บทที่ 24 ภาพลวงตาฉากนี้

บุหลันเคียงรัก

“ข้าบอกแล้วอย่างไร ว่าเจ้าแค่อยากทำลายทุกอย่าง” กู่ถิงคำรามอย่างโกรธแค้น “เจ้าอำมหิตแบบนี้ ไม่กลัวทัณฑ์สวรรค์หรืออย่างไร?!”

 

 

“ไม่กลัว” เสวียนอี่ยิ้มบาง “เพราะข้าไม่ได้ทำ ศิษย์พี่กู่ถิง แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว พวกท่านทุกคนล้วนอาวุโสกว่าข้า เป็นศิษย์ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านอาจารย์มานานกว่าข้าเช่นกัน อยากรู้อะไรก็ต้องถามตัวเจ้าของเรื่องเองไม่ใช่หรือ เสียแรงที่มีท่านอาจารย์คอยชี้แนะมาโดยตลอด แล้วหลักคุณธรรมของท่านเล่า”

 

 

“เจ้า…” กู่ถิงเสียการควบคุม พลังเทพพลุ่งพล่าน ราวกับว่าต้องการหาวิธีล้วงความจริงจากดวงตาเยือกเย็นไม่รู้สึกรู้สาคู่นั้น

 

 

ไม่ดีแล้ว แบบนี้ต่อไปในไม่ช้าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่

 

 

ไท่เหยาขมวดคิ้ว สั่งการเสียงเบา “จื่อซี เจ้าพาศิษย์น้องหญิงออกไป ฝูชาง หากกู่ถิงต้องการลงมือเจ้าขวางเขาไว้ได้เลย”

 

 

จื่อซีก้าวขึ้นหน้าทันที ให้เสวียนอี่หลบอยู่ข้างหลัง ขมวดคิ้วมองกู่ถิง เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ศิษย์น้องกู่ถิง ใจเย็นสักนิดเถิด! ปุถุชนในโลกเบื้องล่างล้วนรู้ว่าการลงโทษผู้บริสุทธิ์นั้นเป็นการใส่ร้าย นับประสาอะไรกับเจ้าและข้าที่เป็นเทพเบื้องบน”

 

 

นางโอบไหล่เสวียนอี่ ต้องการพาตัวหญิงสาวไปจากสวนดอกไม้ทิศใต้ ใครจะนึกว่าองค์หญิงจู๋อินจะจับมือของนางไว้ เอ่ยขึ้นเสียงอ่อน “ศิษย์พี่หญิง ข้ายังดูไม่จบเลยนะเจ้าคะ”

 

 

จื่อซีโกรธอย่างที่สุด ในหัวของนางตกลงมีเรื่องอะไรอยู่บ้าง?!

 

 

“กู่ถิงรึ”

 

 

ทันใดนั้นเองเสียงฟูหลัวก็ดังขึ้นจากริมทะเลสาบ สายตาของเหล่าทวยเทพหันขวับไปจ้องที่นาง เห็นได้ชัดว่านางไม่รู้เรื่อง มองไปรอบๆ ตัวพลางเดินตรงเข้ามา มองเหตุการณ์อันตึงเครียดเบื้องหน้าด้วยสงสัย แล้วยังสบเข้ากับดวงตาแดงก่ำของกู่ถิงอีก นางจึงเอ่ยถามเสียงเบา “…เจ้าเป็นอะไรไป”

 

 

สายตาของกู่ถิงจ้องนางอย่างอึ้งงัน ตรงช่วงเอวของนางประดับดอกจวินอิ๋งเฉ่า[1]สีขาวเอาไว้งอย่างอึ้งงัน กระโปรงสีขาวประดับสีขาวเอาไว้ เป็นดอกไม้ที่เมื่อก่อนเขามอบให้นางกับมือ มีทั้งหมดสิบแปดดอก ทว่ายามนี้เหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว

 

 

ถูกแล้ว ชายหนุ่มเห็นด้วยตนเอง นางกับเซ่าอี๋มีปากเสียงกัน ดอกไม้สีขาวเหล่านั้นแตกออกเป็นชิ้นๆ ร่วงลงมาจากกระโปรงของนางราวกับหิมะตก

 

 

จู่ๆ ชายหนุ่มก็ยิ้ม ก่อนจะถอยหลังสองก้าว “เมื่อครู่เจ้าไปที่ใด”

 

 

ฟูหลัวตะลึงงันไปเล็กน้อย “ข้า…ข้าไปคุยกับเซ่าอี๋เรื่องธุระที่ท่านอาจารย์ใช้ให้ไปทำเมื่อวาน”

 

 

“เซ่าอี๋? “ กู่ถิ่งยิ่งยิ้มกว้างขึ้น “เมื่อครู่เจ้าอยู่กับเซ่าอี๋หรือ”

 

 

ฟูหลัวเม้มปาก มองไปรอบด้านอย่างหวาดระแวง มองเหยียนสยาที่น้ำตานองหน้าเป็นอย่างแรก ใจนางก็หล่นวูบ ครั้นมองไปยังสายตาของพวกจื่อซีกับไท่เหยาที่มองตอบนางอยู่ สายตาเหล่าศิษย์ทั้งหมดที่คล้ายกำลังดูเรื่องบันเทิง อีกทั้งแววตาเยาะหยันของเสวียนอี่ นางพลันใจหายวาบทันที

 

 

“องค์หญิงเสวียนอี่พูดอะไรกับเจ้า” ฟูหลัวบังคับตนให้สงบ “กู่ถิง ระยะเวลาที่เราหมั้นหมายกันนั้นยาวนานกว่าที่ได้รู้จักกับองค์หญิงองค์นี้เสียอีก เจ้ากลับเชื่อคนแปลกหน้าอย่างนี้ แต่ไม่เชื่อข้าหรือ ข้ากับเซ่าอี๋ล้วนบริสุทธิ์ใจ ที่ผ่านมาไม่มีอะไรแอบแฝง ข้าย่อมไม่มีอะไรที่ต้องละอายแก่ใจ “

 

 

กู่ถิงจ้องนางตรงๆ มองราวกับคนที่ไม่รู้จัก

 

 

“ไม่มีใครพูดว่าเจ้ากับเซ่าอี๋เป็นอย่างไร” เสียงเขาต่ำถึงขีดสุด “ไม่ต้องมาบอกข้า เจ้าทายถูกแล้ว”

 

 

ฟูหลัวตกตะลึง น้ำตารินไหลลงมา น้อยใจเป็นที่สุด “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน เจ้ายังเคลือบแคลงในตัวเขาอย่างนั้นหรือ หลังจากหมั้นหมายกันเราก็อยู่ด้วยกันมาตลอด ข้านิสัยเป็นอย่างไร เจ้าไม่รู้เลยหรือ”

 

 

กู่ถิงพยักหน้าอย่างเศร้าสร้อย “ไม่ผิด ข้าเชื่อใจที่นี่มากเกินไป หลักความเมตตาที่อาจารย์สอนพวกเรา ทำให้ข้าเชื่อมั่นว่าศิษย์ทุกคนล้วนเป็นปัญญาชน คิดว่าเจ้าเป็นคนรู้ใจ คิดไม่ถึงว่าคนที่โง่ที่สุดคือข้า…ฟูหลัวข้าจะถามเจ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เจ้ากับเขา เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

“ข้าจะไม่อธิบายอะไรกับเจ้าอีก คนบริสุทธิ์ก็คือคนบริสุทธิ์! “

 

 

กู่ถิงหน้าซีดเผือด ส่ายหัวช้าๆ “…เห็นแก่ที่ข้าดูแลเจ้าอย่างดีมาโดยตลอด บอกความจริงกับข้ามาเถอะ”

 

 

ฟูหลัวยกแขนเสื้อบังหน้า ไม่ตอบอะไรสักคำ หันตัวกลับเตรียมเดินจากไป ที่ด้านหลังเหยียนสยาผู้เงียบมาตลอดจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่หญิงฟูหลัว บทสนทนาของท่านกับเซ่าอี๋เมื่อครู่ ล้วนถูกศิษย์น้องเสวียนอี่นำมาทำเป็นม่านหมอกลวงตาส่งมาที่ทะเลสาบเหอเกอ…ท่าน ท่านเห็นศิษย์พี่กู่ถิงเสียใจขนาดนี้แล้ว จะตอบเขาตามตรงได้หรือไม่”

 

 

ฟูหลัววางแขนเสื้อลง จ้องเสวียนอี่ด้วยสีหน้าถมึงทึง

 

 

เสวียนอี่ก้มหน้าลงยิ้ม เอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ช้าก่อน อย่าพูดราวกับว่าข้าทำจริงๆ สิ เอาอย่างนี้แล้วกัน เรียกท่านอาจารย์ออกมา ให้ท่านช่วยดูหน่อยว่า ตกลงใครเป็นคนทำกันแน่”

 

 

พอพูดออกไป เหยียนสยาเอ่ย “อา” ออกมาคำหนึ่ง แล้วจึงรู้สึกตัวว่าเสียกิริยาอีกครั้ง จึงรีบก้มหน้า เอ่ยเสียงแผ่ว “เรื่องแบบนี้… ทำไมต้องรบกวนท่านอาจารย์ด้วย อีกทั้งไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร…ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็สุขภาพไม่ดีนัก”

 

 

เสวียนอี่หันไปมองนาง “ข้าไม่เป็นสุขนักหรอกที่ถูกใส่ร้าย แม้จะมีของว่างเพิ่มอีกก็ยังไม่พอ”

 

 

เหยียนสยาหน้าซีด กัดริมฝีปากล่างอย่างแรง พูดตะกุกตะกัก “เจ้า เจ้าหมายความว่าอย่างไร…เหตุใดต้องรบกวนท่านอาจารย์ด้วย ศิษย์พี่กู่ถิงยังสะเทือนใจไม่มากพออีกหรือ เจ้ายังจะเอาเกลือมาราดปากแผลเขาอีกหรือไร”

 

 

“พูดได้ไม่เลว” เสวียนอี่ยิ้มสนุกสนาน “เรื่องเอาเกลือมาทาแผลแบบนี้ ข้าชอบที่สุด”

 

 

เหยียนสยากระทืบเท้าอย่างร้อนใจ “อย่าไป! ไม่ต้องไปหาท่านอาจารย์! “

 

 

“ทำไม” เสวียนอี่ถาม

 

 

บนหน้าผากของเหยียนสยาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ทว่ากลับบอกเหตุผลที่สมเหตุสมผลไม่ออก ฟูหลัวผู้อยู่ด้านข้างเห็นความผิดปรกติทันที เอ่ยขึ้นเสียงดุดัน “เหยียนสยา! เป็นเจ้าที่ปล่อยเรื่องพวกนี้?! เจ้ากับข้าไม่มีความแค้นต่อกัน ทำไมถึงต้องทำร้ายข้าด้วย?! “

 

 

เหยียนสยากัดฟัน พยายามทำใจสงบ พูดเสียงเย็น “ท่านทำอะไรไว้ท่านย่อมรู้แก่ใจ”

 

 

ฟูหลัวรับวิ่งมาเบื้องหน้านาง น้ำเสียงแหบพร่า “ข้ารู้ว่าเจ้าผูกใจกับเซ่าอี๋ เขาก็มีท่าทีแบบนี้กับทุกคน ในใจเจ้าไม่มีความสุข แต่กลับต้องการทำร้ายข้า ข้ากับเจ้าเป็นศิษย์ด้วยกันนับพันปี เจ้าไม่แม้แต่จะคิดถึงมิตรภาพ คำสอนท่านอาจารย์ กล้าทำเรื่องชั่วช้าถึงเพียงนี้ออกมาได้! “

 

 

เหยียนสยารีบเอ่ยขึ้น “ท่านพูดอะไร! ท่านหมั้นอยู่กับศิษย์พี่กู่ถิงแท้ๆ กลับไปยุ่งกับเซ่าอี๋อีก! ส่วนข้านั้นชอบเซ่าอี๋ แต่ข้ากับเขาล้วนไม่มีพันธะอะไรทั้งคู่ ข้าจึงทำได้อย่างผ่าเผย! ท่านเล่า?! ท่านเอาศิษย์พี่กู่ถิงไปไว้ที่ใด?! “

 

 

ดูแล้วพวกนางสองคนคงต้องการทะเลาะกันยกใหญ่ เสวียนอี่ยกชาขึ้นจิบอีกครั้ง กลับไปนั่งดูเรื่องบันเทิงต่อ

 

 

กู่ถิงสีหน้าไร้ชีวิตชีวา ตะลึงงันอยู่นาน มองไปที่รอบตัว เหยียนสยากับฟูหลัวทะเลาะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร นอกจากไท่เหยา จื่อซี และฝูชาง คนอื่นล้วนจับตาดูศิษย์ร่วมสำนักราวกับดูละครสนุกมิปาน

 

 

จู่ๆ เขาถอนหายใจยาว หันกลับไปมองเสวียนอี่อย่างลึกซึ้ง

 

 

“ข้าฉุนเฉียวไปแล้วจริงๆ อย่างแรกสำหรับการที่ถูกทรยศ อย่างที่สองสำหรับฝันอันงดงามที่แตกสลาย องค์หญิงเสวียนอี่ ข้ายังต้องขอบใจเจ้า ทำให้ข้าเห็นความจริงทั้งหมด”

 

 

พูดจบ ชายหนุ่มหันหลังออกจากสวนดอกไม้ทิศใต้อย่างไร้ซึ่งความลังเล

 

 

เหล่าศิษย์ส่งเสียงเอะอะแบ่งออกเป็นกลุ่ม ไท่เหยามองเสวียนอี่อย่างจนใจ เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ศิษย์น้อง เหตุใดจึงต้องทำจนเรื่องเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ด้วย”

 

 

“หมายความอะไร” เสวียนอี่ดื่มชาก่อนจะถาม

 

 

“พวกเราเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักท่านอาจารย์ เชื่อในสรรพวิทยาต่างๆ เชื่อในคำสอนของท่านอาจารย์ หมื่นปีที่ผ่านมาศิษย์ร่วมสำนักมิตรภาพแน่นแฟ้น เจ้าทำลายความเชื่อใจเหล่านี้ นี่มันโหดร้ายเกินไปหน่อยแล้ว”

 

 

เสวียนอี่แปลกใจ “นี่เกี่ยวอะไรกับข้า พวกนางไม่เชื่อในคำสอนท่านอาจารย์ ก็ความผิดข้างั้นหรือ ข้าเพิ่งมาได้แค่สองวันเท่านั้น”

 

 

ไท่เหยาอ้าปากค้าง ที่นางพูดจริงๆ แล้วก็ถูก อันที่จริงในตำหนักหมิงซิ่งแห่งนี้ก็คือคลื่นน้ำซัดสาดหลากหลายรูปแบบ ราวกับน้ำแกงหม้อหนึ่งที่ต้มจนใกล้จะแห้ง เสวียนอี่เพียงแค่เหยาะเกลือใส่ลงไปเท่านั้น ชายหนุ่มไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโทษนาง

 

 

เขาเคยคิดว่าสักวันหนึ่งตำหนักหมิงซิ่งจะต้องไม่สงบอีกต่อไป กลับไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้ ซ้ำร้ายเหตุการณ์ยังเลวร้ายถึงเพียงนี้อีก

 

 

หันกลับไปมองเหยียนสยากับฟูหลัว เทพธิดาผู้งามสง่าทั้งสองวิวาทกันจนใกล้จะเริ่มลงไม้ลงมือกันแล้ว ไท่เหยาส่ายศีรษะ เอ่ยขึ้นเสียงดัง “พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! น่าเกลียดจริงๆ! วิวาทกันจนอยู่ในสภาพนี้ ทำไมกลายเป็นแบบนี้ได้! ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อท่านอาจารย์ ให้ท่านตัดสินว่าจะจัดการอย่างไร แยกย้ายกันไปก่อนเถอะ! “

 

 

ไม่มีเรื่องบันเทิงให้ดูแล้ว

 

 

เสวียนอี่รู้สึกเสียดายที่สุด อดไม่ได้จะวนเวียนอยู่แถวนั้นสักพัก รอจนเทพธิดาทั้งสองที่เกือบทะเลาะกันอีกครั้งค่อยๆ จากไป นางจึงเดินกลับไปช้าๆ

 

 

พอกลับถึงตำหนักน้ำแข็ง กลับพบว่าหน้าตำหนักมีเทพบุตรในชุดหรูหรานั่งอยู่บนเก้าอี้น้ำแข็ง กำลังใช้มือเท้าคางพลางมองไปยังกองหิมะมากมายนับไม่ถ้วนและพวกดอกไม้ใบหญ้าโดยรอบด้วยสายตาเบื่อหน่าย

 

 

พอได้ยินเสียงเสวียนอี่กลับมา ชายหนุ่มจึงหันมาหา มองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

 

 

“เจ้าปลาดุกอุยน้อย เจ้าทำเรื่องนี้ได้ไม่งามเลยจริงๆ “

 

 

 

 

 

 

[1]จวินอิ๋งเฉ่า  หรือ ดอกลิลลี่แห่งหุบเขา (Lily of the Valley) มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Convallaria majalis ตัวดอกมีขนาดเล็กเป็นรูปทรงเหมือนระฆังเล็กๆ สีขาว เรียงอยู่บนก้านดอก มีกลิ่นหอมหวาน