บทที่ 105 เดินอยู่บนปลายดาบ

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 105 เดินอยู่บนปลายดาบ
ณ เรือนหลังเล็กของต่งเออ

กระแสวนเต๋าวงที่สามใกล้สำเร็จแล้วเต็มที เจียงวั่งไม่กังวลว่าจะสร้างวงจรจักรวาลเล็กวงจรแรกได้สำเร็จหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปตามครรลองอยู่แล้ว ตอนนี้เขามีความมั่นใจเช่นนี้

แต่สำหรับวิชาเต๋าสำแดงชั่วพริบตาที่จะสลักไว้หลังจากก้าวสู่ระดับวัฏจักรดารา เขายังคงลังเลอยู่

นี่เป็นวิชาเต๋าชั่วพริบตาวิชาแรกที่ผู้บำเพ็ญสลัก และผลกระทบของวิชาเต๋าชั่วพริบตาที่มีต่อการต่อสู้ก็แทบจะเป็นตัวชี้ชะตา

ก่อนที่จะถอนวิชาเต๋าได้เองโดยสมบูรณ์ วิชาเต๋าวิชาหนึ่งต่อให้เชี่ยวชาญมากเพียงใด รวดเร็วแค่ไหน ก็ต้องใช้เวลาหลายอึดใจ ในการต่อสู้สังหารอันดุเดือด เวลาหนึ่งอึดใจก็มากพอจะคร่าชีวิตได้แล้ว

เหตุที่กระบี่อาวุธเวทเล่มนั้นของเจียงวั่งล้ำค่า ก็เป็นเพราะตัวมันสลักวิชาลูกศรแสงทองเอาไว้ ลูกศรแสงทองไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไร แต่อักขระตราเวทอาวุธกระบี่ทำให้มันแสดงผลออกมาได้เกือบใกล้เคียงกับวิชาชั่วพริบตา จึงมีความสำคัญต่อการประยุกต์ใช้ในการต่อสู้

แต่เวลาเย็นตัวลงของมันนานมาก นี่ก็เป็นจุดบกพร่องที่มองข้ามไปไม่ได้

หลังจากสำเร็จวงจรจักรวาลเล็กแล้ว จุดผ่านสวรรค์ก็จะสามารถรองรับให้เขาสลักวิชาเต๋าชั่วพริบตาลงไปหนึ่งวิชา

ทว่าวิชาเต๋าระดับต่ำที่เขาเรียนที่สำนักเต๋าในตอนนี้ ไม่มีวิชาใดที่น่าพอใจเลย ขาดวิชาเต๋าที่ประยุกต์ใช้ได้สูงแบบคลื่นทะยานซ้อนสามของสำนักเต๋าเมืองวั่งเจียง

ต่งเออไม่มีทางทุ่มเทแรงใจกับการวิจัยและพัฒนารวมถึงคิดค้นวิชาเต๋าระดับต่ำ เรื่องแบบนี้มักจะเป็นผลสัมฤทธิ์จากการเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีของสำนักเต๋า แต่สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินเพิ่งโดดเด่นขึ้นมาได้ไม่นาน รากฐานไม่เพียงพอ

“วิชาเต๋าธาตุไฟกับธาตุไม้ เจ้าเลือกทางไหน” ต่งเออถาม

ในฐานะที่เป็นอาจารย์ เขาย่อมรู้ทิศทางการฝึกสองสายของเจียงวั่งดี

วิชาเต๋าธาตุไม้มักจะมีพลังพันธนาการแข็งแกร่งกว่า ส่วนวิชาเต๋าธาตุไฟการโจมตีจะรุนแรงยิ่งกว่า

เจียงวั่งคิดไว้นานแล้ว “วิชาเต๋าชั่วพริบตาวิชาแรก ข้าอยากให้เป็นธาตุไฟ การโจมตีที่ยิ่งดุเดือดจะผสานเข้ากับรูปแบบการต่อสู้ของข้าในตอนนี้ได้ดียิ่งกว่า”

ต่งเออพยักหน้า “ช่วงนี้สำนักเต๋ารัฐไขปริศนาวิชาเต๋าชั้นสามระดับบนวิชาหนึ่งออกมาพอดี”

เขายื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง สะเก็ดไฟปรากฏออกมา

สะเก็ดไฟนั้นแคล่วคล่องว่องไวนัก เพียงบิดเล็กน้อยก็กลายเป็นดอกไม้เพลิงดอกหนึ่ง เบ่งบานอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา

ตัวต่งเออแม้จะเชี่ยวชาญวิชาเต๋าธาตุไม้ที่สุด แต่วิชาเต๋าธาตุไฟระดับต่ำ สำหรับเขาแล้วก็ไม่ได้ยากอะไร

เจียงวั่งสัมผัสได้ถึงความร้อนของดอกไม้เพลิงดอกนี้ แม้ว่ามันดูแล้วจะงดงามควบคุมง่ายก็ตามที

“บุปผาเพลิง” ต่งเอ่ออธิบาย “หลังจากที่จั่วกวงเลี่ยคิดค้นวิชา ‘บุปผาเพลิงเผาเมือง’ นี้ออกมา ทุกรัฐต่างมีคนพยายามลองตีความ สำนักเต๋ารัฐก็เพิ่งทำสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ ดอกไม้เพลิงดอกนี้ก็มาจากวิชาบุปผาเพลิงเผาเมือง เป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหมู่วิชาเต๋าชั้นสาม”

เจียงวั่งพอใจมากจนไม่อาจพอใจไปมากกว่านี้แล้ว หากไม่นับพวกอัจฉริยะมีพรสวรรค์ พูดจากในมุมหนึ่งแล้ว วิชาเต๋าชั้นสามเป็นขีดจำกัดสูงสุดของผู้บำเพ็ญระดับวัฏจักรดารา

วิชาเต๋าวิชานี้เป็นชั้นสามระดับบน หนำซ้ำยังเป็นดอกไม้เพลิง เป็นพื้นฐานของวิชาบุปผาเพลิงเผาเมือง

“อาจารย์ต่ง ข้าเลือกวิชานี้” เจียงวั่งตอบไปทันที

ต่งเออหยิบสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งออกมาโยนให้เจียงวั่ง “ข้างในนี้เป็นท่าปางมือ อืม ยังมีการวิเคราะห์วิชาเต๋าวิชานี้ของข้าอยู่ด้วย เจ้าเอากลับไปอ่านเองก็แล้วกัน หักแต้มเต๋าของเจ้าทั้งหมด”

หักแต้มเต๋าเป็นสิ่งที่ควรกระทำอยู่แล้ว สำนักเต๋าสอนวิชาเต๋าตามหลักสูตรบางอย่างให้โดยไม่เก็บค่าตอบแทน แต่วิชาเต๋าระดับบุปผาเพลิงย่อมไม่ได้อยู่ในหลักสูตร คนมากมายคิดหาวิธีหัวแทบแตกอยากจะแลกมา แต่ไม่มีอยู่บนกระดานแต้มเต๋าเลย

สำนักเต๋าเพิ่งไขปริศนาได้ ในตอนนี้ยังเผยแพร่อยู่ในบรรดาผู้แข็งแกร่งระดับต่งเออเท่านั้น เขายอมถ่ายทอดวิชาเต๋าวิชานี้ให้เจียงวั่ง จะเห็นได้ถึงการให้ความสำคัญ

หลังจากไปเมืองซานซาน แต้มเต๋าของเจียงวั่งก็เหลือไม่มากแล้ว ครั้งนี้ได้กำไรเน้นๆ

ต่งเออแม้จะเป็นคนเที่ยงธรรม มักจะดูเข้าหายาก แต่ความรักความห่วงใยที่มีต่อลูกศิษย์ไม่ใช่ของปลอม

เจียงวั่งรับสมุดเล่มเล็กมาอย่างนอบน้อม แล้วเก็บไว้ในอกเสื้อ

กล่าวตามหลักการ เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้บรรลุผลแล้ว เขาก็ควรกล่าวลาได้แล้ว

แต่เขากลับนั่งขัดสมาธิอีกรอบอย่างไม่รู้ตัว “อาจารย์ต่ง…”

“มีอะไรก็ว่ามา”

“ท่านรู้เรื่องที่…มีเผ่ามนุษย์ลักพาตัวเผ่าวารีไปเลาะชีพจรเต๋าหรือไม่” เจียงวั่งสังเกตสีหน้าต่งเอออย่างระมัดระวัง

ด้วยความรอบคอบของเขา เดิมทีไม่มีทางถามคำถามแบบนี้แน่ แต่ช่วงที่ผ่านมาต่งเออได้รับความไว้ใจจากเขาแล้ว

“แล้วอย่างไร” ต่งเออคิ้วไม่ขยับด้วยซ้ำ

“เรื่องเช่นนี้ ท่านไม่รู้สึกว่าน่ารังเกียจหรือ”

“ใครน่ารังเกียจ” ต่งเออมองเขาพลางพูดขึ้น “เผ่าวารีก็มีที่กินเผ่ามนุษย์เหมือนกัน เจ้ารู้หรือไม่ ให้ข้าเอาม้วนบันทึกของกรมอาญาให้เจ้าอ่านสักหน่อยไหม”

สายตาที่จับจ้องของต่งเออทำเอาเจียงวั่งรู้สึกกดดัน อึกอักในทันที

“เฮ้อ” ครั้นสังเกตเห็นความวิตกกังวลของเจียงวั่ง แววตาของต่งเออผ่อนคลายลง “พวกเราล้วนรู้ว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเหตุการณ์จำนวนน้อย ก็เหมือนกับเผ่ามนุษย์ มีปีศาจร้ายกินมนุษย์เหมือนกัน หรือนี่ก็บอกได้แล้วว่าเผ่ามนุษย์ทั้งหมดกินมนุษย์เป็นอาหาร?”

น้ำเสียงของเขาอ่อนลงเช่นกัน “แต่เรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวพันกับสองเผ่าพันธุ์ ปัญหามักไม่ง่ายดายแบบนั้น เรื่องประเภทนี้พูดยาก เผ่ามนุษย์กับเผ่าวารีจะแน่นแฟ้นเหมือนเป็นพวกเดียวกันอีกสักเท่าใด ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พวกเดียวกัน”

เจียงวั่งทำใจกล้าถามออกไป “ปัญหาคือตอนนี้ไม่ใช่เหตุการณ์น้อยครั้งแล้ว ข้าพบว่าคนของกรมอาญา…”

“บังอาจ!” ต่งเออตวาดเสียงดุดัน “นี่เป็นเรื่องที่เจ้าพูดได้หรือ”

สีหน้าของเขาเคร่งขรึม “เจียงวั่ง เจ้าจำเอาไว้ ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดของเจ้าคือตั้งใจฝึกฝน สร้างวงจรจักรวาลเล็กให้สมบูรณ์แบบ จากนั้นก็สอบเข้าสำนักเต๋าเขตปกครอง สอบเข้าสำนักเต๋ารัฐ ข้าไม่สนว่าเจ้าไปสืบข่าวนี้มาจากที่ไหน แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ลูกศิษย์สำนักเต๋าประจำเมืองอย่างเจ้าควรจะไปยุ่ง!”

“ขอรับ” เจียงวั่งก้มหน้ารับผิด “ศิษย์เข้าใจแล้ว”

……

ยังคงเป็นถ้ำที่ปูด้วยกระดูกขาวแห่งนั้น เวลานัดหมายผ่านไปนานมากแล้ว แต่โครงกระดูกบนบัลลังก์กระดูกขาวกลับไม่ปรากฏตัว

“ต้องรออีกนานแค่ไหนกัน” เมี่ยวอวี้ยังสวมชุดแดงทั้งร่าง แต่สีหน้าค่อนข้างหมดความอดทน

“แยกย้ายกันไปเถอะ” ทูตกระดูกขาวกล่าวขึ้น “ผู้อาวุโสใหญ่ต้องมีเรื่องอะไรรั้งไว้แน่ วันนี้คงไม่ปรากฏตัวแล้ว”

“ฮิๆๆๆ…” วันนี้ในถ้ำมีคนชราร่างผอมแห้งเพิ่มมาคนหนึ่ง ตำแหน่งเห็นได้ชัดว่าไม่ต่ำกว่าทูตและธิดาเทพเลย เขาหันหน้าไปทางบัลลังก์กระดูก ประสานมือเอ่ยว่า “เขามีภาพมายาด่านประตูผี จะมีเรื่องอะไรรั้งเขาไว้ได้”

“ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้เคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่รัฐอวิ๋นหรอกหรือ” เสียงของทูตกระดูกขาวแฝงนัยขบขัน “รัฐอวิ๋นมีอะไร ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า ผู้อาวุโสสอง”

ธิดาเทพหนึ่งคน ทูตหนึ่งคน ผู้อาวุโสสามคน และสิบสองหน้ากระดูกเป็นตัวแทนพลังระดับสูงของสำนักกระดูกขาวในตอนนี้

ถ้าพูดจากตำแหน่ง ธิดาเทพอยู่เหนือผู้ใด แต่หากพูดถึงพลังแท้จริง คนที่เป็นผู้ตัดสินใจในสำนักกระดูกขาวตอนนี้คือผู้อาวุโสใหญ่

ผู้อาวุโสสามสังเวยตัวเองกลายเป็นภาพมายาด่านประตูผี ตอนนี้หากบอกว่าในสำนักมีใครต่อกรกับผู้อาวุโสใหญ่ได้ละก็ เช่นนั้นก็เป็นผู้อาวุโสสอง

“ฮิๆๆๆๆ…” ผู้อาวุโสสองหัวเราะน่าขนลุก “หรือเยี่ยหลิงเซียวจะออกจากการปิดด่านแล้ว ข้าไม่เห็นเขาลงมือมาหลายปี ไม่รู้ว่ากระดูกของเขาผุไปแล้วหรือยัง”

“เช่นนั้นผู้อาวุโสสองมิสู้ไปลองดูสักหน่อย” เมี่ยวอวี้ยิ้มพลางกล่าวย้อนประโยคหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ “ในเมื่อผู้อาวุโสใหญ่มาไม่ได้ ข้าก็ขอตัวก่อน”

“รีบอะไรกัน ท่านธิดาเทพ” ผู้อาวุโสสองหันหน้ามา มุมปากอมยิ้ม ในดวงตาคู่นั้นมีเพียงสีขาว

เมี่ยวอวี้แย้มยิ้มอย่างงดงาม “ข้าจะรีบกลับไปสอบปากคำคนทรยศ”

“เอ๋?” ผู้อาวุโสโบกมือ หัวเราะเสียงประหลาด “ไปเถอะๆ”

……

ทูตกระดูกขาวรีบตามมาไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามเมี่ยวอวี้ทัน พูดด้วยอย่างสนิทสนมว่า “ยังกล้าพูดว่าเยี่ยหลิงเซียวกระดูกผุไปแล้วหรือยัง เยี่ยหลิงเซียวอายุน้อยกว่าเขาตั้งเยอะ! ไอ้แก่ตายยากคนนี้ พูดอย่างกับว่าพวกเขาเคยประมือกันอย่างนั้นแหละ! มีใครไม่รู้บ้างว่าตอนที่เยี่ยหลิงเซียวเดินทางไปทั่วปฐพี อาจารย์กับศิษย์พี่ของเขาถูกสังหาร เขาแกล้งตายถึงได้รอดชีวิตมาได้”

เขาพลันเปลี่ยนเรื่อง “แต่ว่าเจ้าเองก็เหมือนกัน เขาจะโอ้อวดก็ปล่อยไป แค่กระดูกแก่ๆ กองหนึ่ง จะคิดเล็กคิดน้อยกับเขาทำไม”

เมี่ยวอวี้ปรายตามองเขา “ทำไมเจ้าเหมือนผู้หญิงปลิ้นปลอกพวกนั้นไม่มีผิด พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด แล้วก็…อย่าเข้ามาใกล้ข้าขนาดนี้ ไม่ได้สนิทกัน”

“โอ๊ะ เมี่ยวอวี้ เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก่อนเจ้าไม่ได้มีท่าทีแบบนี้กับข้า พอมีรักใหม่ก็ลืมรักเก่า…” ทูตกระดูกขาวเข้ามาใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกดเสียงพูดต่ำลง “เจ้าหาผู้สืบทอดมรรคาเจอแล้วใช่หรือไม่”

เมี่ยวอวี้พลันสะบัดหน้ามา

ทูตกระดูกขาวกระโดดหลบไปไกลทันที พร้อมตั้งท่าเตรียมป้องกัน

แต่เมี่ยวอวี้กลับหัวเราะขึ้นมาอย่างทรงเสน่ห์

“ข้าก็อยากจะทำดีกับเจ้าสักหน่อย ดีขนาดไหนก็ได้ แต่เจ้ากล้ารับหรือไม่เล่า”

ดวงตายั่วยวนกระชากวิญญาณ เสียงอ่อนหวานนุ่มหู

“เฮ้อ!” ทูตกระดูกขาวตบมือ “เช่นนี้สิถึงจะถูก! ซ่อนคนรักตัวน้อยของเจ้าให้ดี อย่าให้ใครเจอเข้าล่ะ…”

เขาพูดด้วยรอยยิ้มจบ ก็ถือโอกาสก้าวถอยหลัง แล้วจึงหายไปจากในถ้ำ

………………………………………………………