บทที่ 108 แลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 108 แลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น
เจ้าหรู่เฉิงนอนยาวจนยามบ่ายถึงจะตื่น เขาบิดตัวอย่างไม่ค่อยสบายนัก กำลังคิดจะนอนต่อ แต่รู้สึกเหมือนมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ตนมองข้ามไป

เมื่อคืนนี้เหมือนได้กลิ่นคาวจางๆ ใช่หรือไม่

เขาดีดตัวขึ้นมา หยิบเสื้อผ้ามาใส่ลวกๆ จากนั้นออกไปด้านนอกอย่างรีบร้อน

ตอนเดินผ่านลานบ้านเห็นเจียงวั่งที่กำลังฝึกกระบี่ ขณะเร่งรีบก็ยังเอ่ยทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง “พี่สาม ท่านน่าจะเปลี่ยนผ้าปูใหม่ได้แล้ว มันนูนแปลกๆ”

ไม่รอให้เจียงวั่งตอบ เขาก็หายไปไม่เห็นเงาแล้ว

“เฮ้ย!” เจียงวั่งเรียกไว้ไม่ทัน งุนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “เมื่อต้นเดือนข้าเพิ่งเปลี่ยนผ้าปูเอง”

เขาเก็บกระบี่แล้วเข้าไปในห้องนอน พลิกซ้ายพลิกขวาบนเตียงนอนอยู่นานก็ไม่พบอะไร สุดท้ายเลิกผ้าปูขึ้นมาทั้งผืน จึงจะเห็นว่าบนกระดานเตียงมีขี้เลื่อยก้อนเล็กๆ อยู่ก้อนหนึ่ง

“ผ้าปูตั้งสองชั้น เขายังนอนโดนก้อนขี้เลื่อยนี่อีกหรือ

หรือว่าพวกคนรวยจะเป็นกันแบบนี้…”

……

กระเรียนเมฆาของหอนภาเทียมเมฆไม่เหมือนกับพิราบส่งจดหมายที่บินไปบินมาบนท้องฟ้า อันที่จริงมันจะอยู่ในหมู่เมฆ กลมกลืนเป็นหนึ่งกับก้อนเมฆ พลังวิชาเต๋าห่อหุ้มข่าวสารเดินทางผ่านชั้นเมฆขาว จวบจนใกล้จะถึงจุดหมาย เมฆกลุ่มหนึ่งจะถูก ‘ดึงออกมา’ ชั่วคราว ก่อนกลายร่างเป็นกระเรียนเมฆาบินร่อนลงมา

ต่อให้ก่อนหน้านั้นจะจับพลังนี้ได้ ก็ยังยากที่จะแกะข่าวสารด้านใน จะเจอเพียงพลังที่กระจัดกระจายออกมาเท่านั้น

ดังนั้นกระเรียนเมฆาส่งสารจึงเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูงมาก

เวลาที่เยี่ยชิงอวี่ส่งจดหมายมาปกติจะเป็นช่วงค่ำ ฟ้าเพิ่งเริ่มมืดได้ไม่นาน

จดหมายฉบับนี้มาช้าอยู่บ้าง ไม่รู้เรื่องอะไรทำให้ล่าช้า

กระเรียนเมฆาบินเข้ามาจากทางหน้าต่าง เจียงวั่งยื่นมือออกไปรับ แต่กระเรียนเมฆากลับบินอ้อมไปอยู่ตรงหน้าเจียงอันอันแทน

“จดหมายของข้า!” เจียงอันอันหัวเราะคิกคัก วางกระดาษคัดอักษรที่กำลังเขียนอยู่ลง และรับจดหมายเมฆาที่กลายร่างมาจากกระเรียนเมฆากับหินเก็บเงาก้อนหนึ่งไว้

“ใช่ เป็นของเจ้า” เจียงวั่งยิ้มอย่างเอ็นดู เขยิบตัวเข้าไปเตรียมจะอ่านด้วยกัน

เจียงอันอันพลันคว้าจดหมายหันหน้าวิ่งออกไป “ไม่ให้ท่านอ่านหรอก!”

เจียงอันอันซ่อนอยู่ในห้องนอนนานสองนาน จึงจะกลับมายังห้องหนังสือ

“กระเรียนเมฆาเล่า”

“ข้าเขียนจดหมายตอบเสร็จ มันก็บินกลับไปแล้ว!”

เจียงวั่งที่กำลังอ่านคัมภีร์เต๋าหันหน้ามา “พี่ชายยังไม่ได้เขียนเลย”

เจียงอันอันถลึงตาใส่เขาอย่างภาคภูมิใจ “จดหมายฉบับนี้เขียนให้ข้า ไม่เกี่ยวกับท่านเสียหน่อย!”

คิดถึงในตอนแรก นางแค่เขียนคำทักทายแนบไปด้วยเท่านั้น เพิ่งผ่านมาไม่นานก็โดนชิงกระเรียนจดหมายไปแล้ว แย่งตำแหน่งเพื่อนทางจดหมายแทนที่เจียงวั่งได้สำเร็จ

เจียงอันอันยังล้วงกระเรียนเมฆาจิ๋วที่น่ารักตัวหนึ่งออกมาโอ้อวด “พี่ชิงอวี่ให้กระเรียนเมฆาน้อยกับข้าตัวหนึ่งด้วย ภายหลังเวลาข้าคิดถึงนาง ก็เขียนจดหมายถึงนางได้เลย!”

กระเรียนเมฆาส่งสารไม่ใช่สัตว์เมฆาธรรมดา มันสามารถค้นหาตัวผู้รับจดหมาย และยังรับประกันความปลอดภัยในการนำสารอีกด้วย นับเป็นของมหัศจรรย์ที่ไม่เลวชิ้นหนึ่ง

ไม่เห็นนายท่านตู้เหยี่ยหู่ผู้ทรงเกียรติหรือ คุยโม้โอ้อวดเสียขนาดนั้น กลับทำได้เพียงส่งพลทหารบื้อๆ คนหนึ่งวิ่งมาอ่านจดหมายปากเปล่า ของแปลกระดับกระเรียนเมฆา เขาไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องใช้งานเลย

แน่นอน เจียงวั่งเองก็ไม่มี…

“ได้” เจียงวั่งเอ่ยอย่างปวดใจ “ไว้เจ้าเจอตัวอักษรที่ไม่รู้จักในจดหมาย หรือตัวหนังสือที่เขียนไม่เป็นตอนจะเขียนตอบ ก็ไม่ต้องมาหาข้า”

“ฮึ” เจียงอันอันชี้ไปยังกระดาษคัดอักษรบนโต๊ะตัวเล็ก “ตัวอักษรบนกระดาษคัดแผ่นนี้ ข้าจำได้ทุกตัวเลย!”

“เก่งมาก เก่งมาก” เจียงวั่งตอบกลับอย่างขอไปที จากนั้นอ่านคัมภีร์เต๋าของเขาต่อ

‘พรุ่งนี้จะซื้อให้เจ้าใหม่ เอาไปเลยยี่สิบแผ่น!’ เขาแอบตะโกนอยู่ในใจ

เจียงอันอันหยิบพู่กันด้ามเล็กขึ้นมา ตั้งอกตั้งใจคัดลอกตัวอักษร

เจียงวั่งพลิกหน้ากระดาษ จู่ๆ นึกถึงจดหมายปากเปล่าของตู้เหยี่ยหู่เมื่อตอนกลางวัน จึงถามขึ้นเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “อันอัน เจ้าเคยคิดถึงคนคนหนึ่งบ้างหรือไม่ คนที่อายุพอๆ กับพี่ชาย จากไปแล้วพักหนึ่ง”

“ใครหรือ”

“อืม ไม่มีอะไร”

น้องอันอันต้องคิดถึงเจ้ามากแน่ๆ? หืม? ว่าอย่างไรล่ะพยัคฆ์ตู้

…….

หอสามจรุง

ในห้องของเมี่ยวอวี้ ฟางเจ๋อโฮ่วผู้กุมอำนาจตระกูลฟางนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้พลางสูดดมกลิ่นชา

“รองเจ้ากรมฟางคิดว่าอย่างไร” เมี่ยวอวี้ถามเสียงนุ่ม

ฟางเจ๋อโฮ่วสูดกลิ่น ก่อนจะวางถ้วยชาลง

“ไม่เท่าไร” เขาเหมือนกำลังประเมินชาถ้วยนี้

“มีเงื่อนไขอะไรท่านเอ่ยมาได้” เมี่ยวอวี้ก็ไม่ได้รำคาญ ยังคงยิ้มละไม

“เงื่อนไขอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น” ฟางเจ๋อโฮ่วลุกขึ้น ปัดๆ เสื้อตัวยาว “ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ข้าแตะต้องได้ ข้าก็จะไม่แตะ”

โลกภายนอกลือกันว่าเขาลุ่มหลงในความงาม หมอบคลานอยู่ใต้ชายกระโปรงของเมี่ยวอวี้ ใครจะรู้ว่าตอนเขาอยู่ในห้องของเมี่ยวอวี้ กลับพูดจาไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้

“รองเจ้ากรมฟางลืมไปแล้วหรือ เส้นทางการค้าของรัฐอวิ๋นเส้นนี้ได้มาอย่างไร”

ฟางเจ๋อโฮ่วหยุดฝีเท้าที่จะเดินออกไป หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เรื่องเส้นทางการค้ารัฐอวิ๋น ข้าขอบคุณความช่วยเหลือจากหอสามจรุงของพวกท่านมาก แต่ถ้าพูดถึงด้านการค้า ค่าตอบแทนที่คู่ควรข้าจ่ายไม่เคยขาด พวกเราแลกเปลี่ยนกันเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ติดค้างซึ่งกันและกัน หอสามจรุงที่ยิ่งใหญ่คงไม่นำเรื่องนี้มาบีบข้าหรอกกระมัง”

“แน่นอนว่าไม่ หากรองเจ้ากรมฟางไม่ยินยอม เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่บีบบังคับ”

“ขอบคุณแม่นางเมี่ยวอวี้ที่เข้าใจและให้อภัย” ฟางเจ๋อโฮ่วพูดพลางถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเหลือแม่นาง แต่รัฐอวิ๋นตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ไม่มีใครกล้าพาคนออกนอกเขตแดน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ล้วนอันตรายยิ่งทั้งสิ้น”

เมี่ยวอวี้ยิ้มหยาดเยิ้ม “รองเจ้ากรมฟางไม่จำเป็นต้องพูดมากความ เมี่ยวอวี้เข้าใจ”

“แม่นางเมี่ยวอวี้คุณธรรมสูงส่ง บุคลิกเหนือคนทั่วไป ข้าแซ่ฟางขอตัวก่อน ครั้งหน้าค่อยมารบกวนใหม่”

ฟางเจ๋อโฮ่วประสานมือคารวะแล้วจากไป

ขณะมองประตูที่ปิดลง เมี่ยวอวี้เผยยิ้ม

“หากหอสามจรุงแลกเปลี่ยนกับเจ้าจริงๆ ละก็ เจ้าแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น ไม่ติดค้างกันแล้วแน่นอน

แต่คนที่ช่วยเจ้าคือสำนักกระดูกขาว เจ้าจะไม่ติดค้างได้อย่างไร”

…….

หอชมจันทร์ ในห้องลับห้องหนึ่ง

ฟางเฮ่อหลิงเอามือไพล่หลังถามขึ้น “จัดคนเรียบร้อยแล้ว?”

พ่อบ้านที่ยืนอยู่ทางขวาของเขาก้มศีรษะตอบ “จัดน่ะจัดเรียบร้อยแล้ว แต่ว่านายน้อย ตอนนี้…”

ฟางเฮ่อหลิงโบกมือตัดบทเขา “ทำตามที่ข้ากำชับก็พอ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง!”

พ่อบ้านทำงานในตระกูลฟางมาสิบกว่าปีแล้ว ย่อมเข้าใจความสำคัญของฟางเฮ่อหลิงในใจฟางเจ๋อโฮ่ว

แต่เรื่องใหญ่มาก จึงอดทำสีหน้าลำบากใจไม่ได้ “พวกเราบุกเบิกเส้นทางการค้านี้มาได้ไม่ง่าย กับคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปคนหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าไปกระทำผิดอะไรมา หากถูกทางรัฐอวิ๋นตรวจสอบเจอ กิจการของพวกเราจะจบสิ้นนะขอรับ”

ครั้นฟางเผิงจวี่ตายไป อนาคตของตระกูลฟางก็ไม่ได้ถูกมองว่าสดใสเท่าอีกสองตระกูลใหญ่แล้ว บวกกับก่อนหน้านี้มารกลืนจิตใจทำลายค่ายกลป้องกันศาลบรรพชน สังหารผู้เป็นดั่งหัวเรี่ยวหัวแรงและผู้แข็งแกร่งเสาหลักของตระกูลไป ชื่อเสียงของทั้งตระกูลฟางในตอนนี้จึงสั่นคลอนจวนจะล้ม กระทั่งพูดได้ว่า เกินกว่าครึ่งต้องพึ่งพาเส้นทางการค้าที่ติดต่อผูกขาดกับรัฐอวิ๋นสายนี้ช่วยประคับประคอง

ดังนั้นตระกูลฟางจะเสี่ยงอันตรายไม่ได้

ทว่าผู้กุมอำนาจในปัจจุบันของตระกูลฟางคือฟางเจ๋อโฮ่ว การขึ้นเป็นประมุขตระกูลก็แค่ต้องรอให้ประมุขตระกูลเฒ่าที่ป่วยร่อแร่คนนั้นหมดลมหายใจไป ฟางเฮ่อหลิงในฐานะที่เป็นทายาทสายตรงของฟางเจ๋อโฮ่ว หรือประมุขตระกูลในอนาคตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ซ้ำยังฝึกบำเพ็ญอยู่ในสำนักเต๋าสายใน คำที่เขาพูดมา คำสั่งที่สั่งการลงมา พ่อบ้านคนนี้ไม่สามารถคัดค้านได้เลย

และเพราะเร่งรัดกระชั้นชิด เขาจึงไม่มีโอกาสได้ไปรายงานฟางเจ๋อโฮ่วเลยด้วยซ้ำ

“สำหรับเจ้าที่มาที่ไปไม่ชัดเจน แต่สำหรับข้ากลับชัดแจ้งยิ่งกว่าอะไร เจ้าวางใจเถิด มีปัญหาอะไรข้ารับผิดชอบเอง”

ฟางเฮ่อหลิงเอ่ยกับพ่อบ้านไม่กี่คำ จากนั้นก็ออกมาจากห้องมืด

เพียงไม่นานก็เดินเข้าไปในห้องส่วนตัวซึ่งมีเสียงสรวลเสเฮฮาดังออกมา

วันนี้เขาเชิญเหล่าศิษย์พี่น้องมาร่วมงานเลี้ยงที่นี่ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น

หากวันนี้เกิดอะไรขึ้นจริงๆ จะต้องสืบสาวมาถึงตัวเขาไม่ได้

……………………………………….