บทที่ 7 ของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่ง โดย Ink Stone_Romance
คนคนนี้ นางกลับพัวพันเขาอยู่เสมอ
คิดดูก็ต้องโทษช่วยไม่ได้ เรื่องมากมายนางดันยังคงต้องพัวพันกับเขา
เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร ดังนั้นจึงรู้สึกอึดอัดและโมโห
คุณหนูจวินมองแผ่นหลังมองเขาไกลออกไป ยิ้ม
“คุณหนูจวิน” ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวเดินมาจากด้านหลัง
คุณหนูจวินรีบคำนับนาง
“วันนี้เผยหน้าหน้าพระพักตร์องค์ไทเฮาแล้ว หลังจากนี้กิจการนี่คงไม่ต้องวิตก นอกจากนี้ก็ไม่ต้องกลัวคนอื่นมาทำลายกฏของเจ้าอีกต่อไป” ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวยิ้มเอ่ย
คุณหนูจวินคำนับนางอย่างเคารพอีกครั้ง
ตอนนั้นในโถงตำหนักท่าทางของไทเฮาเริ่มไม่เกรงใจ สถานการณ์เช่นนั้นมีเพียงท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวที่กล้าออกมาพูดแทนนาง เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ทำออกมาได้ง่ายๆ จริงๆ
“ขอบคุณท่านหญิงผู้เฒ่า” นางเอ่ยอย่างจริงใจ
เช่นเดียวกับองค์หญิงจิ่วหลี ความชื่นชอบกริ้วโกรธของพวกนางคนเหล่านี้ไม่มีทางใช้วาจาเอ่ยออกมาเด็ดขาด เรื่องมากมายต้องอาศัยเข้าใจความนัย เจ้าเข้าใจก็เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ช่างแล้ว
ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวหัวเราะไม่พูดจา ไม่ต่อหัวข้อสนทนานี้ จับแขนท่านหญิงติ้งหยวนโหวเดินแยกไป
คุณหนูจวินมองส่งพวกนางจากไป
นี่ล้วนเป็นความชอบของวิชาแพทย์ ทำให้หญิงสูงศักดิ์เหล่านี้พูดแทนนางได้ นี่ล้วนเป็นความสามารถในการตั้งตัวหาที่พึ่งที่อาจารย์มอบให้นางสินะ
อนาคตจะมีคนมากกว่าเดิมติดหนี้บุญคุณวิชาแพทย์นี้ หลังจากนั้นก็จะมีคนมากกว่าเดิมพูดแทนนางสินะ
“คุณหนูจวิน รถม้าของท่าน” ขันทีคนหนึ่งเอ่ยเบื้องหลัง
นี่คือรถบรรทุกที่ขันทีผู้มาส่งรางวัลพระราชทานเตรียมไว้ รถม้าของคุณหนูจวินซึ่งเดิมทีจอดอยู่ด้านนอกสุดก็ถูกจูงมาด้วย คุณหนูจวินพยักหน้าเอ่ยขอบคุณให้พวกเขาถอยออกมาหลายก้าว
รถบรรทุกรางวัลพระราชทานไว้เต็มแน่น รวมถึงผู้คนที่อิจฉาและใคร่รู้จากไปตามถนนเสด็จพระราชดำเนินแล้ว เข้าไปในถนนที่โรงหมอจิ่วหลิงตั้งอยู่ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่พาคนมารอข่าวก่อนนานแล้วจุดประทัด
เสียงประทัดสนั่นทั้งถนน บรรดาพนักงานเต๋อเซิ่งชางที่ยืนยุบยับอยู่สองแถวตะโกนขอบพระทัยน้ำพระกรุณาดังกลบเสียงประทัด ข่าวโรงหมอจิ่วหลิงได้พระราชทานรางวัลจากไทเฮาแพร่ไปทั่วทั้งเมืองแล้ว
คุณหนูจวินนั่งอยู่ในรถม้า เหมือนไม่ได้ยินเสียงเอะอะด้านนอกที่ดังจนหูแทบดับ นางเพียงมองกล่องที่วางอยู่ตรงหัวเข่า
นี่คือขนมกุ้ยฮวาที่องค์หญิงเฟิงผิงพระราชทานเป็นรางวัลให้นาง
คุณหนูจวินเปิดกล่องออก หยิบชิ้นหนึ่งวางในปากเคี้ยวช้าๆ
ขนมกุ้ยฮวานี่ทำไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว คนครัวในวังเปลี่ยนแล้วสินะ เปลี่ยนเป็นรสชาติที่เหมาะสมกับนายคนใหม่
เลือดของคนเก่าถูกพวกเจ้าล้างเกลี้ยงแล้ว แต่คนเก่าไม่แน่ว่าจะถูกลืมเลือน
คุณหนูจวินกลืนขนมกุ้ยฮวาลงไปช้าๆ
ความครึกครื้นด้านนี้คนที่นั่งอยู่ในสำนักแพทย์หลวงแทบจะได้ยิน ท่านหมอเกิ่งโมโหอยู่บ้างหยิบก้อนผ้าที่ยัดอยู่ในหูโยนทิ้ง
“หนวกหูจะตายแล้ว” เขาตะโกนไปข้างนอก “รบกวนชาวบ้านเช่นนี้กรมทหารม้าห้าเมืองไม่สนหรือไง?”
“ไม่พูดถึงโรงหมอจิ่วหลิงมีราชโองการอดีตฮ่องเต้อยู่ ครั้งนี้รักษาไหวอ๋องหายของรางวัลพระราชทานที่ไทเฮาฮองเฮาพระราชทานต่อหน้าธารกำนัลก็วางอยู่ในโรงหมอด้วยแล้ว ต่อให้นางทำเมืองหลวงอลหม่าน กรมทหารม้าห้าเมืองก็ไปยุ่งไม่ได้แล้ว” เจียงโหย่วซู่เอ่ย
ก็เพราะเขารู้เรื่องนี้ถึงโมโห ท่านหมอเกิ่งงุ่นง่านนั่งลง
“กรมทหารม้าห้าเมืองไม่กล้ายุ่ง องครักษ์เสื้อแพรทำไมก็เป็นใบ้ไปด้วยแล้ว” เขาเอ่ย “ลู่อวิ๋นฉีไม่ใช่มีความแค้นกับนางหรือ? หรือเพราะรักษาน้องเขยของเขาหายดีเขาเลยสมานฉันท์กันแล้ว?”
เจียงโหย่วซู่ได้ยินทนไม่ได้จิ๊ปากสองที
“พูดอะไรเล่า หัวหน้ากองพันลู่เป็นคนเช่นนี้หรือ?” เขาเอ่ย
หัวหน้ากองพันลู่ย่อมไม่ใช่คนเช่นนี้ นอกจากนี้ที่แท้ไหวอ๋องรอดสำคัญกับเขาหรือตายสำคัญกับเขาก็ยังไม่แน่นะ
“ความโหดร้ายก่อนหน้านี้ล้วนเป็นคำคุยโม้งั้นหรือ?” ท่านหมอเกิ่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น แต่พูดประโยคนี้จบเขาก็อดไม่ได้หนาวสันหลัง หดหัวมองรอบด้านโดยไม่รู้ตัว ในใจเสียใจอยู่บ้าง
คำพูดนี้ไม่อาจให้แพร่ไปถึงหูองครักษ์เสื้อแพรได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงต้องทำให้ตนเองได้เห็นว่าความโหดร้ายไม่ใช่คำคุยโม้
“ข้าจะพูดว่าพวกเขาครั้งนี้เกรงใจโรงหมอจิ่วหลิงเกินไปแล้ว” เขาเอ่ยเสริมประโยคหนึ่งอีก
แม้ไม่มีคนเห็นคนได้ยิน แต่ยังคงรู้สึกว่าเอ่ยเสริมออกมานิดหนึ่งสบายใจ
“พวกเขาย่อมไม่ได้เกรงใจโรงหมอจิ่วหลิง แต่เป็นฮ่องเต้กับไทเฮา” เจียงโหย่วซู่เอย “ตอนนี้โรงหมอจิ่วหลิงชื่อเสียงกำลังรุ่งเรือง กระทั่งฮ่องเต้กับไทเฮาก็ชื่นชม องครักษ์เสื้อแพรจะไปแหกหน้าฮ่องเต้กับไทเฮาหรือ? หัวหน้ากองพันลู่ร้าย ไม่ใช่โง่”
“ยังไม่ใช่อาจารย์ท่านเอ่ยชมนางต่อหน้าฮ่องเต้กับไทเฮา ฮ่องเต้กับไทเฮาถึงให้หน้านางใหญ่โตเช่นนี้” ท่านหมอเกิ่งพึมพำประโยคหนึ่ง
“ตัวโง่เง่า” เจียงโหย่วซู่เอ่ย
นางรักษาไหวอ๋องหายดี ฮ่องเต้กับไทเฮาไม่ให้หน้านางได้หรือ?
ท่านหมอเกิ่งอับอาย
“ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร?” เขาเอ่ย เสียงประทัดด้านนอกหยุดลงแล้ว แต่เขาเหมือนยังได้ยินเสียงเอะอะมาจากโรงหมอจิ่วหลิงด้านนั้นเหมือนเดิม รวมถึงคนสูงศักดิ์เต็มเมืองที่รอคอยเขียนเทียบเชิญนางด้วย
พวกผู้สูงศักดิ์เหล่านี้หลังจากนี้คงไม่สะดวกรับใช้แล้ว รักษาหายพวกเขาว่าสมควร รักษาไม่หายต้องถูกเยาะหยันเสียดสีแน่
เจียงโหย่วซู่ยิ้มแล้ว ลุกขึ้นยืน
“คุณหนูจวินมีความสามารถจริงๆ” เขาเอ่ย “รักษาไหวอ๋องหายดีก็แก้วิกฤติของพวกเราได้ด้วย ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องส่งของขวัญชิ้นหนึ่งให้นางด้วยสิ”
ท่านหมอเกิ่งตะลึงไป
“อาจารย์ พวกเราต้องไปคำนับอวยพรนางด้วยตนเองหรือ?” จากนั้นเขาก็ร้องออกมา
เจียงโหย่วซู่ยิ้มแล้ว
“เอ่ยแสดงความยินดีเช่นนั้นธรรมดาเกินไป” เขาเอ่ย “พวกเราจะส่งก็ต้องส่งบุญกุศลใหญ่”
“อาจารย์ บุญกุศลใหญ่อะไร”
เจียงโหย่วซู่กลับไม่ได้เอ่ยอีก เพียงแค่ลูบเครายิ้มน้อยๆ เท่านั้น
เดือนหนึ่งผ่านไปวันที่ห้าแล้ว บรรยากาศเทศกาลยังไม่จางกลับยิ่งเข้มข้นขึ้น ขุนนางที่เข้าเมืองหลวงออกเมืองหลวงตามต่อกันไม่ขาด ผู้คนที่ว่างเว้นในเหมันต์ฤดูก็ขวักไขว่บนถนใหญ่ใหม่อีกครั้ง หอสุราโรงน้ำชาหัวถนนท้ายตรอกทุกหนทุกแห่งครึกครื้น
ประตูเมืองในเดือนหนึ่งการตรวจตราผ่อนปรนกว่าวันวานมากนัก บรรดายามประตูเมืองกอดแขนคุยเล่นพลางมองดูผู้คนเข้าเมืองบ้างไม่มองบ้างไปพลาง
แต่ต่อให้ผ่อนปรนอีกเท่าใด ก็มีคนสองคนยังคงดึงความสนใจของยามประตูเมืองแล้ว
นี่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งจูงเด็กน้อยคนหนึ่งมา
เสื้อนวมที่ผู้หญิงสวมปะชุนไว้ ในมือหิ้วตะกร้าใบหนึ่ง เหมือนกับเข้าเมืองมาหาญาติหรือหญิงชาวไร่ที่ขายของคนหนึ่ง แต่เด็กน้อยที่นางจูงอยู่กลับสวมเสื้อผ้าหนาเตอะ ใบหน้ายังพันไว้
ผู้หญิงเดินพลางดวงตาวิบวับมองซ้ายขวาพลาง เหมือนกับหลบใครอยู่
บรรดายามเฝ้าประตูเมืองสบตากัน ยามเฝ้าที่เป็นหัวหน้าพยักเพยิดคางให้นายทหารสองคน
นายทหารสองคนเข้าใจเดินไปทางผู้หญิงคนนั้น
“เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้” พวกเขาเอ่ย ขวางนางไว้
ผู้หญิงคนนั้นตกใจถอยหลังสองก้าว กอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน หวั่นกลัวทั้งร่างสั่นระริก
ตกใจจนเป็นเช่นนี้ ต้องมีปัญหาแน่ ยามเฝ้าสองคนไม่เกรงใจอีกต่อไป
“เจ้าทำอะไร? คนที่ไหน?” พวกเขาตวาดถาม
“ไม่ ไม่ ข้าเยี่ยมญาติ” ผู้หญิงเอยติดๆ ขัดๆ กอดเด็กน้อยในอ้อมแขนแน่น
หลอกผีเถอะ
ยามเฝ้าสองคนคิ้วขมวด คนหนึ่งใช้ด้ามดาบจ่อหัวไหล่ผู้หญิง
“เข้ามา เข้ามาด้านนี้” เขาเอ่ย
ส่วนอีกคนหนึ่งใช้ด้ามดาบเลิกผ้าที่พันศีรษะและใบหน้าของเด็กคนนั้นอย่างแรง
“ขอทานขโมยเด็กหรือเปล่า?” เขาเอ่ย
พร้อมกับที่ผ้าถูกเลิกเปิด ผู้หญิงก็ร้องเสียงหลง ลนลานไปยื้อผ้าพยายามพันเด็กน้อยไว้ แต่สายไปก้าวหนึ่ง ยามเฝ้าคนนั้นมองเห็นสภาพของเด็กน้อยคนนี้แล้ว
ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันที
“เป็น เป็นฝีดาษ!” เขาร้องตะโกน ดาบในมือจ่อตรงผู้หญิงคนนี้กับเด็กน้อย “เป็นฝีดาษ”
ฝีดาษ?
โรคฝีดาษติดต่อได้ ดังนั้นแต่ละที่ที่มีคนเป็นฝีดาษก็จะกักกันไว้ไม่ให้เดินทางส่งเดช
ผู้หญิงคนนี้ถึงกับพาเด็กที่เป็นฝีดาษเดินทางอาดๆ ผ่านเมือง ยังฝ่าเข้ามาเมืองหลวง หน้าประตูเมืองเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นฝูงชนที่เข้าออกก็เป็นฝูงสัตว์กระเจิง
“กล้านัก ถึงกับกล้าออกจากที่พักตามใจ” บรรดายามเฝ้าประตูเมืองล้อมผู้หญิงกับเด็กคนนี้ไว้อย่างพร้อมเพรียง
ผู้หญิงคนนั้นหวาดกลัวตัวสั่นคุกเข่าดังตึงกับพื้น
“นายท่าน! ขอร้องหมอเทวดาช่วยชีวิตด้วย! ขอร้องหมอเทวดาช่วยชีวิตด้วยเถอะ!” นางร้องไห้ตะโกนเสียงเครือ ศีรษะโขกไปที่พื้นอย่างแรง
และในเวลานี้เองประตูเมืองทั้งสี่ของเมืองหลวงล้วนมีคนพาเด็กน้อยที่เป็นฝีดาษมาปรากฏตัว ส่วนสถานที่ไกลออกไปอีกก็เห็นชาวบ้านมากมายบ้างจูงบ้างแบกบ้างอุ้มเด็กน้อยโซเซมาก
นายประตูที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองมองไปรู้สึกเพียงขนหัวลุก
“เร็ว เร็ว ปิดประตูเมือง” เขายกมือร้อง
……………………………………….