ฉีหนานไม่อยากจะเชื่อนัก เขารู้สึกว่ามหาเทพไป๋เจ๋อน่าจะยังไม่ชราถึงขั้นเลอะเลือน แต่ที่เขาชอบเรียกใช้ลูกศิษย์ให้ไปนู่นมานี่น่าจะเป็นเพราะมีนัยยะแอบแฝงว่าอยากจะให้ลูกศิษย์ได้เปิดหูเปิดตามากกว่า
เขาพลันเห็นจดหมายฉบับหนึ่งเสียบอยู่ในตำราขององค์หญิง จึงอดที่จะกล่าวออกมาอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “นี่คืออะไรกันพ่ะย่ะค่ะ”
“การบ้านที่อาจารย์มอบให้ทำ” เสวียนอี่ดันจดหมายไปหาเขา
ฉีหนานอ่านอย่างละเอียดหนึ่งรอบแล้วกล่าวอย่างตกใจว่า “องค์หญิง! การบ้านนี้เหลือเวลาทำอีกไม่ถึงสิบห้าวันแล้ว! ทำไมท่านถึงยังไม่ไปทำกัน”
องค์หญิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เพราะว่าดูแล้วมันยุ่งยาก”
มหาเทพไป๋เจ๋อทำสร้อยไข่มุกหายไปที่แม่น้ำอูที่โลกเบื้องล่าง ตัวเขาไม่ยอมไปหาเองก็ยังไม่เป็นอะไร แต่ว่าเขากลับปล่อยให้ผ่านไปถึงสองหมื่นปีแล้วถึงได้มาเรียกให้บรรดาลูกศิษย์ลงไปหาที่โลกเบื้องล่าง ครั้งที่แล้วให้ไปเอาผมของเทพเฟยเหลียน ไม่ว่าก็ยังคงอยู่ในแดนเทพ แต่ครั้งนี้กลับให้นางลงไปโลกเบื้องล่าง หรือว่าอาจารย์จะเห็นว่าพวกนางเป็นบ่าวรับใช้ไปแล้วจริงๆ
ฉีหนานกล่าวอย่างร้อนรนว่า “แต่…นี่คือการบ้านนะพ่ะย่ะค่ะ! องค์หญิงจะไม่ทำได้อย่างไร ในนี้ไม่ใช่ว่ามีเขียนเอาไว้แล้วหรือว่าให้ลงไปโลกเบื้องล่างผ่านกระจกชางเซิง องค์หญิงไปครั้งนี้จะได้ไปเปิดหูเปิดตา ไปลองเรียนรู้ประสบการณ์ของคนที่โลกเบื้องล่าง ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าจะให้ท่านเอาแต่ขลุกอยู่ในวิมานม่วงอย่างนี้ทุกวัน”
เสวียนอี่ปิดตำราลง “ฉีหนาน ข้าจะอ่านตำราในวิมานม่วงของตัวเองอย่างมีความสุขไม่ได้เลยใช่หรือไม่”
ฉีหนานเองก็ไม่ยอมลดละ “ในเมื่อองค์หญิงได้เป็นศิษย์ของมหาเทพไป๋เจ๋อแล้ว ก็ควรจะปฏิบัติตามกฎ การบ้านของอาจารย์ท่านจะคร้านไม่ทำได้อย่างไร”
นางมีชื่อเสียดังไปทั่วอย่างนี้แล้ว ทั้งยังไม่ยอมทำอะไรเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับมาบ้าง หรือจะยอมถูกขึ้นชื่อว่าเป็นคนเย่อหยิ่งถือดีไร้มารยาทอย่างนี้ต่อไป
คราวนี้กลายเป็นเสวียนอี่บ้างที่ต้องถอนหายใจ นางรู้ว่า หากว่าตัวเองยังดื้อดึงต่อไป ฉีหนานก็ทำอะไรนางไม่ได้ แต่ว่าต่อไปอีกสิบปีฉีหนานก็คงยังจะยกเอาเรื่องนี้มาพูดอยู่ร่ำไป
นางกัดเม็ดบ๊วยในปากจนแตก แล้วลุกขึ้นยืน ปากเต็มไปด้วยรสขมแล้วกล่าวว่า “ได้ ข้าไป”
ใครใช้ให้เขาคือฉีหนานกันเล่า
เพราะอาจารย์กำชับว่าจะต้องลงไปโลกเบื้องล่างผ่านกระจกชางเซิง ฉีหนานจึงทำตามอย่างเคร่งครัด และพาองค์หญิงมายังตำหนังชางเซิง ก่อนที่เขายังไปยังเอาแผนที่แผ่นหนึ่งมอบให้กับองค์หญิงแล้วพูดกำชับว่า “ทางในตำหนักชางเซิงซับซ้อนมาก องค์หญิงจะต้องเดินไปตามแผนที่นี้ จำไว้ให้ดี จำไว้ให้ดี”
ไม่เหมือนกับตำหนักหมื่นเทพที่ใหญ่โตโอ่อ่า ที่นี่มีเทพผู้คุมชะตาสององค์คอยดูแลตำหนักชางเซิง ตำหนักนี้หากมองจากด้านนอกจะเหมือนกับรังไหมขนาดยักษ์ ที่ภายในเต็มไปด้วยเส้นทางเล็กๆ สลับซับซ้อนไปมา ถึงแม้ว่าเงยหน้ามองก็สามารถเห็นกระจกชางเซิงบานใหญ่ที่น่าอัศจรรย์นั้นได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไปไม่ถึงที่นั่นสักที
องค์หญิงน้อยที่ความจำสั้นหลงทางอยู่ในตำหนังชางเซิงมาสองชั่วยาม ก็นึกขึ้นได้ทั้งที่น้ำตานองหน้าว่าฉีหนานได้ให้แผนที่กับตัวเองเอาไว้
นางปีนขึ้นไปยังแท่นกระจกชางเซิงอย่างยากลำบาก มองจากตรงนี้กระจกชางเซิงมีขนาดใหญ่โตมาก แทบจะสูงกว่าภูเขาอีก บนนั้นมีแสงหลากสีระยิบระยับสว่างไสวหลายสาย ซึ่งนั่นก็คือชะตาชีวิตการเวียนว่ายของมนุษย์โลกเบื้องล่าง พรหมลิขิตและชะตาทั้งหมดอยู่ในกระจกบานนี้และมีเทพผู้คุมชะตาสององค์เป็นผู้ดูแล
เสวียนอี่กำลังจะขึ้นไป ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น อำมาตย์กลุ่มหนึ่งเดินขึ้นบันไดแก้วมาเป็นขบวนอย่างช้าๆ พอเห็นนางเข้า บรรดาอำมาตย์ก็โค้งตัวทำความเคารพพลางเบี่ยงไปอีกด้านแล้วเดินขึ้นไปบนแท่นกระจก
อำมาตย์ชราผู้นำขบวนที่ผมขาวไปทั้งศีรษะกล่าวออกมาเสียงดังว่า “ท่านเทพผู้คุมชะตาทั้งสองอยู่ที่ใด ทพ์ชราผู้นำขบวนที่ผมขาวไปทั้งศีรษะนั้นพวกเราคือขุนนางของจักรพรรดิแดง วันนี้มาส่งองค์หญิงน้อยลงไปโลกเบื้องล่างเพื่อแก้ไขคู่ชะตาชีวิต”
จักรพรรดิแดง? องค์หญิงน้อย? เสวียนอี่อดที่จะหันกลับไปมองด้านหลังไม่ได้ แล้วนางก็เห็น เหยียนสยากำลังก้มหน้าโดยมีเหล่าอำมาตย์ติดตามกันมาเป็นพรวน ท่าทางนางไม่สู้ดีนัก สีหน้าขาวซีด ใบหน้าที่เคยงดงามก็ผอมซูบจนกระดูกปูดโปนออกมา ดวงตาทั้งสองผ่านการร้องไห้จนบวมช้ำดูไม่ได้ จนตอนนี้ก็ยังคงมีน้ำตาไหลออกมา
ในใจของเสวียนอี่มีความรู้สึกที่พูดไม่ออกขึ้นมา “ศิษย์พี่หญิงเหยียนสยา”
เหยียนสยาเงยหน้าขึ้น พอเห็นนางเข้า ดวงตาที่บวมช้ำของนางก็เป็นประกาย
“เป็นเจ้า! ” ไม่รู้ว่านางเคืองหรือแค้น “ทำไมเจ้าถึงได้อยู่ที่นี่ได้ เจ้ามาหัวเราะเยาะข้าหรือไร”
เสวียนอี่นิ่งไปแล้วจึงกล่าวเสียงเบาว่า “อาจารย์สั่งการบ้าน ให้ลงไปทำที่โลกเบื้องล่าง”
เหยียนสยายิ้มอย่างประหลาดออกมา “ข้าต้องลงไปแก้ไขชะตาคู่ครองที่โลกเบื้องล่าง เจ้ามีความสุขแล้วหรือยัง”
เสวียนอี่เอามือไพล่หลังแล้วกล่าวเสียงราบเรียบว่า “พวกท่านพอทำความผิดแล้วโยนความผิดมาที่คนอื่น อย่างนี้ถึงจะรู้สึกดีขึ้นใช่หรือไม่”
“ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูดเรื่องพวกนี้! ” เหยียนสยาพูดตัดบท “ไม่ผิด ข้ามันโง่! แต่ข้าจริงใจกับเซ่าอี๋จริงๆ! “
เพราะทุ่มเทความรู้สึกมากเกินไป ถึงได้คิดวิธีการเหล่านั้นออกมา วิธีการของนางมันช่างตื้นเขินและหยาบเสียจริง
เสวียนอี่มองไปที่นางแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ตอนนี้ศิษย์พี่เซ่าอี๋น่าจะไปใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีที่ทะเลบูรพาแล้ว”
เหยียนสยาขมวดคิ้วแน่นแล้วสะบัดศีรษะหันกลับไปอย่างแรง “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร! เซ่าอี๋ไม่รู้เรื่องนี้ก็พอแล้ว! “
เสวียนอี่ยิ้มแล้วไม่พูดอะไรอีก
ผ่านไปสักพัก เหยียนสยาก็เริ่มสะอึกสะอื้น หลายวันมานี้นางจะต้องร้องไห้น้ำตานองอย่างนี้ทุกวันแน่ ผ้าเช็ดนางของนางเต็มไปด้วยน้ำตาจนเปียกชุ่ม
เสวียนอี่ถอนหายใจแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาจากในอก นางเดินเข้าไปแล้วยื่นไปให้ “ศิษย์พี่หญิงเหยียนสยา ไม่ต้องร้องแล้ว”
เหยียนสยาไม่ได้ปฏิเสธ รับเอาผ้าเช็ดหน้าของนางมาพลางกล่าวเสียงสั่นว่า “ข้า…ก่อนหน้านี้ไม่รู้อะไรดลใจข้า ทำให้ข้าโยนความผิดไปที่เจ้า…เจ้าอย่าถือโทษข้า…”
“ข้าไม่ได้โทษท่าน”
“ข้าได้ยินแล้ว เรื่องที่ศิษย์พี่หญิงฟูหลัวกับศิษย์พี่กู่ถิงถอนหมั้นกัน แล้วนางก็ตามเซ่าอี๋ไปถึงทะเลบูรพา อยากจะสานสัมพันธ์กันเหมือนแต่ก่อน แต่ว่า…แต่ว่าเซ่าอี๋ไม่ได้ตอบตกลง…พวกเขาพูดว่า…ข้างกายเซ่าอี๋มีเทพธิดามากมาย…ข้าเขียนจดหมายไปหาเขาหลายฉบับ แต่ว่าเขาไม่เคยตอบกลับมาเลยแม้แต่ฉบับเดียว…”
เหยียนสยาพูดถึงตรงนี้ ก็กล้ำกลืนอย่างยากจะพูดต่อไปได้
“ข้าคิดว่าเขาชอบศิษย์พี่หญิงฟูหลัวจริงๆ …ข้าคิดมาตลอดว่า…เขาไม่ใช่…” น้ำตาไหลรินลงมาราวกับหยาดฝน ไม่นานผ้าเช็ดหน้าของเสวียนอี่ก็เปียกชุ่ม “จริงๆ แล้ว วันนั้นข้าไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้นเลย…แต่ข้าแค่ชอบเซ่าอี๋ เขาอยากจะอยู่กับเขา แค่พวกเราสองคน เขาตอบตกลงข้าแล้ว…แต่ว่าตอนหลังศิษย์พี่หญิงฟูหลัวไล่ตามไปที่สวนดอกไม้ทิศใต้ แล้วยังเรียกเซ่าอี๋ไปอีก…ข้าบันดาลโทสะก็เลย…ข้า…ข้าทำอะไรลงไป…ศิษย์พี่กู่ถิงจะต้องไม่ยกโทษให้ข้าแน่…”
เสวียนอี่ก้มหน้ามองนางเงียบๆ
ไม่นาน ผู้คุมชะตาสองคนก็ปรากฏตัวที่ด้านล่างแท่นกระจก ผู้คุมชะตาตัดผมยาวของ เหยียนสยาไปกระจุกหนึ่ง จากนั้นก็ไปหยิบเอาแสงสายหนึ่งในบรรดาแสงมากมายในกระจกออกมา แล้วนำเส้นผมยาวของเหยียนสยาไปมัดเข้าด้วยกัน
“องค์หญิงเหยียนสยา เชิญ” ใบหน้าของท่านผู้กุมชะตาซ่อนอยู่ในเงามืดของกระจก เสียงของเขาทุ้มต่ำ และยังเยือกเย็นราวกับไร้ซึ่งอารมณ์
เหยียนสยาเช็ดน้ำตาจนแห้ง แล้วก้าวไปข้างหน้า แต่ก็อดที่จะหันกลับมามองไม่ได้ แววตาก็มีประกายความหวังริบหรี่แล้วถามเสียงสั่นว่า “เซ่าอี๋…ถามถึงข้าบ้างหรือเปล่า”
เสวียนอี่กล่าวเสียงต่ำว่า “ศิษย์พี่หญิงคิดมากไปแล้ว”
ประกายความหวังในดวงตาของเหยียนสยาดับแสงไปราวกับเปลวเพลิงที่ดับมอด แต่ไม่นาน อารมณ์ของนางก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย นางหมุนตัวแล้วก้าวเข้าไปในตำหนักชางเซิงแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ผิด ข้าคิดมากเกินไปจริงๆ “
ร่างบอบบางของนางสั่นไหวท่ามกลางแสงตระการตาแล้วหายไป
เสวียนอี่จ้องไปยังเส้นแสงมากมายนั้นอยู่นานมาก นางคิดถึงเรื่องเมื่อก่อน คิดถึงตอนที่น้ำตาร้อนๆ ของท่านแม่ไหลรินลงบนใบหน้าของนาง แล้วบอกกับนางหลายต่อหลายครั้งว่า “เสวียนอี่ อีกหน่อยเจ้าอย่าได้ไปหลงรักใครโดยง่ายเด็ดขาด ตอนแรกเจ้าอาจจะรู้สึกว่าความรักมันช่างแสนสุขและหวานชื่น แต่ว่าตอนหลังจะเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานที่ไม่จบไม่สิ้น เฮ้อ…ผู้ชายนั้น ต่อให้ก้าวเข้าไปในบ่วงอารมณ์ก็ยังสามารถถอนตัวออกมาได้ แต่ว่าผู้หญิง หากว่ารักใครไปแล้วกลับยากที่จะถอนตัวกลับมาได้ เจ้าจำคำของแม่เอาไว้ อย่าได้ลืมเด็ดขาด! “
นางยังจำได้ดีถึงเส้นทางคดเคี้ยวที่เต็มไปด้วยเลือด นางปั้นดอกไม้เอาไว้มากมายนับไม่ถ้วน แต่ว่าก็ยังปกปิดพวกมันเอาไว้ได้ไม่มิดอยู่ดี
ช่างเป็นวันที่ไม่มีความสุขเลยจริงๆ