บทที่ 127 ประวัติศาสตร์ เวทมนตร์ และคาถาทั่วไป

จอมมารแค่อยากเป็นคนดี [反派少爷只想过佛系生活]

บทที่ 127 ประวัติศาสตร์ เวทมนตร์ และคาถาทั่วไป
บทที่ 127 ประวัติศาสตร์ เวทมนตร์ และคาถาทั่วไป

“เพราะเทคโนโลยีเวทมนตร์ในปัจจุบันพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เวทมนตร์ของยุคเก่าค่อย ๆ หายไป”

“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ใช้เวทมนตร์พวกนั้นอีกต่อไป”

ด้วยการสะบัดนิ้ว เปลวไฟก็โผล่ออกมาจากปลายนิ้วของศาสตราจารย์เคเซอร์

เปลวไฟนั้นลุกโชนขึ้นตามสายลมและกลายเป็นไม้กายสิทธิ์

ด้วยการสะบัดอีกครั้ง มันก็กลายเป็นการ์ดบาง ๆ

จากนั้นเขาก็เป่าการ์ด ดับไฟ นี่เป็นการแสดงที่สุดยอดมาก!

“การเรียนรู้เวทมนตร์แบบนี้ทั้งยากและน่าเบื่อมาก ตลอดชีวิตของจอมเวทส่วนใหญ่สามารถเรียนรู้ได้แค่วิธีร่ายคาถาลูกไฟเท่านั้น เรามักจะเรียกพวกเขาว่าผู้ใช้มนตรา และผู้ใช้มนตราก็มีค่ามากในศตวรรษที่แล้ว”

“การท่องและดึงพลังเวทมนตร์ออกมา เป็นเพียงก้าวแรกของการร่ายคาถาเท่านั้น”

“ถ้าเธอต้องการร่ายลูกไฟออกมา เธอต้องรู้ว่าลูกไฟเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมมันถึงเผาไหม้ได้ ตัวกลางในการเผาไหม้คืออะไร ความสัมพันธ์ระหว่างพลังเวทมนตร์กับเปลวไฟ กฎอุณหภูมิเปลวไฟ และระยะเวลาที่มันคงอยู่…”

ศาสตราจารย์เคเซอร์อธิบายรายละเอียดมากมายที่จอมเวทฝึกหัดต้องทราบ

และพวกเขารู้สึกเหมือนหัวตัวเองกำลังจะระเบิด

ดาร์กเห็นไดแอนนาฟุบลงบนโต๊ะไปแล้ว มือกุมหัวดูน่าสงสาร ไม่แน่ว่าตอนนี้คงมีเกลียววงกลมเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอแล้ว

โชคดีที่หลังจากนั้นไม่กี่นาที ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็เปลี่ยนไปพูดอีกหัวข้อหนึ่ง และจบหัวข้อเวทมนตร์ยุคเก่าไป

“แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีเวทมนตร์ เราจึงสามารถแก้ปัญหานี้ได้”

“เพียงแค่เขียนคาถาที่เกี่ยวข้องด้วยภาษาเวทมนตร์ แล้วจารึกมันลงไปในการ์ดเวทมนตร์ เมื่อการ์ดเวทมนตร์ถูกสร้างจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เราก็สามารถร่ายคาถาด้วยคำเรียกง่าย ๆ เพื่อปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ได้”

“แน่นอน ภาษาเวทมนตร์คือสิ่งที่เธอจะไม่ได้เรียนจนกว่าจะอยู่ปีสอง”

“ความยากง่ายของภาษาเวทมนตร์ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล และมันยังมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”

“ลูกไฟแบบเดียวกัน แต่ร่ายโดยจอมเวทคนละคน ผลของมนตร์ที่ออกมาจะแตกต่างกัน”

“แต่ก็มีคาถาพิเศษบางอย่างที่สามารถใช้แบบทั่วไปได้”

“และก่อนเรียนภาษาเวทมนตร์ เราสามารถลองทำการ์ดเวทมนตร์ง่าย ๆ โดยใช้คาถาทั่วไปเหล่านี้ได้”

“เปิดภาคผนวกท้ายเล่มเลย”

นักเรียนทำตามที่ศาสตราจารย์เคเซอร์บอก และพลิกหนังสือเรียนไปที่หน้าภาคผนวกสุดท้าย

[ภาคผนวก 1 คาถาทั่วไป]

  1. กระสุนเวทมนตร์

  2. ผลักออก

  3. สกัดกั้น

  4. พรางตา

  5. เคลื่อนย้ายในพริบตา

คาถาทั่วไปทั้งหมดห้าประเภทถูกระบุไว้ในหน้าภาคผนวกของคู่มือทฤษฎีเวทมนตร์เบื้องต้น 1

นี่คือสิ่งที่นักเรียนชั้นปีหนึ่งจำเป็นต้องเรียนรู้

“กระสุนเวทมนตร์ ผลักออก…”

ดาร์กมองดูภาคผนวกด้วยความประหลาดใจ คาถาทั่วไปทั้งห้านั้น แตกต่างจากเนื้อหาของผู้เริ่มต้นที่เขาจินตนาการไว้เล็กน้อย

“ปกติมันควรจะเป็น ลูกไฟหนึ่ง ลูกไฟสอง ลูกไฟสาม… หรืออะไรแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?”

เหมือนว่านักเรียนส่วนใหญ่ก็มีความคิดเช่นเดียวกับเขา

เหล่าจอมเวทฝึกหัดมองไปที่ภาคผนวก และอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกันอย่างฉงนใจ

ศาสตราจารย์เคเซอร์มองดูเด็ก ๆ คุยกัน เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญ แต่กลับเผยรอยยิ้มออกมา

ศาสตราจารย์ยื่นมือออกมา ส่งสัญญาณให้ทุกคนสงบลงแล้วพูดว่า “แม้ว่าคาถาทั้งห้านี้จะดูไม่เหมือนคาถาทั่วไป แต่มันก็เป็นคาถาสำคัญที่พวกจอมเวทใช้อยู่บ่อยครั้ง และในอนาคตพวกเธอจะค้นพบคาถาสำคัญของพวกเธอเจอเอง เอาล่ะ การบรรยายวันนี้ เราจะพูดถึงแค่พวกทฤษฎีเท่านั้น และยังไม่มีการทดลอง แต่แน่นอน การทดลองจริงจะเริ่มขึ้นในวันจันทร์หน้าและตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป ศาสตราจารย์จะไม่ให้ชุดอุปกรณ์สำหรับการทดลองอีกแล้ว พวกเธอต้องหารายชื่อของวัตถุดิบและซื้อมันมาทำการทดลอง ด้วยคะแนนของตัวเอง”

เห็นได้ชัดว่า คำพูดสุดท้ายของศาสตราจารย์เคเซอร์ มีผลกระทบต่อนักเรียนมากกว่าความสับสนจากบทเรียนคาถาทั่วไปเสียอีก

เหล่าจอมเวทชั้นปีหนึ่งต่างพากันเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งห้องเรียนจะบังเกิดเสียงระงมดังขึ้น

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นทันทีและพูดว่า “ศาสตราจารย์ ถ้าเรามีคะแนนไม่พอ และไม่สามารถซื้อวัตถุดิบมาได้ล่ะคะ?”

ศาสตราจารย์เคเซอร์ตอบอย่างสุภาพว่า “ศาสตราจารย์จะประเมินคะแนนจากการบ้านของพวกเธอ ตราบใดที่พวกเธอตั้งใจฟังในชั้นเรียนและทำการบ้านให้เสร็จตรงเวลา มันจะไม่มีปัญหาเรื่องคะแนนไม่เพียงพอแน่นอน”

มีนักเรียนคนหนึ่งมองเห็นคำพูดโดยนัยของศาสตราจารย์เคเซอร์ และถามด้วยความประหลาดใจว่า “ศาสตราจารย์ครับ หมายความว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ศาสตราจารย์จะเริ่มให้งานทดลองแบบนี้ใช่ไหมครับ?”

ศาสตราจารย์เคเซอร์พยักหน้าและกล่าวว่า “อันที่จริง เราเคยทำไปแล้วนะ เช่นตอนที่สร้างการ์ด [สัตว์อสูรมายา] ก็เป็นการทดลองแบบนี้”

ทันทีหลังจากนั้น นักเรียนหลายคนยกมือขึ้นเพื่อถามคำถาม และศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ตอบทีละคน

หลังจากถามคำถามทั้งหมดแล้ว เหล่าจอมเวทฝึกหัดก็ตกอยู่วังวนความสิ้นหวัง

ดูเหมือนว่าตั้งแต่วันนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถใช้จ่ายมั่วซั่วได้อีกต่อไป แต่พวกเขายังต้องรู้จักวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบด้วย

เอ็มม่าผู้ที่นั่งแถวแรกดูสงบนิ่ง

และเวอร์เธอร์ในแถวสุดท้ายก็แท็กมือกับโรเบิร์ต

ดาร์กที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างก็เผชิญกับสายตาน่าสงสารของไดแอนนา เขาก็พูดอย่างไร้ความปรานีว่า “แก้ปัญหาของเธอด้วยตัวเอง”

ไดแอนนาทำได้แค่ใช้นิ้วนับว่าต้องเก็บออมเท่าไหร่

โรสยิ้มเยาะ

อันที่จริง พวกเขาทั้งหมดได้คะแนนมากมายจากงานเลี้ยงสวมหน้ากาก ตราบใดที่ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย พวกเขาย่อมใช้ชีวิตด้วยคะแนนที่มีได้อย่างสบาย ๆ

ภายในชั้นเรียนหลังจากนั้น ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็บรรยายเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่าด้วยหลักการและวิธีการเขียนคาถาลงบนการ์ดเวทมนตร์ต่ออย่างละเอียด

แต่นักเรียนไม่มีความตั้งใจที่จะฟังชั้นเรียนอีกแล้ว พวกเขาจดบันทึกกันอย่างเศร้าซึม

นอกจากบอกให้นักเรียนอย่าลืมไปซื้ออุปกรณ์ที่ถนนนักเดินทางในวันหยุดสุดสัปดาห์ ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ไม่ได้ให้การบ้านเพิ่ม

เหง่งหง่าง!

เสียงระฆังบอกเลิกคาบเรียนดังขึ้น

เมื่อศาสตราจารย์ออกจากห้องเรียน อารมณ์ของนักเรียนก็ระเบิดขึ้นในทันที

ทั้งห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงคร่ำครวญทุกรูปแบบ

เดิมที หลายคนตั้งตารอคาบวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ที่อาจารย์ใหญ่จะเป็นคนสอนในตอนบ่าย แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีอารมณ์แล้ว

ดาร์กยิ้มออกมาพลางเก็บของ และเตรียมที่จะออกจากห้องเรียน

แต่ในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้น เอ็มม่าก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า

มือของเด็กหญิงถือสมุดบันทึกและพูดเสียงต่ำว่า “นายตกลงว่าจะให้ฉันยืมมัน”

เมื่อได้ยินดังนั้น ดาร์กก็นึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้ เขาตอบว่า “เดี๋ยวตอนเย็นฉันเอาไปให้ที่ห้องสมุด”

“ตกลง!” เอ็มม่าตอบอย่างแผ่วเบาและจากไปอย่างรวดเร็ว

ไดแอนนาเหลือบมองเอ็มม่า และกระซิบข้างหูของโรสว่า “เย็นนี้เราไปห้องสมุดกันเถอะ!”

โรสพยักหน้า “เราจะได้ทำการบ้านของศาสตราจารย์ลิลลี่ให้เสร็จด้วย”

ดาร์กออกจากห้องเรียน แต่ไม่ได้ไปที่โรงอาหาร

เขาเคาะประตู และเข้าไปในห้องทำงานของศาสตราจารย์เคเซอร์ ก่อนจะถามขึ้นมาว่า “ศาสตราจารย์ ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ?”

ศาสตราจารย์พยักหน้าเล็กน้อยและชี้ไปที่โซฟา

ดาร์กนั่งลงบนโซฟา มือชงชาอย่างชำนาญ

ศาสตราจารย์เคเซอร์ถอนหายใจและจู่ ๆ ก็พูดว่า “เดม่อน ฉันขอโทษจริง ๆ”

ดาร์กชะงักไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา “ศาสตราจารย์ ไม่ใช่ผมที่คุณต้องขอโทษหรอกนะครับ”

ใบหน้าของศาสตราจารย์เคเซอร์มีร่องรอยความเศร้าปรากฏอยู่ “ฉันรู้สึกผิดมากมาหลายปีแล้ว ถ้าฉันตั้งใจแน่วแน่ที่จะกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปในวิหาร ทุกอย่างจะไม่ออกมาเป็นแบบนี้ ตอนที่รู้ว่าจุดประสงค์ของดีดี้คือการสร้างน้ำตาเทพธิดาแห่งจันทรา ฉันก็ไม่กล้าที่จะหยุดเธอ โชคดีที่เธออยู่ที่นี่”

ดาร์กตอบอย่างหมดหนทาง “ผมไม่ได้หมายถึงเธอด้วยครับ”

ศาสตราจารย์เคเซอร์พยักหน้า “ฉันรู้”

ดาร์กพูดต่อ “เปลี่ยนเรื่องกันเถอะครับ ศาสตราจารย์ ผมอยากรู้ว่าที่ตั้งของปราสาทมีความพิเศษยังไง? แล้วมันมีประวัติความเป็นมายังไงกันแน่ครับ?”