ตอนที่ 228-2 ข่าวการแต่งงานขององค์หญิง

ชายาเคียงหทัย

“หากท่านอ๋องรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจริงๆ สู้อาศัยช่วงที่ไปหนานจ้าว ถือโอกาสพักผ่อนเพิ่มอีกสักสามสี่วันไม่ดีหรือ เพราะถึงอย่างไร ยามที่ท่านอ๋องไปหนานจ้าวก็ไม่มีธุระอันใดอยู่แล้ว”

เมื่อสวีชิงเฉินพูดจบ เห็นสีหน้าไม่ใคร่สบอารมณ์ของม่อซิวเหยาแล้วถึงได้ค่อยๆ เอ่ยเสริมขึ้น

“ภรรยา มิใช่เพราะสามีอย่างข้าไม่เอาใจใส่ ไม่ออกไปพักผ่อนเป็นเพื่อนเจ้า แต่เป็นเพราะ…ท่านลุงใหญ่โหดร้ายเกินไป ภรรยาต้องช่วยออกหน้าให้สามีนะ” ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยตัดพ้อ

เยี่ยหลีมองบุรุษผมขาวที่มองอย่างไรก็ดูไม่มีอายุอย่างเห็นขัน ทั้งๆ ที่เป็นบุรุษใหญ่วัยสามสิบต้นๆ แล้ว แต่มองดูแล้วกลับดูอ่อนเยาว์กว่ายามที่พบกันครั้งแรกเสียอีก “เอาล่ะ สามีไม่ต้องปวดใจไป ยามพวกเราไปหนานจ้าวไปพักผ่อนกันสักหลายวันหน่อย แล้วยกเรื่องทั้งหมดให้พวกพี่ใหญ่ช่วยจัดการก็แล้วกัน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ม่อซิวเหยาก็ปรายตาไปทางสวีชิงเฉินด้วยสายตาท้าทาย

สวีชิงเฉินเพียงทำเป็นไม่เห็น เงยหน้าขึ้นมองฟ้าพร้อมเอ่ยเรียบๆ ว่า “หลีเอ๋อร์ จะเอาใจสามีก็ไม่เป็นไรหรอก แต่หากเอาใจมากเกินไป จะทำให้เสียสติเอาได้ง่ายๆ พี่ใหญ่กับท่านตาและท่านลุงของเจ้าคงปวดใจมากทีเดียว หากผู้อื่นที่ไม่รู้คงคิดว่ายามนั้นเจ้าคลอดบุตรแฝดออกมาเสียแล้ว ฟังพี่ใหญ่พูดไว้นะ สามีเนี่ย…ให้หลักแหลมและมีวิทยายุทธสูงส่งไว้จะดีกว่า”

เยี่ยหลีหันมองซ้ายทีขวาที ตัดสินใจอย่างฉลาดว่า ไม่พูดอันใดจะดีกว่า ในโลกนี้มิได้มีเพียงบุรุษที่ต้องลำบากใจเมื่อต้องอยู่ตรงกลางระหว่างภรรยาและมารดาเท่านั้น สตรีที่อยู่ตรงกลางระหว่างสามีกับพี่ชายเองก็ลำบากใจมากไม่แพ้กัน

นางระบายยิ้มเอ่ยว่า “พี่ใหญ่กับท่านอ๋องค่อยๆ พูดคุยกันก็แล้วกัน ดูเหมือนฉินเฟิงจะมีเรื่องอยากคุยกับข้า”

พูดจบนางก็ไม่หันไปมองสีหน้าของทั้งสองอีก ก้าวเดินลงจากภูเขาไปก่อนทันที

ด้านหลัง รอยยิ้มของสวีชิงเฉินช่างดูสดใสประหนึ่งลมในฤดูใบไม้ผลิ

ม่อซิวเหยาย่นคิ้วอย่างใช้ความคิด หรือว่าอาหลีชอบที่ข้าหลักแหลมและเชี่ยวชาญด้านวิทยายุทธหรือถึงได้รีบเดินหนีไปเช่นนั้น

เขาหันกลับไปมองใครบางคนที่ดูประหนึ่งเทพชั้นสูง แล้วในใจติ้งอ๋องก็ยิ้มเยาะอย่างโหดเหี้ยมว่า คิดมาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับอาหลีหรือ หากไม่รีบจับเจ้าแต่งงานออกไป ก็ถือว่าข้าผิดต่อเจ้าและผิดต่อคนทั้งตระกูลของเจ้าแล้ว!

คุณชายชิงเฉินที่กำลังแย้มยิ้มอย่างสง่างาม กลับรู้สึกเย็บวาบขึ้นอย่างหาใดเปรียบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันโปร่งใสไร้เมฆขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ถึงแม้จะยังมีเวลาช่วงหนึ่งกว่าจะถึงงานแต่งงานขององค์หญิงอันซี แต่เอาเข้าจริงเวลาที่พวกเขาจะเตรียมตัวนั้นมีไม่มากนัก ก็อย่างที่สวีชิงเฉินว่าไว้ เรื่องที่เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาต้องจัดการนั้นยังมีอีกมากมายนัก อีกทั้งการไปหนานเจียงครานี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือน การที่ติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องไม่อยู่พร้อมๆ กันยิ่งมีเรื่องมากมายที่ต้องสังการไว้ให้เรียบร้อย และก็เป็นเช่นนั้น เมื่อกลับไปถึงจวน ม่อซิวเหยาก็ถูกสวีหงอวี่ที่รออยู่ก่อนนานแล้ว เชิญตัวไปที่ห้องหนังสือทันที

เยี่ยหลีอมยิ้มมองส่งม่อซิวเหยาไปยังห้องหนังสือ เมื่อเยี่ยหลีกลับไปถึงเรือนของตน กลับมีคนมารอพบตนอยู่เช่นกัน

“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ มีเรื่องอันใดหรือไม่”

เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามา สวีฮูหยินใหญ่ก็รีบลุกขึ้นทันที

เยี่ยหลีก้าวเข้าไปต้อนรับ และประคองสวีฮูหยินใหญ่ให้นั่งลง พลางเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านป้าสะใภ้มีเรื่องอันใดนั่งลงพูดกันเถิดเจ้าค่ะ ไม่มีคนนอกอยู่ ท่านป้าสะใภ้จะเกรงใจอันใดกันเจ้าคะ”

“ข้ามาโดยมิได้รับเชิญ มารบกวนหลีเอ๋อร์หรือไม่” สวีฮูหยินใหญ่เอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล ถึงแม้จะเป็นสตรีในเรือนใน แต่สวีฮูหยินใหญ่ก็รู้ดีว่า หลานสาวของนางผู้นี้เป็นถึงชายาติ้งอ๋อง ย่อมไม่เหมือนกับสตรีในเรือนในหรือแม้แต่ชายาอ๋องคนอื่นๆ

ในจิตใจของชาวบ้านในซีเป่ย ชื่อของชายาติ้งอ๋องก็เกือบจะเทียบได้กับชื่อติ้งอ๋องเลยทีเดียว เช่นว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของติ้งอ๋องและแม้แต่ผู้บัญชาการทหารของกองทัพตระกูลม่อทุกคน มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคารพเลื่อมใสและทำตามคำสั่งของเยี่ยหลี

เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “ท่านป้าสะใภ้พูดอันใดเช่นนั้น ทุกวันเยี่ยหลีมัวแต่ยุ่งวุ่นวาย ไม่มีเวลาไปคารวะท่านป้าสะใภ้ที่จวน ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กับท่านป้าสะใภ้รองก็ไม่มาพูดคุยกับเยี่ยหลีบ้างเลย หลีเอ๋อร์รู้ดีว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่มัวแต่สนใจพี่ชายทั้งสามกับน้องห้าจนไม่เอ็นดูหลีเอ๋อร์แล้ว”

เมื่อถูกเยี่ยหลีเอ่ยล้อเลียนเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่สวีจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่ความเป็นกังวลก็ฉายกลับมาบนใบหน้าของนางอีกครั้ง ฝืนยิ้มอย่างจนใจว่า “ป้าสะใภ้รองของเจ้ายามนี้มีหลานให้เลี้ยงเป็นตัวเป็นตนแล้ว มีเรื่องให้วุ่นวายมากนัก จึงมัวแต่ไปสนใจเรื่องรุ่ยเอ๋อร์ แต่ข้าสิกลับเบื่อหน่ายเสียยิ่งนัก”

เยี่ยหลีเข้าใจในทันที เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ด้วยเรื่องของพี่ใหญ่หรือไม่เจ้าคะ”

“นอกจากเขาแล้ว จะยังมีผู้ใดอีก” สวีฮูหยินเอ่ยพร้อมทอดถอนใจ “พริบตาเดียว ชิงเฉินก็จะอายุเกือบสามสิบปีแล้ว แต่กลับยังไม่มีสตรีในดวงใจเลย พี่ใหญ่ของเจ้า ไม่เคยต้องมีเรื่องให้เป็นห่วงเลยตั้งแต่เล็ก แต่ก็ดันมีเรื่องนี้ที่น่าเป็นห่วงเป็นที่สุดก็คือเขานี่ละ หากรู้เช่นนี้แต่แรก ยามนั้นข้าก็ควรเอาอย่างท่านลุงรองของเจ้า ควรหาคู่หมั้นคู่หมายให้เขาเสียแต่แรก ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี อย่างน้อยเขาก็จะได้แต่งสะใภ้เข้าบ้านสักคน”

เยี่ยหลีก็ถอนหายใจตาม เรื่องของพี่ใหญ่ก็ช่างน่าเป็นกังวลยิ่งนัก ว่ากันตามจริง ตระกูลสวีก็เป็นครอบครัวที่เปิดกว้างอย่างหาได้ยาก นอกจากสวีชิงเจ๋อที่หมั้นหมายกับฉินเจิงมาตั้งแต่เล็กๆ แล้ว พี่น้องคนอื่นๆ ล้วนไม่มีผู้ใดมีคู่หมั้นคู่หมายอีกเลย ซึ่งนั่นก็เพื่อให้ได้ศึกษาผู้จะมาเป็นสะใภ้โดยละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้บุตรชายได้แต่งงานกับภรรยาที่ไม่ชื่นชอบหรือภรรยาที่ไม่ดีงาม แม้แต่สวีชิงเฉินที่อายุกว่ายี่สิบกว่าปีแต่ยังไม่แต่งงาน ก็ไม่มีผู้ใดเร่งรัดเขา เพียงแต่ยามนี้เขาก็ใกล้จะสามสิบปีเต็มทีแล้ว ก็ไม่แปลกหากสวีฮูหยินใหญ่จะร้อนใจ

“พี่ใหญ่มีสายตาที่สูงเกินไป หากจะไม่ถูกใจสตรีทั่วไปก็คงทำอันใดไม่ได้” เยี่ยหลีเอ่ยถอนใจเสียงเบา อย่าว่าแต่ตัวสวีชิงเฉินเองเลย แม้แต่เยี่ยหลีก็ยังคิดว่ามีสตรีอยู่เพียงไม่กี่คนที่คู่ควรกับพี่ใหญ่ของนาง สตรีคนเดียวที่พอเรียกได้ว่าน่าสนใจก็คือองค์หญิงอันซี แต่พี่ใหญ่ก็ดันไม่ชอบเสียอย่างนั้น

“สายตาสูงเกินไป?! เขาคิดจะแต่งงานกับนางฟ้านางสวรรค์หรืออย่างไร!” สวีฮูหยินใหญ่เช็ดน้ำตาอย่างอดไม่อยู่ พร้อมพร่ำบ่นด้วยความโกรธ “คิดว่าผู้อื่นเรียกเขาว่ายอดคุณชายอันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้วมีดีนักหรืออย่างไร คิดว่าสตรีในใต้หล้าล้วนไม่มีผู้ใดที่เข้าตาเขาแล้วอย่างนั้นหรือ เขาก็มีสองตา หนึ่งจมูกเช่นเดียวกับผู้อื่น! เจ้าดูเขาสิ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาอายุมากเช่นนี้แล้ว หากรอไปอีกสองปีคนไม่มีสตรีสาวคนใดที่ยินดีแต่งงานกับบุรุษที่แก่กว่าตนหนึ่งรุ่นแล้ว ก็เพราะเขาเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเช่นนี้ ยามนี้ชิงเฟิงของลุงรองเจ้า แล้วยังชิงป๋อชิงเยี่ยน ทุกคนก็เอาแต่บอกว่าจะไม่ยอมแต่งงาน! ทั้งหมดเป็นความผิดของคนเป็นที่ใหญ่อย่างเขา!”

เยี่ยหลีได้แต่บ่นในใจ คนเช่นพี่ใหญ่นั้น อย่าว่าแต่อายุสามสิบเลย เกรงว่าต่อให้อายุสี่สิบปี ก็ยังมีสตรีที่อยากวิ่งไล่ตามเพราะอยากแต่งงานกับเขาอยู่ดี

สวีฮูหยินใหญ่โกรธจัด เยี่ยหลีจึงทำได้เพียงเอ่ยปลอบโยนเสียงอ่อน พลางเอ่ยว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่อย่าได้โกรธพี่ใหญ่อีกเลย พี่ใหญ่กตัญญูที่สุดแล้วนะเจ้าคะ หากพี่ใหญ่รู้ว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่เป็นทุกข์เช่นนี้ก็จะเป็นทุกข์ไปด้วยนะเจ้าคะ เรื่องบุพเพสันนิวาส ผู้ใดก็มิอาจอธิบายได้ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้พี่ใหญ่อาจจะพบสตรีนางหนึ่ง ที่จะไปคอยไล่ตามและอยากแต่งงานกับนางก็ได้นะเจ้าคะ”

ถึงแม้ความเป็นไปได้จะเกือบเท่ากับศูนย์ก็เถิด เยี่ยหลีจินตนาการท่าทางการตามจีบและเอาใจสตรีนางหนึ่งของเขาไม่ออกเลยจริงๆ

“ท่านป้านสะใภ้ใหญ่คิดทำเช่นไรไว้หรือไม่เจ้าคะ” เยี่ยหลีเองรู้ดีว่า สวีฮูหยินใหญ่คงไม่มีทางมาเพื่อพร่ำบ่นกับนางโดยเฉพาะหรอก

สวีฮูหยินใหญ่พยักหน้า เอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “จะให้เขาทำตัวเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ป้าสะใภ้รองของเจ้าคิดจะพาชิงเฟิงไปดูตัวสะใภ้คนหนึ่ง ข้าเองก็ดูไว้ให้เขาสองคนเช่นกัน เจ้าช่วยป้าลองคิดหาวิธีดูที ให้เขายอมไปพบสตรีเหล่านั้นสักครั้ง เด็กคนนี้เล่ห์เหลี่ยมมากนัก แค่ข้าเอ่ยปากเรื่องนี้กับเขา เขาก็วิ่งหนีหายไปจนไม่เห็นเงาเสียแล้ว วันนี้บอกยุ่งเรื่องนี้ พรุ่งนี้บอกยุ่งเรื่องนั้น ข้าเองก็มิค่อยได้ออกไปไหน จะตามจับเขาทันได้อย่างไร”

เยี่ยหลีนึกยินดีขึ้นทันที ที่แท้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่คิดอยากพาพี่ใหญ่ไปดูตัว แต่หาตัวเขาไม่พบนี่เอง เยี่ยหลีเอียงศีรษะคิดเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าด้วยความมั่นใจว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่โปรดวางใจ ถึงเวลาหลีเอ๋อร์จะต้องให้พี่ใหญ่กลับไปให้ได้เจ้าค่ะ”

สวีฮูหยินใหญ่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง “เช่นนั้นคงต้องรบกวนหลีเอ๋อร์แล้ว”

เยี่ยหลียิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่บอกรบกวนอันใดกันเจ้าคะ หลีเอ๋อร์เองก็อยากมีพี่สะใภ้ใหญ่โดยเร็วเช่นกันเจ้าค่ะ”