บทที่ 363 จดหมายอำลาบนหมอน

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

นางเงยหน้าขึ้นก็สบสายตาที่อิ๋งซื่อมองมาพอดี เหมือนว่าจะเห็นน้ำแข็งที่หลอมละลายในดวงตาที่เย็นเยียบอยู่เสมอ ทว่าเพียงพริบตาเดียวมันก็หายไป

ซ่งชูอีเงยหน้าดื่มสุรารวดเดียวหมด

นับตั้งแต่ที่ซางจวินเปลี่ยนกฎหมาย รัฐฉินก็ยึดมั่นในการปกครองรูปแบบมัธยัสถ์ ยกเลิกธรรมเนียมงานเฉลิมฉลองชัยชนะแต่จะตบรางวัลอย่างเป็นทางการแทน สัมผัสแห่งความอบอุ่นที่สุดอย่างเดียวที่เหลืออยู่ก็คืองานเลี้ยงที่กษัตริย์มอบให้ แต่งานเลี้ยงนี้ไม่ใช่งานเลี้ยงขนาดใหญ่ หากแต่องค์จวินจะส่งมอบงานเลี้ยงไปยังจวนของท่านแม่ทัพแต่ละคนและปล่อยให้พวกเขาได้ฉลองเป็นการส่วนตัว แม้ปากจะบอกว่าเป็นงานเลี้ยงแต่ก็มีอาหารชั้นยอดเพียงไม่กี่อย่าง ทว่าสิ่งที่ทุกคนหวงแหนไม่ใช่อาหารเหล่านี้ หากแต่เป็นความรุ่งโรจน์

“ลูกกวางเฝิงเจ๋อ อุ้งตีนหมี นกพิราบย่าง…” ซ่งชูอีมองดูรอบหนึ่ง ทั้งหมดมีกับข้าวเก้าอย่าง

“กั๋วเว่ย นี่เป็นอาหารที่ท่านอ๋องสั่งเป็นพิเศษให้ท่านกับแม่ทัพเจ้า คนอื่นไม่มีนะขอรับ!” เด็กรับใช้วางบะหมี่น้ำสองชามบนโต๊ะอาหาร

ซ่งชูอียิ้มพลางหยิบตะเกียบพลางเอ่ยด้วยความยินดี “ไม่มีอะไรคุ้มค่าไปกว่านี้อีกแล้ว!” ซ่งชูอีอดใจรอที่จะชิมคำหนึ่งไม่ไหว กล่าวด้วยความคลุมเครือ “อืม อร่อยจริงๆ กว่าจะส่งออกมาจากวังก็มีอย่างน้อยหนึ่งเค่อแต่ยังคงมีรสชาติ! บัดนี้ฟ้ามืดแล้ว เจ้านำคำขอบคุณของข้าไปทูลฝ่าบาทก่อน พรุ่งนี้ข้าจะไปขอบพระทัยฝ่าบาทอีกครั้ง”

“ขอรับ บ่าวขอตัว” เด็กรับใช้กล่าว

“อืม อืม” บะหมี่เต็มปากซ่งชูอี นางไม่ได้เจียดพลังงานตอบคำถามเขาเลยเพียงแต่ตอบส่งๆ ไปสองคำ

ซ่งชูอีสนับสนุนสกุลเจิน เจินจวิ้นใช้เวลาทั้งหมดเพื่อพยายามค้นหาสิ่งดีๆ มาประเคนให้นาง เกรงว่าสิ่งมีชีวิตที่บินอยู่บนท้องฟ้าที่วิ่งอยู่บนบกหรือที่ว่ายอยู่ในน้ำกินอาหารมากกว่าอิ๋งซื่อเสียอีก สิ่งที่นางหวงแหนไม่ใช่อุ้งตีนหมีหรือเนื้อกวางทว่านางชอบกินบะหมี่มาก โดยเฉพาะบะหมี่น้ำ เมื่อเดินทัพอยู่ข้างนอกส่วนใหญ่ก็ต้องกินแป้งทอด ต่อให้มีบะหมี่น้ำเป็นครั้งคราว ทว่ารสชาติของผู้ชายหยาบๆ ในกองทัพเหล่านั้นไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นอย่างไร!

เจ้าอี่โหลวผลักอีกชามไปให้นาง “เจ้าก็กินชามนี้ด้วยเถิด”

เจ้าอี่โหลวไม่รู้ว่าซ่งชูอีไม่เข้าใจความรู้สึกของอิ๋งซื่อหรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ เขารู้เพียงว่าเพราะอิ๋งซื่อนึกถึงใบหน้าของซ่งชูอีก่อนที่จะเพิ่มบะหมี่น้ำให้อีกชาม หากเขากินเข้าไปจริงๆ คงต้องจุกอกตายแน่ๆ

ซ่งชูอีก็ไม่เกรงใจ กินหมดไปสองชามใหญ่ เช็ดปากด้วยผ้าเช็ดหน้าและนอนแผ่บนตั่งอย่างพึงพอใจ

เจ้าอี่โหลวมองนางอย่างไม่มีความสุข ลุกขึ้นออกไป

“เจ้าจะไปไหนน่ะ?” ซ่งชูอีถาม

“อาบน้ำ!”

“เพิ่งอาบไม่ใช่รึ?”

“อาบไม่สะอาด!”

“เป็นบ้าอะไรอีก” ซ่งชูอีพิจารณา ตัวเองก็ไม่ได้ยั่วโมโหเขานี่นา!

หนิงยาเตือนสติเสียงเบา “ท่านเจ้าคะ ท่านแม่ทัพโมโหที่ท่านพอใจรางวัลของท่านอ๋องเพียงนี้”

ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “พอใจกับรางวัลของฝ่าบาทมันผิดตรงไหน!”

“ท่านอ๋องก็เป็นผู้ชาย” หนิงยาเคยสับสนระหว่างชายและหญิง อย่างไรก็ตามนางถูกเลี้ยงดูมาอย่างเด็กผู้หญิงตั้งแต่เด็ก ความสามารถในการเข้าใจแง่นี้ก็ยังเทียบซ่งชูอีไม่ติด ทว่าด้วยอายุที่มากขึ้น ได้เห็นอะไรมากขึ้น นางก็เริ่มตระหนักรู้อย่างง่ายดายแล้ว

“จิ๊ เจ้าคนใจแคบ! หากเขาจะพอใจงานเลี้ยงของหวังโฮ่ว ข้าก็จะไม่โกรธเลย” ซ่งชูอีพิงพนักแขนอย่างเกียจคร้านพร้อมกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวก็หายแล้ว”

ทันใดนั้นหนิงยาก็เข้าใจเจ้าอี่โหลว “อย่างไรท่านก็ไปดูเสียหน่อยเถิด ท่านแม่ทัพไม่ใช่คนใจแคบ กล่าวง้อสักสองสามคำรับรองว่าหายโกรธแน่เจ้าค่ะ”

“จริงรึ?” ซ่งชูอีแคะฟันพลางถาม

“เจ้าค่ะ ท่านอย่ากล่าวอะไรที่ทำให้เขาโมโหอีกเป็นพอ” หนิงยาเป็นห่วง

ซ่งชูอีครุ่นคิดครู่หนึ่ง พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา ตบหน้าแล้วป้อนพุทราหวานทีหลัง ก็เป็นทางออกเหมือนกันจึงกล่าวว่า “ก็ได้ ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง”

ไม่ใช่ว่านางไม่สนใจความรู้สึกของเจ้าอี่โหลว เพียงแต่ก่อนหน้านี้นางคิดว่าการปล่อยให้เขาคิดได้ด้วยตัวเองเป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่คิดจะไปป้อนพุทราหวานเขาจริงๆ แต่ในเมื่อมันสามารถทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้ นางก็ไม่ใช่คนที่ปล่อยวางไม่ได้

ท้องฟ้าสีครามดุจหยกใส แพรวพราวนับหมื่นลี้ น้ำค้างแข็งขาวชั้นบางๆ ตกอยู่บนหลังคาและส่องแสงเป็นประกายท่ามกลางแสงจันทร์

ภายในนครอวี้ฉวีเหมือนตอนกลางวัน ม้าสีดำตัวหนึ่งวิ่งอยู่บนถนนหลวงแห่งนครเสียนหยางแล้วหยุดลงหน้าจวนหลังหนึ่ง

“ยู้ด…” คนรูปร่างบอบบางกระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว เคาะประตูใหญ่ด้วยแส้ม้า

หลังจากนั้นไม่นาน ประตูด้านข้างก็เปิดช่องว่างพร้อมส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด คนในจวนสำรวจนางก่อนที่จะรีบออกมาคำนับ “องค์หญิง”

“ข้ามีเรื่องด่วนต้องการพบแม่ทัพจี๋” อิ๋งสี่สวมชุดสีดำทะมัดทะแมง ผมถูกมัดเป็นหางม้าเรียบๆ อยู่ด้านหลังศีรษะ ทั้งยังหอบสัมภาระห่อใหญ่ไว้ในอ้อมแขน

อิ๋งสี่เข้าออกจวนท่านแม่ทัพเป็นประจำ เด็กในจวนเคยชินนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่พูดพร่ำทำเพลง เปิดประตูหลักให้นางเข้าไป

นางเดินเข้าไปในลาน เห็นร่างที่แข็งแรงและสูงใหญ่ยืนอยู่ที่ลานเหมือนอนุสาวรีย์

เมื่อได้ยินเสียง จี๋อวี่ก็หันไปมอง เขามีรูปโฉมล้ำลึก คิ้วโก่งของเขาทอดเงาอยู่บนดวงตาภายใต้แสงจันทร์ ซ่อนเร้นความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ “เหตุใดถึงยังไม่กลับเสียนหยางอีก?”

“ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้า” อิ๋งสี่เอ่ย

เงียบไปสักพัก จี๋อวี่ก็พยักหน้า

“รอข้าก่อน” อิ๋งสี่ยิ้มมีเลศนัย หอบสัมภาระวิ่งเข้าไปในบ้าน

จี๋อวี่มองดูแผ่นหลังของนาง ในใจรู้สึกมืดมน บัดนี้เขาย่างเข้าอายุสี่สิบแล้ว ไม่ใช่ดาวรุ่งเหมือนกับเจ้าอี่โหลว และไม่ได้มีผลงานเยี่ยมยอดเหมือนกับซือหม่าชั่ว รัฐฉินไม่คุ้มที่จะเสียสละองค์หญิงผู้สูงศักดิ์เพื่อมัดตัวเขา

จี๋อวี่ได้รับคำสั่งให้ปราบปรามอี้ฉวี แม้ว่าอิ๋งสี่จะทิ้งศักดิ์ศรีและตามเขามา ทว่านางก็จดจำได้เสมอว่าตนคือองค์หญิงแห่งต้าฉิน เข้าใจว่าการติดตามชายคนรักจะถูกยอมรับโดยชาวฉินที่มีนิสัยอบอุ่นและอิสระเสรี ทว่าการอยู่กินกับคนที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามนับว่ากำลังดูถูกเกียรติยศแห่งอิ๋งฉินอย่างยิ่ง!

และจี๋อวี่ก็ไม่สามารถดูถูกความรักอันบริสุทธิ์นี้

“อวี่” เสียงที่ชัดเจนของอิ๋งสี่ขัดจังหวะความคิดของเขา

เขาหันกลับมาและเห็นผู้หญิงในชุดสีแดงคนหนึ่ง สีดำและสีแดงเป็นสีที่สูงส่งและเคร่งขรึมที่สุดในรัฐฉิน แต่มันกลับดูอบอุ่นและมีเสน่ห์เมื่ออยู่บนตัวของนาง สะท้อนให้เห็นใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและชาญฉลาด งดงามจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจ

อิ๋งสี่ยิ้มเอ่ย “เป็นอย่างไรบ้าง ดูจนตะลึงเลยสิ เสื้อผ้าชุดนี้เป็นชุดที่เสด็จแม่เตรียมไว้สำหรับพิธีจี๋จีของข้า”

นางเดินลงมาจากบันได แสงจันทร์ปกคลุมไหล่ราวกับผ้าโปร่งแสง

จี๋อวี่พยายามข่มความรู้สึกของตัวเองไว้ “องค์หญิง”

อิ๋งสี่หยุดเดิน ก้าวไปข้างหน้าทันทีและจับมือเขา “อวี่ อย่าห่างเหินเพียงนี้ การใส่ชุดนี้ไม่ใช่เพราะต้องการแสดงตัวตนกับเจ้า ชุดของข้านี้น่ะ มีไว้สำหรับผู้ชายที่ข้าชอบเท่านั้น”

จี๋อวี่หัวใจเต้นแรง จากนั้นความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกอบอุ่นและด้านชาแพร่ออกมาจากฝ่ามือ นอกจากนี้ยังมีความเจ็บปวดอย่างสุดจะพรรณนา

อิ๋งสี่ยื่นมือโอบเอวของเขา “ตระกูลอิ๋งฉินล้วนหัวรั้น เมื่อมั่นใจกับคนหนึ่งแล้วก็จะมั่นใจไปชั่วชีวิต หรือแม้แต่ฝังอยู่ในใจของข้าต่อจากนี้ ทันทีที่ฟ้าสว่างข้าก็จะกลับเสียนหยางแล้ว ต่อจากนี้เจ้ากับข้าก็จะไม่มีวันได้เจอหน้ากันอีก อย่างไรเสียก็ดื่มกับข้าให้สำราญใจสักครั้งเถิด!”

“ได้” จี๋อวี่ไม่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการพูดคำนี้

ดวงจันทร์สว่าง สายลมในฤดูใบไม้ผลิกำลังพัดมา ดอกท้อสองสามต้นในสวนหลังบ้านร่วงหล่นกระจายเต็มพื้นไปตามสายลม

ทั้งสองนั่งบนก้อนหินริมสระว่ายน้ำและดื่มเงียบๆ

กลิ่นหอมของดอกท้อและสุราดึงดูดปลาสองสามตัวเข้ามา

“เจ้าดูสิ ปลาน้อยก็เมามายแล้ว” อิ๋งสี่ชี้ไปยังปลาที่ว่ายเป็นวงกลมพร้อมหยอกล้อกลีบดอกท้ออยู่ในบ่อ

จี๋อวี่หันไปมอง ริมฝีปากอ่อนนุ่มที่เย็นยะเยือกประกบริมฝีปากของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว

ปลายลิ้นหอมหวานกวาดสำรวจเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะเปิดริมฝีปาก จากนั้นกระแสสุราอุ่นๆ ก็เล็ดลอดเข้ามา

ตามลิ้น ทำให้ทั้งตัวของเขาลุกเป็นไฟ ความรู้สึกทั้งหมดพุ่งตรงไปยังท้องน้อย

“อืม” จี๋อวี่ครางด้วยความเจ็บปวดและผ่อนคลาย ความปรารถนาถูกข่มเอาไว้สิบกว่าปี บัดนี้ผู้หญิงที่ตนชอบมาอยู่ตรงหน้า สัมผัสนั้นชัดเจน เขาจะทนต่อการยั่วยุเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!

เขายื่นมือไปโอบคอของนาง ความต้องการเพิ่มขึ้นราวกับพายุฝนที่บ้าคลั่ง

เปลวไฟในร่างกายราวกับเริ่มจะควบคุมไม่อยู่ทีละน้อยๆ ในความเป็นจริงแล้วสมองของจี๋อวี่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นตกใจอยู่บ้าง เขาเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมาก มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถอดทนที่จะไม่แตะต้องผู้หญิงมานานกว่าสิบปี ทว่าตอนนี้มันอยู่เหนือการควบคุมของเขาแล้ว

ทันใดนั้นจี๋อวี่ก็รู้สึกว่าสุราในปากของอิ๋งสี่เมื่อครู่คล้ายมีสิ่งผิดปกติ เขาปล่อยมือกลับเห็นว่าผมของนางปล่อยสยาย แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อราวดอกท้อ ดวงตาทั้งคู่หยาดเยิ้ม เกิดอารมณ์กำหนัดนานแล้ว

“อิ๋งสี่!” จี๋อวี่โมโหสุดขีด ข่มไฟราคะไว้ข้างใน อดไม่ไหวต้องการที่จะให้บทเรียนที่รุนแรงกับนางสักครั้ง ทว่าทันทีที่คำพูดติดอยู่ที่ริมฝีปากก็กลับกลายเป็นทำอะไรไม่ถูก “เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่ใจเช่นนี้”

อิ๋งสี่ยื่นมือโอบคอของเขา ภายในรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เจือปนเสน่ห์ “ยอดน้ำค้างแห่งเขาอูซาน ทว่าเจ้าแค่ดื่มไปหน่อยเดียวเท่านั้น สำหรับเจ้าแล้วสามารถควบคุมได้ง่ายมาก แต่ว่า…ข้าดื่มไปทั้งขวด นอกเหนือจากเสพสมกันแล้วก็ไม่มียาแก้ ตอนนี้เจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะเลือกให้ผู้ชายคนอื่นหรือว่าตัวเจ้าเองมาช่วยข้า”

จี๋อวี่ตะลึกงัน เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของยานี้เป็นอย่างดี ฤทธิ์ของยารุนแรงไร้ที่เปรียบ หากไม่ได้เสพสมกันเส้นเลือดก็จะแตกและตายในที่สุด

เงียบงันเนิ่นนาน ทันใดนั้นเขาก็อุ้มอิ๋งสี่ที่นัวเนียบนตัวเขาไม่หยุดแล้วก้าวเท้ายาวๆ เข้าห้องนอนไป

ฉากค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิงดงามและอ่อนโยน

หนึ่งราตรีของความปรารถนากันและกันผ่านไปโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เมื่อจี๋อวี่ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นข้างกายก็ไม่มีใครอยู่แล้ว

กลิ่นสุราจางๆ และกลิ่นกายของนางยังคงติดอยู่บนผ้าปูที่นอน จี๋อวี่รู้สึกปวดใจอย่างมาก เขานั่งตัวตรง มองดูรอยเลือดสองสามหยดบนเตียง ตะลึงไปชั่วขณะก่อนที่จะเห็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่มีคำเขียนอยู่บนหมอน

เขาคลี่ผ้าเช็ดหน้าออก ตัวอักษรงดงามสะท้อนสู่สายตา…หลอกเจ้า ไร้ยา

สี่คำสั้นๆ จี๋อวี่สามารถจินตนาการถึงท่าทางขี้เล่นและเจ้าเล่ห์ของนางเมื่อนางพูดเช่นนี้

ความรู้สึกนับหมื่นก่อนตัวขึ้นในใจ เขารีบลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมที่จะตามนางไป

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเพิกเฉยต่อความภักดีของตน ไม่สนใจทุกสิ่ง เพียงแค่ต้องการเก็บนางไว้

ในเวลานี้ ขบวนรถได้ออกมาจากหนิงเฉิงห้าถึงหกลี้แล้ว

หากไม่ใช่เพราะอิ๋งสี่เลือกที่จะนั่งรถม้า บัดนี้ก็คงจากไปไกลถึงสิบกว่าลี้แล้ว จี้ฮ่วนที่มีหน้าที่คุ้มกันขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้เพียงเล็กน้อยว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น คิดในใจว่าพี่ใหญ่จะทำอะไรก็ไม่เป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย จะเป็นองค์หญิงหรือเจ้าเมืองก็ช่างประไร แย่งมาก็สิ้นเรื่อง…ทว่าเขาก็รู้สึกเลือนรางว่านี่ต่างหากคือรูปแบบของพี่ใหญ่ เป็นห่วงคุณธรรมโดยไม่สนใจเรื่องขี้ประติ๋ว

ในขณะที่จี้ฮ่วนกำลังดิ้นรนอยู่นั้น เสียงเกือกม้าข้างหลังก็ใกล้เข้ามา เขาหันกลับไปมองและเห็นจี๋อวี่กำลังขี่ม้าไล่มาตามลำพัง คิดตำหนิอยู่ในใจ: ทำไมไม่พาคนมามากหน่อยเล่า!

ทันใดนั้นเขาก็คิดว่าจะปล่อยไปตามน้ำหรือจะขัดขืนดี…

ขบวนม้าหยุดลง จี๋อวี่หยุดม้าลงข้างรถม้า เอนตัวไปเลิกม่านขึ้นและยื่นมือออกไปหานาง

อิ๋งสี่ใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าลวกๆ มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ เปลี่ยนน้ำตาให้เป็นเสียงหัวเราะ “เจ้าสามารถตามมาได้ ข้าดีใจเหลือเกิน”

อย่างไรก็ดีนางไม่ได้กุมมือของเขา เพียงแต่โน้มตัวลงจูบฝ่ามือของเขา

อากาศในเดือนสองดียิ่ง ต้นหญ้าเติบโต นกกระจิบสีเหลืองโบยบิน จี๋อวี่กลับรู้สึกว่าตนสูญเสียความมีชีวิตชีวาไป