“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ!” เสียงของฮ่อหยุนเฉิงเย็นชา
สีหน้าของหลินเหยียนเฟิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “แค่ BPL มีการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ อยู่ตลอดเวลา ครั้งที่แล้วโครงการเป่ยไห่วานพวกเขาขาดทุนไปมาก พวกเขาคงจะไม่ปล่อยมันไปแน่ๆ”
ดวงตาของฮ่อหยุนเฉิงหรี่ลงเล็กน้อย “ฉันเข้าใจแล้ว”
หลี่เฉิงหยางพุ่งเป้ามาที่ฮ่อกรุ๊ป ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว
มันไม่ง่ายเหมือนโครงการเป่ยไห่วาน
เมื่อนึกถึงภาพถ่ายที่ซูฉิงให้เขาดู หลี่เฉิงหยางและถังรั่วอิ่งรู้จักกันตั้งแต่ที่พวกเขาอยู่ในออสเตรเลียแล้ว สีหน้าของฮ่อหยุนเฉิงก็ยิ่งเยือกเย็นขึ้น
“นายออกไปก่อน จับตาดู BPLไว้” ฮ่อหยุนเฉิงสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ครับท่านประธาน” หลินเหยียนเฟิงพยักหน้า
เขาเดินออกจากประตูห้องทำงานประธานไป แต่กลับได้ยินเสียงที่ชัดเจนของฮ่อหยุนเฉิงดังไล่หลังเขามา “วันนี้ซูฉิงมาทำงานหรือยัง?”
หลินเหยียนเฟิงหยุดเดินครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาและพูดว่า “คุณซูมาทำงานแล้วครับ”
ใบหน้าที่หล่อเหลาของฮ่อหยุนเฉิงก็อ่อนโยนลงมาก ทำให้หลินเหยียนเฟิงตะลึง
สถานะของคุณซูในสายตาของท่านประธานนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ !
ซูฉิงที่กำลังดูการออกแบบล่าสุดของคอลเลคชั่น “น้ำแข็งและไฟ” ที่แผนกออกแบบส่งมาก็อดส่ายหัวไม่ได้
ไป๋เซียวเซียวคนนี้ไม่มีความคืบหน้าเลยจริงๆ
สิ่งที่เธอขอให้ไป๋เซียวเซียวปรับปรุงนั้นไม่ได้ถูกออกแบบตามความตั้งใจของเธอเลย มันยุ่งเหยิงไปหมด
ดูเหมือนว่าเธอจะต้องทำมันด้วยตัวเองแล้วล่ะ
ทันใดนั้นโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของซูฉิงก็ดังขึ้น
เธอก้มลงมอง และเห็นว่าเป็นสาย 888 ของฮ่อหยุนเฉิง
ซูฉิงรับโทรศัพท์ และเสียงของฮ่อหยุนเฉิงก็ดังขึ้นผ่านสายโทรศัพท์ “มาที่ห้องทำงานหน่อยสิ”
“โอเค” ซูฉิงตอบรับ
หลังจากวางสาย ซูฉิงก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นห้องทำงานของประธานชั้นที่สิบแปดทันที
เธอยื่นมือออกไปเคาะประตู แต่ข้างในกลับไม่มีการตอบรับใดๆ
ซูฉิงกำลังสงสัย แต่ทันใดนั้นประตูห้องทำงานก็เปิดออก ร่างสูงโปร่งของฮ่อหยุนเฉิงก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ
“เข้ามาสิ”
ฮ่อหยุนเฉิงเอ่ยด้วยเสียงต่ำ ยื่นมือใหญ่ของเขาออกมาดึงซูฉิงเข้าไป
เขาปิดประตูดังปัง จากนั้นก็ดันซูฉิงไว้ที่ประตู เอามือทั้งสองวางกั้นร่างของเธอไว้ และก้มศีรษะลงมา ดวงตาอันลึกล้ำของเขาจ้องมองใบหน้าของเธอไม่วางตา
“ซูฉิงฉันคิดถึงเธอ” เสียงต่ำของฮ่อหยุนเฉิงดังขึ้นในหูของซูฉิง
เอ่อ……
เมื่อเผชิญหน้ากับแววตาที่เปล่งประกายของฮ่อหยุนเฉิง การเต้นของหัวใจของซูฉิงก็ช้าลงครึ่งจังหวะ
เขาโทรเรียกเธอมาเพื่อบอกเรื่องนี้กับเธองั้นเหรอ?
“ตอนนี้เป็นเวลาทำงาน ไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องส่วนตัว” ซูฉิงกระแอมและพูดอย่างจริงจัง
ดวงตาของฮ่อหยุนเฉิงหรี่ลงเล็กน้อย “เธอไม่คิดถึงฉันสักนิดเลยเหรอ?”
“ไม่……”
ก่อนที่ซูฉิงจะพูดคำว่า “คิดถึง” ออกมา ฮ่อหยุนเฉิงก็โน้มตัวลงมาจูบเธอ โดยคำพูดทั้งหมดของเธอถูกกลืนกลับเข้าไป
ซูฉิงพูดไม่ออก และต้องการผลักเขาออกไป แต่เขากลับไม่ขยับเลย ยิ่งจูบเธอลึกซึ้งขึ้นไปอีก
ลิ้นของฮ่อหยุนเฉิงแง้มปากเล็กของซูฉิงให้เปิดออก เขาทำมันอย่างดุดันแต่กลับมีความอ่อนโยนปะปนอยู่
ซูฉิงไม่สามารถยับยั้งมันได้ เธอเอามือโอบรอบคอของเขาโดยไม่รู้ตัว
การกระทำนี้ยิ่งช่างเย้ายวนยิ่งนัก มันทำให้ฮ่อหยุนเฉิงหยุดไม่ได้
บรรยากาศของห้องทำงานเต็มไปด้วยความโรแมนติก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก่อนที่ฮ่อหยุนเฉิงจะยอมสิ้นสุดจูบที่ลึกซึ้งนี้
ซูฉิงอ้าปากเพื่อหายใจ และจ้องไปที่เขาเขม็ง “นิสัยไม่ดี!”
ฮ่อหยุนเฉิงหัวเราะเบา ๆ “ฉันจูบคู่หมั้นของฉัน นิสัยไม่ดีตรงไหน?”
“ก็นิสัยไม่ดีทุกตรงนั่นแหละ” ซูชิงผลักเขาออกด้วยความโมโห และนั่งลงบนโซฟาข้างๆเขา
ผู้ชายคนนี้จูบจนเธอตัวอ่อนปวกเปียกไปหมด แถมหัวใจของเธอก็เต้นแรงอย่างบ้าคลั่งอีกด้วย
ฮ่อหยุนเฉิงเดินมานั่งข้างซูฉิง และโอบไหล่ของเธอ จากนั้นก็กระซิบที่หูของเธอว่า “ยังนิสัยไม่ดีได้มากกว่านี้อีก เธออยากลองไหม?”
ซูฉิง : ! ! !
“พอแล้ว รีบพูดมาได้แล้ว ให้ฉันมาหาทำไม?” ซูฉิงรีบเปลี่ยนเรื่อง
หน้าผู้ชายคนนี้หนาขึ้นเรื่อยๆ เลย!
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้จะทำเรื่องที่หน้าไม่อายอะไรอีกบ้าง
ฮ่อหยุนเฉิงหยุดแกล้งเธอ และเอนหลังพิงโซฟาแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ถังรั่วอิ่งเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารขั้นรุนแรง”
“อะไรนะ?” ซูฉิงตกใจ
มะเร็งกระเพาะอาหารขั้นรุนแรง?
เป็นไปได้อย่างไร
เธอเจอถังรั่วอิ่งเมื่อสองสามวันก่อน เธอก็ยังดูสบายดี
จะเป็นไปได้อย่างไรที่ผ่านไปแปบเดียวก็เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารขั้นรุนแรงแล้ว?
“แล้วนายเชื่อเหรอ?” ซูฉิงหันศีรษะไปมองฮ่อหยุนเฉิงและถาม
“หมอเป็นคนบอกแบบนั้น” ฮ่อหยุนเฉิงพูดอย่างราบเรียบ
ซูฉิงกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ฉันเกรงว่าเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำน่ะสิ”
“ช่างเถอะ ไม่ต้องสนใจเธอหรอก ถ้าเธอป่วยจริงๆ ก็รักษาก็แล้วกัน” ฮ่อหยุนเฉิงขมวดคิ้ว “แต่แผนของเธอ…”
“แผนยังคงเหมือนเดิม!” ซูฉิงพูดอย่างเย็นชา “เดี๋ยวเลิกงานนายก็ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลสิ”
“เธอหมายถึง…” ฮ่อหยุนเฉิงเหลือบมองซูฉิง
ซูฉิงขยิบตาอย่างสนุกสนาน “นายก็เข้าใจนี่”
หลังจากเลิกงาน ฮ่อหยุนเฉิงก็ขับรถไปโรงพยาบาล
เขาไปที่ห้องของถังรั่วอิ่ง ถังรั่วอิ่งฟื้นแล้ว
ฮ่อหยุนเฉิงผลักประตูเข้าไปข้างใน
ใบหน้าของถังรั่วอิ่งซีดเซียว เมื่อเธอเห็นฮ่อหยุนเฉิงมา เธอก็ลุกขึ้นนั่ง “พี่เฉิง เกิดอะไรขึ้นกับฉัน?”
ฮ่อหยุนเฉิงยืนล้วงกระเป๋าอยู่ข้างๆ และมองลงไปที่เธอ
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดของซูฉิง
อาการป่วยของถังรั่วอิ่งนี้เป็นอย่างกะทันหันมาก
“ถังถัง เธอป่วยน่ะ หมอบอกว่าเธอเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารขั้นรุนแรง” ฮ่อหยุนเฉิงพูดนิ่งๆ
“อะไรนะ?!” ดวงตาของถังรั่วอิ่งเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ “มะเร็งกระเพาะอาหารขั้นรุนแรง…”
“ไม่ เป็นไปไม่ได้!” ดวงตาของถังรั่วอิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันใด และน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของเธอ
เธอร้องไห้อย่างเศร้าโศกอยู่นานก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฮ่อหยุนเฉิงอย่างน่าสงสาร “พี่เฉิง ฉันกำลังจะตายใช่ไหม ? ฉันไม่อยากตาย”
ฮ่อหยุนเฉิงยืนอยู่ต่อหน้าถังรั่วอิ่ง และนึกถึงคำพูดของซูฉิงขึ้นมาอีกครั้ง
เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ถังถัง เธอไม่รู้เหรอว่าตัวเองไม่สบาย?”
โดยปกติแล้วคนเราจะไม่ป่วยอย่างกระทันหัน ก่อนหน้านี้ถังรั่วอิ่งมีสุขภาพแข็งแรงมาโดยตลอด
ทำไมจู่ๆ ก็เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารขั้นรุนแรงอย่างนี้?
เมื่อถังรั่วอิ่งได้ยินคำพูดนั้น เธอก็ก้มหน้าลง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคับข้องใจ “พี่เฉิง พี่คิดว่าฉันจะเอาเรื่องแบบนี้มาโกหกพี่เหรอ? ’
น้ำตาเม็ดใหญ่ยังคงหยดลงมาไม่หยุด ทำให้ผ้าปูที่นอนสีขาวบริสุทธิ์เปียกปอน
“ฉันรู้ว่าก่อนหน้านี้ฉันทำผิดมามาก และพี่ก็ไม่เชื่อใจฉันแล้ว แต่ฉันจะเอาเรื่องแบบนี้มาหลอกพี่ได้เหรอ?”
ถังรั่วอิ่งกำผ้านวมแน่น “พี่เฉิง พี่ไม่เชื่อฉันก็ไม่เป็นไร พี่ไปเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ฮ่อหยุนเฉิงไม่ได้ปฏิบัติต่อเธอเหมือนที่ถังรั่วอิ่งจินตนาการไว้ เขาขมวดคิ้ว “หมอบอกว่าเธอเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารขั้นรุนแรง ถ้าเธอรับเคมีบำบัด เธอก็จะมีเวลาอีกสองปี แต่ถ้าไม่ทำเคมีบำบัด เธอจะมีเวลาเหลือเพียงหนึ่งเดือน ไม่ว่าเธอจะเลือกทางไหน ในเวลาชีวิตที่จำกัดของเธอ เธอจะทำอะไรก็ได้ ตราบเท่าที่ฉันทำให้ได้ ฉันก็จะทำให้”