฟิงตั้งสติสักพัก “ในเมื่อเจ้าบอกว่าตนเป็นบุตรชายของพี่ชายข้า ก็ควรจะมีขอต่างหน้าที่พี่ชายข้ามอบไว้ให้เจ้าหรือมารดาเจ้าสักชิ้นสองชิ้น?”
โม่เหยี่ยแค่นเสียงเอ่ยว่า “ของเหล่านั้นข้าล้วนฝังไปพร้อมศพแม่ข้าหมดแล้ว!” เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “ท่านสามารถไปถามตัวเขาเองสักคำ ข้าเคยได้ยินแม่ข้าบอกว่า ปีนั้นหลังจากข้าเกิดแล้ว เขาก็กลับไปเมืองหลวงแล้ว แต่เขายังมีบ่าวคนสนิทสองสามคนที่ยังอยู่ในซีเหลียง แม่ข้านำสร้อยที่เขาให้เอาไว้ไปขอให้คนเอาเรื่องของข้าไปบอกกับเขา และเขาก็ยังเขียนจดหมายมาหาแม่ข้าฉบับหนึ่ง…”
เสิ่นจั้งเฟิงถามว่า “แล้วจดหมายเล่า?”
“เผาไปแล้ว” โม่เหยี่ยเอ่ยอย่างรังเกียจ “หากมิใช่เพราะต้องการล้างแค้นให้แม่ข้า เจ้าคิดว่าข้าจะยอมมาหาพวกเจ้ารึ?”
______________________