บทที่ 290 พลังแห่งสรรพชีวิต (1)
ฉู่ไฉ่เวยเม้มริมฝีปากของตน ดวงตารูปผลซิ่งสดใสจ้องตามเงาร่างนั้นจนกระทั่งเขาลงไปในบาตรทองคำ ตากลมโตคู่งามยังไม่อาจสลัดภาพเมื่อครู่ออกไปได้เลย
‘ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง’ …นางคิดในใจ
“คุณชายสวี่เป็นคนน่าทึ่งจริงๆ” เหล่าโหรชุดขาวทอดถอนใจอย่างตกตะลึงออกมาจากใจจริง
สำหรับพวกเขาแล้ว การปรากฏตัวด้วยวิธีการเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนทั้งดูทันสมัยและสร้างสรรค์เกินใคร ยังก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวงต่อจิตใจของพวกเขาด้วย
หากเทียบกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าประโยคที่ศิษย์พี่หยางพูดอยู่ซ้ำๆ ว่า ‘บนโลกนี้ไม่มีใครเหมือนข้า’ ดูด้อยกว่าอย่างยิ่ง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โหรชุดขาวและฉู่ไฉ่เวยก็มองไปที่หยางเชียนฮ่วนโดยไม่รู้ตัว และเห็นเพียงศิษย์พี่หยางร่างเกร็งเขม็งขึ้นมา
“ที่แท้ก็ทำเช่นนี้ได้ด้วย…ที่แท้ก็ทำเช่นนี้ได้ด้วย…ในสายตาของผู้คนมากมายในเมืองหลวง และในสายตาของผู้มีเกียรติในต้าฟ่งทั้งหลาย เขาดื่มกินอย่างเปิดเผย ท่องบทกวีอย่างสง่างาม และเผชิญความท้าทายอย่างใจกว้าง เหตุใดเพียงแค่ขึ้นสนามข้าก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งสมองแล้วล่ะ นี่สินะความสุดยอดที่ข้าต้องการ นี่แหละคือความรู้สึกที่ข้าอยากได้ ไม่คิดเลยว่าเขาจะทำสำเร็จง่ายดายเช่นนี้…ไม่สิ เดิมทีนี่เป็นโอกาสของข้า เป็นโอกาสของข้านะ ท่านโหราจารย์เฒ่า…ตาเฒ่า…เข้าใจข้าผิดเสียอย่างนั้น”
บนหลังคาของร้านอาหารข้างนอก ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ร้ายกาจนัก ร้ายกาจจริงๆ วิทยายุทธ์ที่เด่นสะดุดตาเช่นนี้พูดได้เลยว่านับแต่สมัยก่อน ตั้งแต่ปีนั้นที่ข้าได้เป็นจอหงวน ข้าก็ยังไม่สง่างามเช่นเขา”
“อามิตตาพุทธ กล่าวได้ว่าใต้เท้าสวี่นั้นเป็นผู้ยอดเยี่ยม” เหิงหย่วนยิ้ม
บุคคลที่มีบุคลิกเช่นใต้เท้าสวี่นั้นน่าสนใจยิ่งกว่าปัญญาชนที่เข้มงวดเสียอีก และดีเสียยิ่งกว่าจอมยุทธ์ที่แค่พูดไม่เข้าหูก็ต่อสู้ฆ่าฟันกันมากโข
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมนางคณิกาในสำนักสังคีตถึงได้ชื่นชอบเขามากๆ นอกจากจะต้องการบทกวีของเขาแล้ว บุคลิกของเขาก็ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่พวกผู้หญิงชื่นชอบเขาด้วย
“เขาเข้าไปแล้ว”
ในหมู่ฝูงชนที่แออัด ชาวบ้านบางคนชี้ไปที่ ‘ม้วนภาพ’ ที่ฉายอยู่กลางอากาศ ภาพเชิงเขาของภูเขาสูงตระหง่าน ปรากฏร่างของชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมหนึ่งคน
…
ท่าทางอวดโอ่เช่นนี้ ข้าให้ตัวเองเก้าสิบเก้าคะแนน หักหนึ่งคะแนนเพราะรู้สึกอายนิดหน่อย…แต่ว่า ขอแค่ข้าแสร้งทำเป็นว่าไม่อับอาย เช่นนั้นก็ได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็ม คว้าเหรียญทองไปเลย…นานๆ ทีจะทำตัวขี้โอ่กับเขาบ้าง มันก็สบายตัวอยู่นะเนี่ย…สวี่ชีอันมองไปรอบๆ พลางสรุปผลการปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเมื่อครู่ด้วย
โลกใบนี้ดูเสมือนว่าเป็นของจริง หรือบางทีอาจเป็นของจริงก็เป็นได้ โลกที่เขามาคือโลกใบเล็กซึ่งถูกพลังศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธเปิดออก
ประตูพุทธสูงตระหง่าน มีเมฆหมอกล้อมรอบเหมือนกับแดนสวรรค์นอกโลก
เสียงท่องภาษาสันสกฤตแผ่วเบาและคลุมเครือดังอยู่ข้างหู ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบโดยไม่รู้ตัว และพร้อมที่จะละทิ้งปัญหากวนใจทั้งหมดในโลกให้เหลือไว้เพียงความสุขสงบภายในใจ
ด้านหน้าคือบันไดหินลดเลี้ยวเคี้ยวคด มันทอดยาวไปยังส่วนลึกของเมฆหมอกเหล่านั้น
สวี่ชีอันแผ่จิตสัมผัสของตนออกแล้วสัมผัสรับรู้อยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตใดๆ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยปลา นก หรือสัตว์แมลงทั้งสิ้น
ภิกษุน้อยจิ้งซือนั่งคุ้มกันอยู่ที่ไหล่เขา น่าจะไม่ใช่ด่านแรก แล้วด่านแรกคืออะไรล่ะ
เขาปีนขึ้นไปบนภูเขาพร้อมกับความสงสัย
หลังจากเดินเงียบๆ มาพักหนึ่ง สวี่ชีอันก็มองเห็นศิลาก้อนเล็กๆ ตั้งอยู่ข้างบันไดหิน บนนั้นสลักเอาไว้ว่า ‘แปดทุกข์’!
…
“ทุกข์ในชีวิตมีแปดประการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย รักแล้วต้องแยกจาก พบกับความเกลียดชัง ไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา และทุกข์เพราะขันธ์ห้า…”
น้ำเสียงเปี่ยมเมตตาของไต้ซือตู้เอ้อร์ดังก้องอยู่ในหูของผู้ฟัง “นี่คือด่านที่หนึ่ง ทุกข์แปดประการ มีเพียงผู้ที่มีจิตใจแน่วแน่เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ขึ้นไปบนเขาแล้วรับการทดสอบจากพระพุทธต่อไป”
บนแท่นแปดทิศ จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้สวมชุดคลุมเต๋ายืนอยู่ที่ขอบแท่นแล้วมองไปยังลานกว้างก่อนเอ่ยเสียงขรึม “ข้าเคยได้ยินเรื่องด่านนี้มาบ้าง ท่านโหราจารย์ ค่ายกลแปดทุกข์นี่มีอานุภาพอย่างไรหรือ”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าอานุภาพจะเป็นอย่างไร มันคือค่ายกลที่ลับคมคนได้โดยเฉพาะ” ท่านโหราจารย์ดื่มสุราแล้วอธิบายให้จักรพรรดิหยวนจิ่งฟัง
“หากเด็กน้อยเข้าไปในค่ายกลแปดทุกข์ก็สามารถออกมาได้ง่ายๆ แต่ยิ่งเป็นคนที่ประสบกับความผันผวนของชีวิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากที่จะฝ่าฟันไปได้ ในพุทธศาสนา เหล่าภิกษุใช้ทุกข์แปดประการนี้มาฝึกขัดเกลาจิตใจกัน มีคนที่เคยผ่านการทดสอบมาแล้ว และจิตใจของพวกเขาก็จะยิ่งเต็มตื้นมากกว่าเดิม แต่ก็มีบางคนที่ตกอยู่ในแปดทุกข์จนจิตพุทธแตกสลาย”
จักรพรรดิหยวนจิ่งตกตะลึงทันที “ภิกษุชั้นสูงของศาสนาพุทธยังเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับเขาล่ะ”
ท่านโหราจารย์แย้มยิ้ม “ประลองกับสำนักพุทธมันเอาชนะกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน แค่ค่ายกลแปดทุกข์อย่างเดียว ในเมืองหลวงนี้ก็คงจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะผ่านไปได้อย่างปลอดภัย”
จักรพรรดิหยวนจิ่งได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว
ในเมืองหลวง ผู้ที่สามารถผ่านค่ายกลแปดทุกข์ได้มีอยู่น้อยคน และเขาไม่คิดว่าใน ‘น้อยคน’ นี้จะมีสวี่ชีอันรวมอยู่ด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรสวรรค์ แต่เกี่ยวกับจิตใจและการตระหนักรู้ รวมถึงความรู้ในด้านระบบการฝึกตนด้วย
จอมยุทธ์จะไปเผชิญหน้ากับค่ายกลแปดทุกข์ที่ใช้ขัดเกลาจิตใจของภิกษุในศาสนาพุทธได้อย่างไร?
ถ้าศาสนาพุทธให้ความสำคัญกับโพธิจิตอันใสกระจ่าง เช่นนั้นจิตใจของจอมยุทธ์ที่ไม่มีข้อห้ามใดๆ ก็จะเต็มไปด้วยความขุ่นมัว
‘หากแพ้ศึกครั้งนี้ ความสัมพันธ์ฉันมิตรที่เท่าเทียมกันมาตลอดก็จะเอนเอียงแล้ว’ …จักรพรรดิหยวนจิ่งเอ่ยในใจ
นี่คือสิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุด เมื่อเทียบกับยี่สิบปีที่แล้ว พลังแห่งแผ่นดินของต้าฟ่งอ่อนแอลงมากจนไม่อาจเทียบกับสำนักพุทธแห่งแดนประจิมได้เลย
แต่นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในใจ ไม่มีใครพูดออกมา แต่หากแพ้ในการประลองครั้งนี้ มันก็จะถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ แบบนั้นก็จะเท่ากับนำเรื่องนี้ไปวางเอาไว้ในที่สว่างแล้ว
เมื่อคนรุ่นต่อๆ มาศึกษาประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานี้ พวกเขาก็จะคิดว่าพลังแผ่นดินของต้าฟ่งอ่อนแอลงในช่วงปลายรัชสมัยของหยวนจิ่ง แล้วเขาที่เป็นจักรพรรดิก็จะไม่ใช่จักรพรรดิผู้นำพาความรุ่งเรือง แต่เป็นจักรพรรดิผู้ไร้ความสามารถ
“จะแพ้ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชนะ มีโอกาสสามครั้ง หากสวี่ชีอันแพ้ ทางที่ดีท่านโหราจารย์ต้องเลือกบุคคลที่มีความสามารถจะดีที่สุด” จักรพรรดิหยวนจิ่งเอ่ยเน้นเป็นคำๆ
…
“เป็นค่ายกลที่น่ากลัวขนาดนี้เลยหรือ”
หลังจากฟังคำอธิบายของเหิงหย่วนจบ ฉู่หยวนเจิ่นก็ตกใจ
“ดูจากจิตใจของสวี่หนิงเยี่ยนแล้ว เกรงว่าจะไม่ผ่านการทดสอบแปดทุกข์นี่แล้วกระมัง” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยอย่างครุ่นคิด
“บางทีเจ้าน่าจะเชื่อในตัวเขาสักหน่อย แล้วลบคำว่า เกรงว่า นั่นออกไปนะ” เหิงหย่วนกล่าวอย่างจนใจ
“ค่ายกลแปดทุกข์นี้ใช้เพื่อฝึกขัดเกลาจิตธรรมของภิกษุชั้นสูง หากจอมยุทธ์ภิกษุเข้าไปในนั้น สถานเบาคงจิตแตกสลาย สถานหนักก็จะเสียสติและสูญสิ้นซึ่งสัมปชัญญะ”
“นี่มัน…” สีหน้าของฉู่หยวนเจิ่นเปลี่ยนไป “พวกสำนักพุทธจะเลวทรามเกินไปแล้ว พวกเขาคิดจะทำลายสวี่หนิงเยี่ยนเลยหรือ”
เหิงหย่วนเอ่ยเสียงขรึม “แต่บทบาทค่ายกลแปดทุกข์ยังมีอีกอย่าง…”
…
ไม่มีความผันผวนของพลังปราณ ไม่มีการตอบสนองที่เป็นอันตราย ค่ายกลแปดทุกข์นี้โจมตีข้าไม่ได้ สวี่ชีอันยืนอยู่ข้างศิลาหิน ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าเป็นเวลานาน
ไม่สนแล้ว ทำลายค่ายกลก่อนแล้วกัน
สวี่ชีอันก้าวขึ้นไปบนบันไดหินและเข้าไปในค่ายกล และในชั่วพริบตา ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป ภูเขาพุทธหายไป ขั้นบันไดหายไป ความมืดมิดเข้าบดบังการมองเห็นแทน
“อุแว้ อุแว้…”
เขาได้ยินเสียงร้องของทารกทันใด เสียงร้องไห้ฉีกกระชากม่านผืนดำจนขาด เขามองเห็นกำแพงสีขาว ผ้าปูที่นอนสีขาว และฝูงชนในชุดเครื่องแบบสีขาว
พยาบาลคนหนึ่งอุ้มเด็กทารกแรกเกิดขึ้นมาแล้วเช็ดตัวให้กับเขา
ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงคือหญิงสาวผู้มีสีหน้าขาวซีดและเหงื่อไหลอาบทั่วตัว ใบหน้าของเธองามละไมและให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง
“แม่…”
สวี่ชีอันตะโกนเรียกออกมาโดยไม่รู้ตัว
นี่ไม่ใช่การกำเนิดของสวี่ชีอันแห่งต้าฟ่ง แต่เป็นการเกิดของสวี่ชีอันที่เติบโตขึ้นมาภายใต้ธงสีแดง ในสาธารณรัฐประชาชนจีนสมัยใหม่คนนั้น
เด็กเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อผ่านวัยเด็กที่มีความสุขที่สุดมาแล้ว เขาก็ถูกบังคับให้ไปโรงเรียน วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า การบ้านแสนหนักหน่วงเข้าครอบงำวัยเยาว์ของเขาของเขา
ในที่สุดก็ถึงตอนที่เรียนจบ โตเป็นผู้ใหญ่ แล้วเตรียมตัวก้าวเข้าสู่สังคม
ตอนนี้เอง บิดามารดาที่เห็นได้ชัดว่าชราลงก็เข้ามาตบบ่าของเขาแล้วพูดอย่างละอาย “ในที่สุดลูกก็จบจากโรงเรียนตำรวจแล้ว พ่อแม่ให้อะไรลูกต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ ลูกจะต้องพยายามขวนขวายเพื่อตัวเองนะ เรื่องซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือแต่งภรรยา ทั้งหมดนี้ลูกต้องพึ่งตัวเองแล้วนะ”
เขาเข้ารับตำแหน่ง ทำงานทั้งวันทั้งคืนก็เพื่อเก็บเงินไปดาวน์บ้าน พากเพียรพยายามอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ในที่สุดเขาก็ดาวน์บ้านได้หลังหนึ่ง
จากนั้นปัญหาก็ตามมา ไม่มีเงินตกแต่งบ้าน…
สวี่ชีอันจดจำเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียน เขาออกจากงานแล้วหันไปค้าขาย แต่ธุรกิจล้มเหลว จากนั้นเขาเริ่มต้นการต่อสู้อันยาวนานนับสิบปี
สิบปีต่อมา ในที่สุดเขาก็มีบ้านที่ตกแต่งอย่างดี และมีเงินเก็บพอสมควร นี่เป็นเวลาที่เหมาะแก่การสร้างครอบครัวแล้ว
ตอนนี้เอง พ่อก็ดันมาป่วย…โรคร้ายแรงทำให้เขาเกือบจะล้มละลาย พ่อของเขาทรุดตัวลง และเขาก็ต้องรับผิดชอบดูแลคนชราสองคน
ด้วยเหตุนี้ แฟนสาวที่คบกันมานานจึงทิ้งเขาไป
เวลานี้ไม่ใช่ว่าข้าดื่มเหล้าเมาแล้วตายกะหันทันหรอกเหรอ…เขาอยากจะหัวเราะเยาะตัวเอง แต่จิตใจเขากลับหนักอึ้งอย่างยิ่ง
ภาพทั้งหมดเปลี่ยนไป ในที่สุดชาตินี้เขาก็ได้แต่งงานก่อนอายุสี่สิบ เขาแต่งภรรยาที่ไม่เลวนักมาคนหนึ่ง ปีต่อมาพวกเขาก็ให้กำเนิดลูก สองสามีภรรยาทะเลาะกันยกใหญ่เพื่อให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนดีๆ
นับตั้งแต่นั้นมา พวกเขาก็ทำงานเพื่อลูกและเลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ ส่งเสียให้เขาเล่าเรียน จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกก็มาบอกว่า
‘พ่อ แม่ ผมจะแต่งงาน แต่ผมอยากได้บ้านหลังหนึ่ง ทางฝ่ายหญิงไม่อยากให้พวกเราอยู่บ้านเดียวกัน อ้อ แต่ก่อนหน้านั้นพ่อกับแม่ต้องเตรียมสินสอดประมาณสองสามแสนไว้ด้วยนะ ใช้เงินบำนาญของพ่อก็แล้วกัน’
ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ประหยัดค่าเสื้อผ้าและอาหาร ยกเงินเก็บเกือบครึ่งชีวิตแลกกับเรือนหอของลูกแล้วกัน คนเราก็มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ
ดังนั้นลูกชายจึงได้แต่งงาน มีเรือนหอ และเริ่มต้นชีวิตของเขา จากนั้นหลานชายก็เกิด ยายแก่จากไป เขาต้องรับผิดชอบดูแลชีวิตของลูกชายและลูกสะใภ้ และต้องรับผิดชอบดูแลลูกหลานทั้งหลาย
สวี่ชีอันเริ่มต้นใช้ชีวิตพ่อม่าย….
ในตอนท้ายของชีวิตชาติต่อมา เขานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและจบชีวิตชาตินั้นของเขา ก่อนจากไป ข้างกายมีเพียงภรรยาที่แก่หง่อมพอกันคนหนึ่ง
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็เกิดความรู้สึกผ่อนคลายประมาณว่า ‘ในที่สุดก็ได้พักสักที’
ชาติหนึ่งสิ้นสุด ชาติต่อมาเริ่มต้น
ตั้งแต่เกิดจนตาย ชีวิตของเขาล้วนทำตัวเป็นสัตว์สังคมมาตลอด และต้องพยายาม ‘มีชีวิตอยู่’ ยามเยาว์วัยต้องแบกภาระด้านการเรียนอย่างหนักหน่วง ยามวัยรุ่นขึ้นมาก็ต้องต่อสู้เพื่ออนาคต พอเข้าวัยกลางคนก็ต่อสู้เพื่อลูก พอยามชรา ก็ยังต้องสู้เพื่อลูกอีกครั้ง
นอกจากช่วงเวลายามเด็กที่ไร้ห่วงไร้กังวล ก็มีในยามที่กำลังจะสิ้นลมจริงๆ ที่เขาได้รู้สึกถึง ‘อิสระ’ อันไร้ซึ่งภาระบนบ่าอีกครั้ง
นี่ก็คือทุกข์แปดประการของชีวิตมนุษย์สินะ เกิดแก่เจ็บตาย รักแล้วจาก พบความเกลียดชัง ไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา ทุกข์เพราะขันธ์ห้า…ความหมายของชีวิตเช่นนี้คืออะไร ชีวิตของข้าไม่ใช่แบบนี้ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้
ท่ามกลางการกลับชาติมาเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า ความคิดที่จะหนีเข้าประตูแห่งความว่างเปล่าก็ยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ในใจมีเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาไม่หยุด ‘พักเถอะ พักผ่อนเสียเถอะ ชีวิตแบบนี้ไม่มีความหมายหรอก’
‘ปล่อยวางทุกสิ่ง แล้วเจ้าจะเป็นอิสระ’
ไม่สิ ไม่ใช่ จิตสำนึกของข้ามีปัญหาแล้ว…เขารู้สึกตัวทันทีว่าความคิดของตนมีปัญหาแล้ว เหมือนว่าเขาเป็นโรคทางจิตประเภทอย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกหนึ่งบอกให้เขาหนีเข้าไปในความว่างเปล่าและแสวงหาอิสรภาพ และอีกทางหนึ่งก็บอกให้ยึดมั่นในความคิดและจิตใจของตนเอง
ความคิดสองอย่างต่อสู้กันอยู่ภายในร่าง สวี่ชีอันเจ็บปวดจนต้องกุมหัวของตน
“คิดถึงเรื่องอื่นเร็วเข้า คิดถึงก้นขาวราวหิมะของฝูเซียงสิ”
………………………………………………….