ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 305 คิดว้าวุ่น

จอมศาสตราพลิกดารา

ไม่เพียงแค่ความรู้สึกอ่อนแอจากการสูญเสียพลังฟ้าดินเท่านั้น

แทบจะในเวลาเดียวกัน พลังฟ้าดินทั่วทั้งเมืองคล้ายหยุดนิ่งลง ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างตรงเข้ามาบีบเขาเอาไว้

พลังแห่งฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่มหาศาลนี้ราวกับบึงน้ำ ทำให้ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้เป็นเหมือนมดที่อยู่กลางบึง ดิ้นรนขัดขืนไม่ได้เลย

ต่อให้เป็นครึ่งขั้นเทวะ ก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบในพริบตาเดียว

“ยืนอยู่ตั้งสูงปานนั้น…ลงมาเถอะเจ้าน่ะ”

หลี่มู่กระโดดขึ้นมา ท่าทางบ้าคลั่งดุจลิงตัวผู้กระโดดขึ้นเด็ดลูกท้อ เพียงมือคว้า ก็ลาก ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ที่ยืนนิ่งอยู่ลงมาจากกลางอากาศ

“เจ้า…บังอาจนัก”

หวงเซิ่งอี้สติหลุดไปชั่วขณะ ตั้งตัวไม่ทัน จึงถูกซัดร่วงลงมาบนพื้น ผิวดินถูกกระแทกเป็นหลุมลึก ล้มลงหน้าพังพาบ ถึงค่อยได้สติกลับคืนมา

แต่ว่าเขาก็ยังมีปฏิกิริยาที่ฉับไว ขณะตกใจและโกรธเกรี้ยว เขายังไม่ยอมลุกขึ้นมา ทว่าพลิกฝ่ามืดชกอัดอากาศ ระเบิดตรงเข้าใส่ขมับของหลี่มู่ที่กำลังก้มลงมาจับตน

ทั่วทั้งหมัดมีเปลวเพลิงสีแดงฉานลุกท่วม

หวงเซิ่งอี้ฝึกฝนวิชาเทพเพลิง นึกนิมิตออกมาได้เป็นปราณแท้อัคคี เสริมพลังให้กับร่างกายตนเอง ในบรรดาห้าธาตุ ไฟเป็นพลังที่มีอานุภาพทำลายแข็งแกร่งที่สุด

ครึ่งขั้นเทวะนั้นไม่เหมือนกับขั้นเหนือมนุษย์ ถึงแม้จะสูญเสียการควบคุมพลังฟ้าดิน ก็ยังมีพลังสังหารระยะประชิดที่น่ากลัว หมัดนี้ที่เสริมพลังไฟเข้าไป มีแรงทำลายระดับเบิกฟ้าทลายหิน

หากเป็นขั้นเหนือมนุษย์ก้าวสามลงมา เมื่อเจอกับหมัดนี้จะทำได้เพียงหลบฉากหรือถอยหนีเท่านั้น

ทว่าหลี่มู่กลับหาญกล้าผิดปกติ หัวเราะฮี่ๆ จากนั้นยกมือกำหมัดซัดออกไปตรงๆ

ตูม!

กลางอากาศ คลื่นพลังปราณที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าสาดออกมาพร้อมด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉาน

กร๊อบ

เสียงกระดูกหักดังสนั่นขึ้นในพริบตา กำปั้นของหวงเซิ่งอี้มีเลือดสดสาดกระเซ็น ข้อมือหัก กระดูกชิ้นหนึ่งแทงทะลุเนื้อหนังออกมา

แต่เขาก็เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้น ในดวงตามีประกายความตกใจ และออกหมัดต่อด้วยสีหน้าโหดเหี้ยมทันที ประหนึ่งว่ากำปั้นที่หักไปนั้นไม่ใช่ของตนเอง ห้าวหาญดุดัน ดุร้ายอย่างถึงที่สุด

“โอ้โห? ตาเฒ่าคนนี้กล้าหาญเสียจริง” หลี่มู่ก็ตกใจกับความอาจหาญของหวงเซิ่งอี้เช่นกัน

แต่ว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเด็กต้องเคารพคนแก่อะไร สำหรับผู้แข็งแกร่งที่ผ่านมาร้อยศึกเช่นนี้ ต้องรีบจัดการให้ราบคาบหลังจากอยู่ในจุดได้เปรียบ มิเช่นนั้นหากอีกฝ่ายตั้งสติกลับมาได้ แล้วยังมีไพ่เด็ดอะไรซ่อนเอาไว้อีกเล่า?

“สาดกระสุนปิดฉากนกกระจอกเฒ่า…เอ่อ ไม่สิ ต้องเป็นสาดหมัดปิดฉากอาจารย์เฒ่า” หลี่มู่ตะโกนขึ้นมา “จงดูหมัดสังหารต่อเนื่องร้อยแปดท่าของข้าเสีย”

เขาย่อตัวแล้วพุ่งเข้าไป ส่งหมัดราวฝนกระหน่ำซัดสาดออกไปอย่างบ้าคลั่ง

หลังผ่านการชำระล้างของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ พลังกายของหลี่มู่ก็เป็นสิ่งพิสดารมาโดยตลอด เพียงแต่ในศึกใหญ่ช่วงนี้ ขณะที่ต่อสู้เขาล้วนใช้ดาบวัฏจักร วิชาดาบกับตราประทับห้าธาตุพลิกนภา ดังนั้นคนอื่นจึงค่อยๆ ลืมไปแล้วว่าพลังกายของหลี่มู่นั้นน่ากลัวขนาดไหน

ในตอนแรกสุด เขาก็ใช้เพียงหมัดคู่เดียวซัดเจียวที่กำลังจะกลายร่างเป็นมังกรจนกระเจิงไป

ในเมืองขาวพิสุทธิ์ พลังฟ้าดินหยุดนิ่งลงด้วยหนึ่งความคิดของเขา หวงเซิ่งอี้ไม่สามารถใช้งานพลังฟ้าดินได้ พลังฝึกถูกบั่นออกไปถึงเก้าส่วน ถึงแม้ ‘เทพมารเพลิง’ คนนี้จะมีประสบการณ์การต่อสู้โชกโชน ช่วงหลายสิบปีมีพลังขั้นเทวะคอยชุบเลี้ยงกายเนื้อ ร่างกายก็ยังอยู่ในขั้นแข็งแกร่งยิ่ง แต่ในสายตาของหลี่มู่ ยังห่างชั้นกันอยู่หลายขุม

ผัวะๆๆ

แขนทั้งสองของหวงเซิ่งอี้กระดูกหักจนยกไม่ขึ้น ใบหน้าถูกหมัดซัดอย่างหนักหน่วงหลายสิบที กลายเป็นตาหมีแพนด้า เลือกกำเดาไหลออกมาเป็นทาง…

“ย้ากๆๆ…” เขาโกรธจนร้องลั่น เลยคำว่าโมโหไปแล้ว

เมื่อไรกันที่คนสูงส่งอย่างเขา ต้องมาถูกคนใช้วิธีทะเลาะเช่นนักเลงข้างถนนเล่นงานจนน่วมขนาดนี้?

ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างถูกภาพฉากนี้ทำให้นิ่งอึ้งกันไปหมด

เกิดอะไรขึ้น?

พวกเฝิงหยวนซิงยืนมองจนทึ่มทื่อไปหมด

ชะ…ชายชราหัวล้านหน้าปูดบวมคนนี้ เป็นรองเจ้าสำนักทุ่งปิดภูผาผู้สูงส่งนั่นจริงๆ หรือ? ทำไมมองดูแล้วเหมือนยาจกเฒ่าที่กำลังถูกรังแกอยู่อย่างไรอย่างนั้น?

กระทั่งพริบตาหนึ่ง คนมากมายต่างเริ่มเห็นใจชายชราคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว

เบื้องบนท้องฟ้าด้านนอกอำเภอขาวพิสุทธิ์

ดวงตาทั้งคู่ของหลี่กังจ้องมองจนตาแทบจะถลนอยู่รอมร่อ

คนที่ทำการสุขุมรอบคอบมาหลายปีเช่นเขา ยังยากจะควบคุมความตกตะลึงที่โหมกระหน่ำอยู่ภายในใจของตนเองได้ นี่ไม่ใช่ภาพที่เขาจินตนาการเอาไว้เลย เขาถึงกับกระทั่งต้องยกมือขึ้นขยี้ตา เพราะคิดว่าอาจจะตาฝาดไปเอง

และ ‘เทพกระบี่ขาวพิสุทธิ์’ จ้าวเสวี่ยที่อยู่อีกฝั่งก็ยืนค้างแข็งเช่นกัน

ก่อนหน้านี้เขาเพียงคาดหวัง คิดว่าหลี่มู่จะสามารถรับมือกับ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ได้ระยะหนึ่ง ฝืนตนเองให้ยังไม่แพ้ไปได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็จะลงมือ คลี่คลายความแค้นนี้เสีย และปกป้องอัจฉริยะด้านยุทธ์หลี่มู่คนนี้เอาไว้ ถึงอย่างไรเมื่อพิจารณาจากด้านอื่นๆ หนุ่มน้อยคนนี้ก็ยังเป็นคนฉลาดที่มีจิตใจและปณิธานที่ยอดเยี่ยม ส่วนเรื่องคุณธรรมประจำตัวกับความสามารถไม่ต้องพูดถึงแล้ว

แต่ทว่า ผลงานของหลี่มู่เกินกว่าสิ่งที่เขาคาดหวังไว้มาก

จนกระทั่งในพริบตานี้ จ้าวเสวี่ยกำลังคิดว่าหลี่มู่คนนี้จะเป็นร่างจำแลงของปีศาจพันปีบางตนหรือไม่ก็ร่างเงาของเทพปีศาจนอกพิภพหรือไม่?

แข็งแกร่งจนไม่สอดคล้องกับหลักการแล้ว

ส่วนจ้าวอวี่ที่อยู่ด้านหลังจ้าวเสวี่ย ดวงตาทั้งคู่แทบถลนออกมา ปากอ้าค้าง ไม่รู้ว่าสูดลมเข้าไปมากเท่าใดแล้ว มุมปากแทบจะฉีกออกไปจนถึงติ่งหู เขาตกตะลึงเสียจนความคิดสับสนวุ่นวาย

……

ผัวะๆๆ

หลี่มู่ยังคงส่งหมัดเข้าใส่อีกชุด ไม่มีเรียงลำดับท่าทางอะไรทั้งสิ้น

หวงเซิ่งอี้ฝืนต้านทาน ร่างกายโงนเงน ดูราวกับคนเมาสุรา

“ข้ารีบจริงๆ…ท่านลุง ดาบวัฏจักรของข้ายังหลอมอยู่ในเตาอยู่เลย ต้องรีบกลับไปเติมไฟอีก…ขอโทษด้วยล่ะ” หลี่มู่ร้องขึ้น ‘หมัดยุทธ์แท้’ ท่าที่หนึ่งชกออกไป

ตูม!

หวงเซิ่งอี้ถูกหนึ่งหมัดระเบิดซัดเข้าที่ท้อง ร่างงอจนเหมือนกุ้งถูกตากแห้ง ก้มลงกุมท้องตนเอง จากนั้นก็ล้มพับลงไป

“ร่างกายของท่านลุงนี่แข็งแกร่งจริงๆ ทนหมัดดี”

หลี่มู่ทอดถอนใจ

ถ้าเปลี่ยนเป็นภูเขาหิน ก็คงถูกหมัดนี้ระเบิดทลายไปแล้วเช่นกัน ทว่าร่างกายของหวงเซิ่งอี้ยังคงอยู่ครบสมบูรณ์ เพียงแค่เลือดไหลออกจากปาก ตาพร่ามึนงง ความคิดความอ่านกระเจิงไปหมด

“แฮ่กๆ เจ้า…” หวงเซิ่งอี้สับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สาดหมัดปิดฉากอาจารย์เฒ่าจริงๆ

เขาถูกหลี่มู่รัวหมัดใส่ชุดหนึ่ง มึนงงไปหมดแล้ว

ในชีวิตบนเส้นทางการฝึกยุทธ์อันยาวนานของเขา ไม่รู้ว่าพบกับอันตรายมากมายเท่าไร ไม่รู้เคยลำบากมากี่ครั้ง อยู่ระหว่างความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน แต่ว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่จะเหมือนครั้งนี้ ถูกโจมตีจนมึนด้วยวิธีที่ประหลาดเช่นนี้

หลายสิบปีที่ผ่านมา เขาเข้าสู่ครึ่งขั้นเทวะ ถ่องแท้ในพลังแห่งฟ้าดิน เข้าใจกฎเกณฑ์แห่งมรรคา สมบัติเวทในมือ ไพ่ตาย วิชาเทพลับ ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ในขั้นเทวะทั้งสิ้น ทว่าตอนนี้กลับถูกลากกลับลงมาต่ำกว่าขั้นเหนือมนุษย์เสียดื้อๆ เขา…ลืมไปแล้วว่าวิธีการต่อสู้ของขั้นต่ำกว่าเหนือมนุษย์เป็นอย่างไร

“ท่านลุง เตรียมตัวดีแล้วใช่ไหม ข้าจะน็อคเอาท์แล้วนะ”

หลี่มู่พูดจาเรื่อยเปื่อย แต่มือไม่ได้ออมแรงลงแต่อย่างใด

จนท้ายสุด เขาซัดกำปั้นเข้าใส่ขมับของ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ ทำให้ครึ่งขั้นเทวะที่ยืนสูงส่งบนโลกวิถียุทธ์นี้สลบเหมือด อ่อนปวกเปียกกองลงบนพื้นไป

รอบข้างมีเสียงร้องตกตะลึงดังขึ้น

หลี่มู่ยังไม่วางใจ คิดไปคิดมา จากนั้นจึงส่งหมัดเข้าไปที่ขมับของฝ่ายตรงข้ามอีกสามสี่ที เพื่อให้หวงเซิ่งอี้สลบเสียยิ่งกว่าสลบ เขาถึงวางใจได้

ในจุดที่ห่างออกไป เหนือเมฆบนฟ้าราวสองลี้ เมื่อได้เห็นฉากนี้ หลี่กังถึงกับสูดลมหายใจ รู้สึกเพียงว่าขมับของตนเองปวดตุบๆ ขึ้นมา ช่างอำมหิตเสียจริงๆ

จ้าวเสวี่ยเองก็ยังรู้สึกปวดที่รากฟัน

หลี่มู่คนนี้ช่าง…มันช่าง…

เขาไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายแล้ว

จ้าวอวี่รู้สึกว่าตนเองน่าจะกำลังฝันไป เป็นฝันอันแปลกประหลาดไร้สาระ เขาขบริมฝีปากล่างของตนเองอย่างแรง กัดจนเลือดซิบ ก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเจ็บเท่าไรนัก…

ส่วนบนยอดเขาหลายลูกรอบด้าน บรรดาจอมยุทธ์จากหลายที่ที่รอชมศึกใหญ่ของขั้นเหนือมนุษย์จากที่สูง ตอนนี้ก็แทบจะเป็นบ้ากันแล้ว

เมื่อครู่ จากที่หลี่มู่กระหน่ำแต่ละหมัดลงบนร่างของหวงเซิ่งอี้ บนเขาแต่ละลูกต่างมีเสียงฮือฮาตกใจดังเป็นระยะๆ ไม่ต่างจากเข้ามาในตลาดสด จอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งลือนามจากยุทธจักรทิศพายัพแห่งฉินตะวันตกแต่ละคนล้วนมีสีหน้าตะลึง ราวกับหวนสู่บ้านเกิดหลังจากออกท่องโลกไปสามปี แล้วได้เห็นลูกสะใภ้ของตนอุ้มลูกชายขวบหนึ่งกำลังเดินจ่ายตลาดอยู่…

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนท้ายสุดที่เห็นหลี่มู่ซัดหมัดคว่ำหวงเซิ่งอี้ลงไปกอง พวกเขาอึ้งทึ่งเป็นบื้อใบ้อย่างแท้จริง

“มารดามันเถอะ…”

“โลกกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว”

“หลี่มู่…ยังดีที่ข้าไม่ได้ไปยั่วโมโหเขา”

“เจ้าบ้าคนนี้ ต่อไปห้ามไปยุแหย่โดยเด็ดขาด”

“ในจักรวรรดิฉินตะวันตก มีปีศาจที่ห้ามล่วงเกินเพิ่มมาอีกคนแล้ว”

บนยอดเขาหินที่สูงกว่าสามร้อยจั้งยอดหนึ่ง

เจิ้นซีอ๋องที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำ อยู่ภายใต้การคุ้มครองของทหารองครักษ์เดนตาย เมื่อได้เห็นฉากนี้ สีหน้าก็ขาวซีด สองมือกำหมัดแน่นจนข้อกระดูกขาว ลมหายใจกระชั้นถี่ขึ้นมา

ส่วนทหารองครักษ์ข้างกายเขาล้วนเป็นทหารที่ชั้นยอดยิ่งกว่าชั้นยอด เป็นบุคคลเหี้ยมหาญที่เดินออกมาจากทะเลเลือดภูเขาศพ ไม่เกรงกลัวแม้ความตาย แต่เวลานี้ก็ยังถึงกับเหงื่อแตกท่วมหน้า ดวงตาฉายหวาดกลัวยำเกรงและความเหลือเชื่อที่ปิดไม่มิด

“ท่านอ๋อง…” คนที่ดูเหมือนเป็นมันสมองผู้หนึ่งเรียกขึ้นด้วยอาการคอแห้งผาก

“ไป ไปจากที่นี่” เจิ้นซีอ๋องหันหลังเดินไปทันที “เร็ว รีบไป”

คนกลุ่มหนึ่งใช้วิชาอย่างเงียบๆ ไม่ให้ผิดสังเกตเป็นพิเศษ กระโดดปีนป่ายลงมาจากผาสูงดั่งลิงภูเขา เพียงพริบตาก็หายไปในทิวเขากลางวสันต์ฤดูที่ห่างออกไป ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ไว้

บนต้นไม้ใหญ่พันปีต้นหนึ่ง

มุมปากของจอมมารจันทราโลหิตกระตุกคลับคล้ายเป็นตะคริว

“นี่…มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”

เขามาที่นี่ด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม แต่กลับได้เห็นฉากนี้ มันช่าง…ช่างกระทบกระเทือนจิตใจเสียจริงๆ

หลายวันมานี้ เขาดูดซับเอาพลังเทพปีศาจจากใต้ทะเลทรายที่ตั้งเดิมของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุในเมืองฉางอัน พลังฝึกทั่วร่างไม่รู้เพิ่มขึ้นกี่เท่าต่อกี่เท่า สามารถรับมือกับขั้นเหนือมนุษย์ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงวางแผนด้วยความมั่นใจยิ่ง หากสู้กับหลี่มู่ ต่อให้แพ้ก็คงไม่น่าอนาถนัก เปิดฉากศึกตัดสินที่เคยเลื่อนออกมาได้เสียที

แต่เมื่อมาเห็นตอนนี้…

‘อืม ทำไมตอนนั้นข้าจึงคิดไม่ตก แล้วไปนัดท้าดวลกับหลี่มู่ได้?’

เพราะอะไรกันแน่?

เขารู้สึกเสียใจภายหลังจนลำไส้บิดม้วนไปหมด

“ให้คนส่งข่าวออกไป ประมุขพรรคจะปิดด่านฝึกฝน และจะไม่ออกมาอีกนาน นัดสู้กับหลี่มู่ให้เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด…” เขาพูดประโยคนี้กับองครักษ์คนสนิทข้างกาย ด้วยอาการแทบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“อ๋า? ขอรับ” องครักษ์คนสนิทนิ่งอึ้ง ก่อนรีบพยักหน้าติดกัน

คราวนี้ เกียรติของพรรคจันทราโลหิตก็นับว่าเอาลงไปเกลือกกลิ้งกับมูลสุนัขแล้ว

แต่ว่าจะทำอย่างไรได้?

หาเรื่องใส่ตัวเองเองนี่

……

ขณะเดียวกัน

กระเรียนขาวยักษ์ตัวหนึ่งกางปีกบินถลา มาถึงด้านนอกเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ในระยะสองลี้แล้ว

หลิวฉงที่อยู่บนหลังกระเรียนใจร้อนดั่งไฟสุม ใบหน้าปรากฏความยินดีขึ้น “ถึงแล้ว จะถึงแล้ว ท่านรองเจ้าสำนักยังอยู่…ยังทันอยู่…” เขานั่งกระเรียนขาว พุ่งทะยานเข้าไปในอำเภอขาวพิสุทธิ์ราวกับสายฟ้าแลบสีขาวเส้นหนึ่ง