ภูตชาด

 

 

 

ภายใต้มีดสีทองที่พลิ้วไหว มีดลำแสงสิบจั้งเศษสายหนึ่งสับลงมาหากระบี่โลหิต แหวนสีเขียวมรกตชิ้นหนึ่งเปล่งเสียงร้องครวญออกมา กลายเป็นเงาลวงตาขนาดยักษ์สีเขียวสายหนึ่ง พุ่งเข้ามาหากระบี่โลหิตเช่นกัน

 

 

“เพ้อเจ้อ!” ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งคนหนึ่งเห็นท่าทางของหญิงสาว ก็ร้องตะโกนออกมา ทันใดนั้นมือหนึ่งพลันตบไปที่หยกสีขาวข้างเอว

 

 

ของสิ่งนี้กลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ท่ามกลางการหมุนวนติ้วๆ ก็กลายเป็นม่านลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งห่อหุ้มกระบี่โลหิตเอาไว้

 

 

ชั่วขณะนั้นมีดลำแสงและเงาลวงตาพลันโจมตีไปบนม่านลำแสง ชั่วขณะนั้นเสียงดังสนั่นพลันดังขึ้นสองครั้ง ม่านลำแสงสีขาวพลิ้วไหวอย่างรุนแรง อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น แต่คาดไม่ถึงว่าจะรับการโจมตีจากสมบัติทั้งสองเต็มๆ

 

 

หญิงสาวพลันหน้าเปลี่ยนสี ชูมือหนึ่งขึ้นโดยไม่ได้ปริปาก ร่ายอาคมโจมตีไปยังมีดสั้นสีทองเล่มนั้น ในเวลาเดียวกันปากก็บริกรรมคาถาออกมา

 

 

มีดสั้นเปล่งแสงสับลงไปที่ม่านลำแสงสีขาวอีกครั้ง

 

 

การโจมตีนี้ดูแล้วแผ่วเบา จนดูเหมือนไม่มีพลัง แต่กลับเป็นเส้นอวบหนา มีดลำแสงยาวประมาณร้อยจั้งเศษ ปรากฏขึ้นกลางม่านลำแสง สับลงมาราวกับใบมีดสวรรค์

 

 

ใบมีดนี้ยังไม่ทันตกลงมาจริงๆ อากาศรอบๆ ก็สั่นคลอนเปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงออกมา

 

 

ผู้ใดก็ดูออกว่า มีลำแสงนี้สับลงมาอย่างแน่นหนา ม่านลำแสงสีขาวไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด

 

 

ในตอนนั้นเองผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งอีกคนหนึ่งก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา ฉีกแขนเสื้อยาวๆ ของตนเอง เผยร่างกายที่ทำให้ผู้คนขนลุกซู่ออกมา

 

 

ร่างกายครึ่งท่อนที่ดูเหมือนธรรมดาๆ ของคนผู้นี้มีหัวภูตผีสีแดงสดขนาดเท่ากำปั้นอยู่เจ็ดแปดหัวกำลังกัดอยู่บนร่างกายของเขา และเลื้อยขยุกขยิกไปมาไม่หยุด

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงออกมา ชั่วขณะนั้นหัวภูตผีสามหัวก็พลิ้วไหวแล้วอ้าปากออก ทันใดนั้นก็สั่นคลอนแล้วหายวับไป

 

 

ครู่ต่อมาเหนือม่านลำแสงสีขาว ก็มีไอทมิฬสามกลุ่มระเบิดออกมา

 

 

ท่ามกลางไอสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ผีสีแดงสดสูงห้าหกจั้งสามตัวปรากฏขึ้น

 

 

ผีดุร้ายสามตัวมองไปยังมีดลำแสงยักษ์กลางอากาศ ฉับพลันนั้นสองแขนร่ายรำกลายเป็นกระบี่ยาวสีแดงสดสองเล่ม ถูกภูตผีร้ายที่อยู่ตรงกลางจับเอาไว้

 

 

ทันใดนั้นไอทมิฬก็หมุนวนทยอยกันจมหายเข้าไปในภูตผีและกระบี่ยักษ์สองเล่ม

 

 

ภูตผีอัปลักษณ์เปล่งเสียงกรีดร้องลั่นฟ้าออกมา ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นเจ็ดแปดเท่า จนมีขนาดสามสิบจั้งเศษ จากนั้นก็ชูกระบี่ภูตสีแดงสดที่ใหญ่กว่าสองสามเท่าออกมาพร้อมกัน สับไปทางดาบลำแสงกลางอากาศจนกลายเป็นรูปกากบาท

 

 

ลำแสงสีแดงลำแสงสีทองพัวพันตัดสลับกัน เปล่งเสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น!

 

 

มีดลำแสงยักษ์ที่อยู่ด้านล่างถูกกระบี่ยักษ์สองเล่มยาวสิบจั้งเศษต้านเอาไว้

 

 

ทันใดนั้นก็สั่นเทา มีดลำแสงหายวับไป

 

 

ขณะเดียวกันกระบี่ภูตสองเล่มและแขนหนาๆ ทั้งสองของภูตดุร้ายที่ถือกระบี่อยู่ด้านล่างกลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน กลายเป็นหมอกสีแดงแล้วสลายหายไป

 

 

ในตอนนั้นเองหลังจากที่เงาลวงตาสายหนึ่งหมุนวนโคจร ก็ทุบลงมาที่ภูตผี

 

 

ภูตผีผมแดงที่อยู่ตรงกลางเห็นเช่นนั้นกลับไม่ลนลาน เห็นหมอกสีแดงหมุนวนมาอยู่เบื้องหน้า ก็กลายเป็นแขนภูตและกระบี่ยักษ์สองเล่มที่เหมือนกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

 

 

การโจมตีของเงาลวงตา แน่นอนว่าถูกกระบี่ยักษ์สองเล่มต้านทานเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย และโจมตีจนกระเด็นลอยไป

 

 

หญิงสาวที่อยู่ไกลออกไปเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าซีดขาว

 

 

นางกัดฟันกรอดสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงขนาดเท่ากำปั้นสีเหลืองแดงขาวสามกลุ่มพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ‘ปี่’ ‘ขิม’ ‘พิณ’ สามชิ้นปรากฏขึ้นเป็นแถว

 

 

นิ้วทั้งสิบของหญิงสาวชี้ไปทางสมบัติทั้งสามชิ้นราวกับล้อรถ สมบัติสามชิ้นเปล่งแสงขึ้นพร้อมกัน ลำแสงสามชนิดที่ไม่เหมือนกันพุ่งออกมาพร้อมกัน และผสมรวมตัวกันกลางอากาศ กลายเป็นลำแสงสามสีกลุ่มหนึ่งม้วนไปทางภูตดุร้าย

 

 

แต่เมื่อลำแสงหลากสีบินออกมาได้ระยะหนึ่ง เบื้องหน้าลำแสงก็มีไอทมิฬสี่กลุ่มระเบิดออก จากนั้นภูตผมแดงสี่ตัวก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

 

 

พวกมันอ้าปากไปทางลำแสงสามสีพร้อมกัน พ่นไอทมิฬสีดำสี่กลุ่มออกมา ชั่วครู่ก็ต้านทานลำแสงสามสีเอาไว้ และยืนกรานต่อกันอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันหญิงสาวตกตะลึง ตอนที่กำลังคิดหาวิธีอื่นนั้น เหนือหัวกลับมีเสียง “สวบ” ดังขึ้น เงาลวงตาสีแดงสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ สองมือโบกสะบัดเล็กน้อย ไอกระบี่หนาๆ สองสายสับลงมาอย่างรุนแรง

 

 

ภูตสีแดงที่เดิมทีหยุดอยู่บนม่านลำแสงสีขาวตัวนั้นแหวกอากาศมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เคลื่อนย้ายมาอยู่เหนือหัวอย่างเงียบเชียบ

 

 

หญิงสาวรู้สึกตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวผสมปนเปกัน ร่างกายพลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งออกไป หลบการโจมตีนี้ไปได้ ในเวลาเดียวกันมือหนึ่งพลันกวักไป ชั่วขณะนั้นมีดสีทองและแหวนสีเขียวที่อยู่ไกลออกไปพลันพุ่งกลับมา ล้อมรอบหัวของภูตผีแล้วโจมตีอย่างบ้าคลั่ง

 

 

ภูตตัวนี้ร่ายกระบี่ยักษ์ในมือ ปกป้องร่างกายเอาไว้อย่างไม่แสดงอาการอ่อนแอออกมา

 

 

เช่นนั้น หญิงสาวชุดขาวจึงอาศัยอานุภาพของสมบัติห้าชิ้น ต่อสู้กับภูตสีแดงเจ็ดตัวพร้อมกัน และไม่อาจละความสนใจไปทำอะไรกระบี่ยักษ์สีโลหิตได้

 

 

เยี่ยฉู่ที่อยู่อีกด้านเองก็ปล่อยกระบี่บินสีเขียวเหลืองสองสีสิบกว่าเล่มออกมา กลายเป็นเงากระบี่เต็มท้องฟ้าต่อสู้หัวมารผมยุ่งเหยิงฝูงหนึ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งสองตนเรียกออกมา

 

 

หัวมารเหล่านี้มีขนาดพอๆ กับศีรษะมนุษย์ แต่ไม่มีร่างกาย ในเวลาเดียวกันเขี้ยวที่งอกออกมา ก็พ่นไอมารสีม่วงออกมา ทำให้อาณาบริเวณรอบจั้งกลายเป็นม่านหมอกหนาๆ

 

 

เยี่ยฉู่กลับถูกม้วนเข้าไปข้างใน

 

 

เงามารอยู่ในก๊าซพิษ หลังจากที่เยี่ยฉู่เปลี่ยนการโจมตีไปสองสามชนิดแล้ว กลับไม่อาจหนีออกมาได้ในทันที จึงทำได้เพียงปล่อยลำแสงสีเขียวออกมาปกป้องร่างและพัวพันกับก๊าซนั่นไม่หยุด

 

 

หญิงสาวผู้นี้กวาดสายตามาอย่างรีบร้อน แน่นอนว่าจึงมองเห็นหญิงสาวชุดขาวกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นกัน ในใจจึงอดที่จะรู้สึกหนักอึ้งไม่ได้ แต่ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ คอระหงหันไปอีกด้าน ผลคือสิ่งที่เห็นทำให้นางตะลึงงัน

 

 

จุดที่นางจับต้องไปนั่นก็คือหานลี่ที่ยังไม่ลงมือ

 

 

เขาในครานี้เอาสองมือไพล่หลังลอยอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน

 

 

ทว่านั่นไม่ใช่เพราะหานลี่ไม่คิดจะลงมือ แต่เพราะเบื้องหน้าของเขาไม่ไกลนัก หญิงสาวชุดดำคนหนึ่งกำลังมองมาด้วยท่าทีอมยิ้ม

 

 

นั่นก็คือเสี่ยวหงของเผ่าหงส์ทมิฬ

 

 

หานลี่ดูเหมือนว่าจะกำลังหวาดกลัวและไม่กล้าเสี่ยงลงมือ

 

 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องของเผ่ามนุษย์ สหายสอดมือมายุ่งกับเรื่องของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของพวกเรา หรือว่าอยากหาเรื่องใส่ตัว?” เยี่ยฉู่ตะโกนไปทางหญิงสาวด้วยเสียงโหดเ**้ยม

 

 

“หากสหายอยากให้ข้าไม่ยุ่งเรื่องนี้ งั้นก็มอบขนหงส์สวรรค์ในมือมาให้ข้า ขอแค่ได้ของสิ่งนั้น ข้าจะจากไปในทันที” เสี่ยวหงเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยดย้อย

 

 

“ขนของหงส์สวรรค์อะไรกัน ข้าจะไปมีได้อย่างไร?” เยี่ยฉู่หน้าเปลี่ยนสีกลับปฏิเสธออกไป

 

 

“เหอะๆ สหายลืมไปแล้วหรือ สายลับที่ส่งมายังเผ่าพฤกษา ก็มีคนของเผ่าปีศาจเช่นกัน เขาส่งข่าวกลับมาตั้งหลายปีแล้ว บอกว่าเผ่าพฤกษาซ่อนขนของหงส์สวรรค์ที่ใช้ทำให้หงส์สวรรค์เกิดใหม่เอาไว้สามเส้น มิเช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาที่ยิ่งใหญ่อย่างสหาย จะมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ด้วยตนเองตั้งนานทำไมกัน ตอนนี้แม้แต่นายหญิงน้อยเยี่ยผู้นี้ก็ยังออกโรงด้วยตัวเอง คงได้ขนของหงส์สวรรค์มาอยู่ในมือแล้วสินะ” สตรีเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวหง เยี่ยฉู่และหญิงสาวก็เคร่งขรึมไม่ปริปากใดๆสตรีเปล่งเสียงหัวเราะออกมา สายตาตกมาบนเรือนร่างของหานลี่อีกครั้ง

 

 

“พี่หาน ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถไม่ธรรมดา แต่หากอยากเอาชนะข้าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย! มิสู้รอไปก่อน ให้คนอื่นๆ ตัดสินแพ้ชนะก่อนเป็นอย่างไร?” สตรีผู้นี้เอ่ยเช่นนี้ออกมา

 

 

แน่นอนว่าหานลี่เองก็มองเห็นสถานการณ์ที่หญิงสาวที่เหลือต่อสู้กันตั้งนานแล้ว หลังจากเงียบขรึมไปเล็กน้อย กลับฉีกยิ้มขึ้นมา

 

 

“ข้าน้อยเองก็ไม่อยากสู้อะไรกับสหาย แต่หากรอให้นายน้อยหล่งผู้นั้นหลอมโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้สำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่แล้ว เห็นแก่ความสัมพันธ์ของเรา ผู้แซ่หานขอถามสหายสักหน่อย จะถอยหรือไม่?”

 

 

“ไม่มีทางทำตามสั่งแน่!” เสี่ยวหงมีสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเย็นเยียบ

 

 

“เยี่ยม!” หานลี่สาวเท้าออกไป หลังจากนั้นร่างกายพลันรางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะก้าวออกไปไกลยี่สิบจั้งเศษตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ชั่วพริบตาก็อยู่ห่างจากสตรีไปแค่สองสามจั้ง มือหนึ่งชูขึ้น นิ้วหนึ่งวาดออกไปเป็นไอเส้นไหมเพลิง

 

 

ลำแสงสีทองเปล่งประกาย เส้นไหมสีทองสายหนึ่งมาอยู่เบื้องหน้าสตรี แล้วสับนางออก

 

 

การโจมตีในครานี้ดูเหมือนง่ายดายมาก แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเพราะหานลี่อาศัยร่างกายที่แข็งแกร่ง ประสานกับย่างก้าวควันตาข่ายและเก้าวายุแปรปรวนระดับขีดสุด

 

 

ถึงแม้ว่าสตรีผู้นี้จะเป็นปีศาจผู้บำเพ็ญเพียร แต่การเคลื่อนไหวที่ลึกลับและการโจมตีที่คาดไม่ถึงของหานลี่ก็ยังคงทำให้นางตกใจจนสะดุ้งโหยง

 

 

ความเร็วของไอกระบี่ที่กลายเป็นเส้นไหมสีทองที่ทำให้นางได้ทันได้หลบหลีกหรือป้องกัน ภายใต้อารามตกใจนั้นจึงทำได้เพียงอ้าปากพ่นเพลิงสีดำกลุ่มหนึ่งออกมา

 

 

เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้นเปลวเพลิงสีดำแยกออกไอกระบี่ชะงักค้าง

 

 

หลังจากที่สบโอกาสร่างกายของสตรีก็พลิ้วไหว หลังจากที่เส้นไหมสีทองเปล่งแสงสว่างวาบก็สับลงมาที่ชายกระโปรงของสตรีผู้นี้เพียงเล็กน้อย ส่วนนางก็พุ่งออกไปเจ็ดแปดจั้งแล้ว

 

 

หลังจากที่สตรีผู้นี้ยืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง สายตาที่มองไปทางหานลี่เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

 

 

ครานี้หานลี่เก็บกระบี่ลำแสงเข้าไปแล้ว มือหนึ่งลูบไปบนศีรษะโดยไม่เปล่งคำพูดใดๆ ลำแสงเทวะดูดปราณสีเทาพวยพุ่งขึ้นไปบนอากาศม้วนไปทางสตรีผู้นั้นตามจิตสัมผัสของเขา

 

 

ในเวลาเดียวกันฝ่ามือที่อยู่ในแขนเสื้อพลันทำสัญลักษณ์กลางอากาศอย่างเงียบเชียบ ชั่วขณะนั้นหัวกะโหลกสีขาวห้าหัวพลันปรากฏขึ้นล้อมรอบสตรีผู้นั้น ปากทั้งห้าพ่นเปลวเพลิงเย็นยะเยือกหลากสีสันออกไป ชั่วขณะนั้นก็กลายเป็นเปลวเพลิงห้าสีกระโจนออกไป

 

 

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแผ่นหลังของหานลี่ก็มีเสียงสายฟ้าฟาดดังขึ้น ปีกวายุอัสนีปรากฏขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวเปล่งประกายแล้วหายวับไปจากที่เดิม

 

 

รอจนเขาเปล่งแสงและปรากฏตัวกลางอากาศอีกครั้ง คนกับอยู่เหนือศีรษะของสตรีแล้ว สะบัดแขนเสื้อลงไปลำแสงสีทองยี่สิบสามสิบสายพุ่งลงไป

 

 

เมื่อหานลี่ลงมือก็โจมตีอย่างรุนแรงราวกับพายุห่าฝนก็ไม่ปาน

 

 

ส่วนเสี่ยวหงนั้นเมื่อหนีออกจากกระบี่เล่มนั้นของหานลี่ได้ยังไม่ทันหายตกใจก็ตกอยู่ในห้วงของความเป็นตายทันที แน่นอนว่าจึงทำให้นางทั้งโกรธทั้งตกตะลึงเป็นอย่างมาก

 

 

ร่างของสตรีผู้นี้หมุนวนอยู่ที่เดิมอย่างไม่ต้องคิด ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงสีดำพลันพุ่งออกมาจากร่างของนางถลาเข้าไปหาเปลวเพลิงลำแสงห้าสี แล้วอ้าปากออกอีกครั้ง พ่นกระจกโบราณสีดำออกมา กระจกพลิ้วไหวอยู่เบื้องหน้าลำแสงสีดำทะลักออกมา ต้านทานลำแสงสีเทาที่ถลามาเอาไว้อย่างพอดิบพอดี

 

 

ส่วนกระบี่ลำแสงสีทองยี่สิบสายที่สับลงมาเหนือหัวนั้น สตรีผู้นั้นใช้มือหนึ่งชูขึ้นไปกลางอากาศ เส้นไหมสีขาวผืนหนึ่งพุ่งออกไปกลายเป็นตาข่ายเส้นไหมขนาดยักษ์ห่อหุ้มร่างของนางเอาไว้

 

 

หานลี่เห็นฉากนี้แววตาพลันฉายแววเย็นยะเยือก ร่ายคาถากระตุ้นกระบี่ในใจ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกระบี่ลำแสงยี่สิบกว่าเล่มท่ามกลางลำแสงสีทองสับลงมาเต็มท้องฟ้า

 

 

เสียง “ชิ้งๆ” ของไอกระบี่ที่ตัดสลับกันดังขึ้นราวกับกำลังจะสับท้องฟ้าไปกว่าครึ่ง

 

 

 หญิงสาวพลันมีสีหน้าซีดขาว