บทที่ 28 ตำหนักเทพแม่น้ำ

บุหลันเคียงรัก

เรือแล่นไปตามลำน้ำ เทพีอูเจียงไม่ร้องเพลงอีกแล้ว แต่กลับจ้องไปที่เสวียนอี่เขม็ง

 

 

เสวียนอี่กอดแขนของฝูชางเอาไว้แน่นมากขึ้น แล้วคลี่ยิ้มแย้มสดใสไปที่นาง

 

 

เทพีอูเจียงกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านเทพธิดารูปโฉมงดงาม นับว่าสมกับเทพฝูชางราวกับกิ่งทองใบหยกจริงๆ ไม่รู้ว่าต้องมีเทพธิดาและปีศาจสาวอีกมากมายขนาดไหนที่ต้องใจสลาย”

 

 

“ปีศาจสาว? ” เสวียนอี่งงงันไป เทพธิดานางยังเข้าใจได้ แต่ว่าปีศาจสาวนี่มันหมายความว่าอย่างไร

 

 

“เทพโลกเบื้องบนที่สูงศักดิ์ ยากจะหาใครเทียบได้ จะมีปีศาจสาวตนไหนบ้างที่ไม่อยากจะหาเทพสูงศักดิ์ซักองค์ แล้วคลั่งไคล้ลุ่มหลงเขา” เทพีอูเจียงแย้มยิ้ม “ปีนั้นโอรสจักรพรรดิสวรรค์ลงมาเกิดที่โลกเบื้องล่างเพื่อฝึกตน ก็ถูกปีศาจปลาจิ๋นหลี่เข้ามาติดพัน ได้ยินว่าจนถึงวันนี้โอรสองค์ที่สามของจักรพรรดิสวรรค์ยังลืมไม่ได้เลย มีตัวอย่างอย่างนี้ ก็จะโทษที่เหล่าบรรดาปีศาจสาวว่ามาสร้างความวุ่นวายไม่ได้”

 

 

พูดถึงตรงนี้ เรือก็ได้เข้ามาสู่ใต้แม่น้ำ ล่องผ่านม่านน้ำที่แหวกตัวเข้าไป ใต้แม่น้ำเต็มไปด้วยร่องน้ำมากมาย และหญ้าสีดำลอยไปมา แต่กลับไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่น

 

 

เสวียนอี่มองไปรอบด้าน นางกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่เทพีอูเจียงกลับกระโดดเข้าไปในร่องน้ำดำมืดใต้แม่น้ำนั้นแล้วหายลับไป

 

 

…เห็นชัดๆ ว่าตรงหน้านี้มีกับดักให้พวกตนกระโดดลงไป เสวียนอี่ถอนหายใจออกมา

 

 

ฝูชางพลันเอ่ยปากว่า “ที่เหลือต้องดูที่เจ้าแล้ว”

 

 

กู่ถิงหายตัวไปอย่างแปลกประหลาด แปดเก้าในสิบส่วนจะต้องมีเผ่าปีศาจที่ร้ายกาจบงการอยู่เบื้องหลังแน่ สามารถเอาตัวเทพไปได้เช่นนี้ จะต้องมีเวทจำพวกที่ลวงจิตหรือวางยาพิษเป็นแน่ ถึงแม้ว่าเขาจะมีวิชากระบี่อยู่บ้าง แต่ว่าเขาก็ยังอายุน้อยอยู่มาก จึงไม่มีความมั่นใจพอว่าจะสามารถช่วยกู่ถิงออกมาได้ด้วยตัวคนเดียว โชคยังดีที่ได้ไปเจอกับองค์หญิงตระกูลจู๋อินคนนี้เข้า ตระกูลนี้เป็นตระกูลเชี่ยวชาญการต่อสู้ที่กล้าหาญองอาจและไม่กลัววิชาใดๆ เขาเอากระบี่ฉุนจวินให้กับเสวียนอี่ ก็เพราะคิดว่าจากความสามารถของตระกูลจู๋อินและอานุภาพของกระบี่ฉุนจวินแล้ว ต่อให้เผ่าปีศาจร้ายกาจขนาดไหน แต่ก็คงจะทำให้นางเสียเปรียบไม่ได้แน่

 

 

ดูที่นาง? ดูอะไรนาง? เสวียนอี่หันหน้าไปมองอย่างงงงัน แต่กลับเห็นเขากระโดดเข้าไปในร่องน้ำ แล้วใช้มือแหวกไปตามหญ้าสีดำที่ขึ้นอย่างหนาแน่นนั้น

 

 

“ศิษย์พี่ฝูชาง” นางเรียกเขาเอาไว้อย่างมีลับลมคมใน แล้วกล่าวด้วยความจริงใจอย่างหาได้ยากว่า “ข้าไม่ใช่ตระกูลจู๋อินประเภทที่ท่านคิด”

 

 

ฆ่าฟันกัน นางทำไม่เป็น เขาคงไม่ได้คิดว่านางเป็นเทพผู้กล้าไร้พ่ายหรอกกระมัง?

 

 

ฝูชางขมวดคิ้วแล้วมองไปยังหญ้ารอบด้านที่สั่นไหวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งราวกับรับพลังของเทพเอาไว้ไม่ไหว แล้วหญ้าสีดำละลายไปทีละชุ่นราวกับหิมะ ตรงจุดที่มันปริแตกก็จะมีของเหลวสีแดงราวกับเลือดสดๆ ไหลออกมา เขารีบถอยออกไปหลายจั้ง แต่ใครจะไปรู้ว่าหญ้าที่ใต้แม่น้ำแห่งนี้เมื่อสัมผัสถูกเข้าจะแตกสลายออก ใต้แม่น้ำถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดง ยังดีที่รอบกายเขามีม่านพลังใสอยู่ ทำให้น้ำเลือดนั้นเข้ามาไม่ถูกตัวของเขา

 

 

เขากำลังจะหันกลับไปเตือนให้องค์หญิงมังกรระวังตัว แต่ใครจะรู้ว่าแค่อ้าปาก ก็มีกลิ่นหอมหวานสายหนึ่งเข้าไปในจมูกเขา แล้วภาพตรงหน้าเขาก็เลอะเลือนไปในพริบตา

 

 

ไม่ได้การ! น้ำเลือดนั่นมีไอพิษของปีศาจ! ขาทั้งสองของเขาอ่อนแรงลง เขาอดกลั้นต่อความมึนงงแล้วกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เตรียมป้องกัน! “

 

 

แต่เขากลับเห็นองค์หญิงประหลาดยกขาวิ่งหนีออกไปไกลแทน ฝูชางลมหายใจติดขัด และรู้สึกว่าภาพตรงหน้าลายตาไปหมด

 

 

ไม่นาน เสวียนอี่ก็วิ่งตึกๆ ตักๆ กลับมาอย่างรวดเร็ว ที่ด้านหลังนางยังมีหญ้าน้ำมากมายที่เคลื่อนไหวราวกับแขนที่กำลังส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่งไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด

 

 

“ศิษย์พี่ฝูชาง! ข้ามาช่วยท่านแล้ว! ” นางร้องออกมาอย่างร้อนรน แล้วพุ่งเข้าไปในกลุ่มพิษอย่างไม่ลังเล พร้อมกับโผไปที่ร่างของเขาจนล้มลงไปที่พื้นอย่างแรง

 

 

ใครบอกกันว่าตระกูลจู๋อินไม่กลัววิชาอะไร?! ฝูชางอยากจะสบถออกมา

 

 

บนด้ามกระบี่ฉุนจวินเต็มไปด้วยประกายแสงระยิบระยับ ฝูชางกัดฟันแน่น แล้วรีดเค้นเอาพลังเฮือกสุดท้ายออกมา อยากจะเอากระบี่มากำไว้ในมือและจะได้กวัดแกว่งได้บ้าง แต่ว่าเขากลับดึงกลับมาไม่ได้ องค์หญิงที่หมดสติลงไปแล้วองค์นี้แรงเยอะอย่างน่าประหลาด นางกำกระบี่เอาไว้แน่น

 

 

เขาดึงกระบี่อย่างร้อนรน ทันใดนั้นดวงตาที่ปิดสนิทของนางก็ลืมขึ้นมา ก่อนจะถลึงตาใส่เขาอย่างไม่เป็นมิตรที่สุด

 

 

นางแกล้งทำ

 

 

ความคิดสุดท้ายแล่นผ่านเข้ามาในสมอง แล้วฝูชางที่ไม่รู้ว่าโมโหหรือดีใจก็จมเข้าสู่ความมืดมิดทันที

 

 

เสวียนอี่หลับตาปี๋ แล้วฟังเสียงรอบข้างอย่างตั้งใจ ไม่นาน หญ้าน้ำจำนวนมากก็ม้วนพันเอาร่างของพวกเขาเอาไว้ แล้วพวกเขาก็ถูกลากเข้าไปในใต้แม่น้ำที่มืดมิดอย่างรวดเร็ว แล้วพวกเขาก็ไปปรากฏตัวอยู่บนพื้นหินชื้นที่เย็นเฉียบ

 

 

อ้อ! สามารถควบคุมตำหนักเทพแม่น้ำได้? ตำหนักเทพแม่น้ำของโลกเบื้องล่างล้วนแต่สร้างอยู่ในที่เล็กๆ ประหนึ่งว่าหนึ่งเม็ดทรายเท่ากับหนึ่งโลก ซึ่งเทพอายุน้อยอย่างพวกเขายังไม่เคยมาที่อย่างนี้มาก่อน เทพีอูเจียงเป็นเทพจากที่ไหนกัน

 

 

มีเสียงเครื่องประดับกระทบกันดังขึ้น เทพีอูเจียงเดินมาหยุดยืนมองที่ข้างกายของพวกเขาอยู่นาน นางยื่นมือไปจะจับฝูชาง แต่ก็จนใจเพราะเสวียนอี่ที่กุมกระบี่ฉุนจวินอยู่นั้นล้มทับไปบนร่างเขาทั้งตัว นางดูจะกริ่งเกรงกระบี่ฉุนจวินไม่น้อย นางเดินไปมาสุดท้ายก็ถอนหายใจแรงแล้วกล่าวว่า “หึ! กระบี่วิเศษ! “

 

 

พูดแล้วก็หมุนตัวจากไป

 

 

เสวียนอี่เปิดตาขึ้น แล้วมองไปรอบๆ

 

 

ที่นี่คือตำหนักใต้แม่น้ำจริงๆ แต่ว่าเดิมที่ในตำหนักควรจะเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับของแสงเทพกลับเต็มไปด้วยหมอกสีเทาแทน พื้นที่ดำสนิทมีแสงกะพริบจากค่ายกลใหญ่สีแดงราวกับกำลังหายใจ นางกำลังจะไปตรวจสอบดูว่ามันคือค่ายกลอะไร ก็ได้ยินเสียงขอเทพีอูเจียงดังออกมาจากในตำหนักเบาๆ …

 

 

“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเทพน้อยองค์นี้จะหัวแข็งและดื้อดึงได้ขนาดนี้ เจ้าจะปิดตาตลอดอย่างนั้นทำไม กลับว่าจะเห็นหน้าของข้า หน้าข้าไม่สวยหรือข้ารู้แล้ว เจ้ากลัวว่าเห็นใบหน้าของข้าแล้วจะหวั่นไหวใช่ไหม อายุของเจ้าน่าจะยังไม่มากสินะ จะให้พี่สาวช่วยเล่นกับเจ้าสักหน่อยหรือไม่

 

 

แล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาว่า “เจ้าฆ่าเทพีอู่เจียงและสวมรอยแทน ทั้งยังกินเหล่าเทพและชิงเอาพลังเทพไป มีโทษมหันต์! “

 

 

ตายแล้ว นี่มันเสียงของศิษย์พี่กู่ถิงมิใช่หรือ เขาเองก็ถูกจับมาหรือไร ดูแล้วเหมือนจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น

 

 

เสียงของเทพีอูเจียงดังว่า “ที่นี่ เจ้าใช้พลังเทพไม่ได้ อย่าดิ้นรนไปเลย…ใช่แล้ว จะให้เจ้าเด็กดื้อที่เทิดทูนและเคารพรักอาจารย์อย่างเจ้ารู้ไว้อย่าง เจ้าไม่ใช่ว่าอยากจะหาสร้อยไข่มุกของอาจารย์เจ้าอยู่หรอกหรือ มันอยู่ที่ตาของค่ายกล และมีพลังเทพของพวกเจ้าคอยหล่อเลี้ยงอยู่ เป็นอย่างไร สบายใจขึ้นบ้างหรือไม่ มา อย่าหลบไปเลย”

 

 

กู่ถิงกลั้นเสียงร้อง แล้วก็มีเสียงของถูกโยนตกลงไปที่พื้นดังสนั่นขึ้นมา

 

 

เสวียนอี่เองก็ไม่ไปสนใจ นางหันไปมองยังตาค่ายกลชีซา ที่เทพีอูเจียงพูดถึง แล้วนางก็เห็นว่ามีเสาหินหักหลายต้นอยู่ห่างออกไปไม่ไกล แสงสีแดงสดของค่ายกลพุ่งออกมาจากที่นั่นไม่ขาดสายและครอบคลุมไปทั้งตำหนัก ดูจากพลังของค่ายกลแล้ว น่าจะเป็นค่ายกลชีซาที่ใช้เพื่อดูดพลังเทพและชิงเอาพลังเหล่าเทพมาในตำนานอันนั้นแน่

 

 

แต่ไม่ ไม่ว่าค่ายกลจะร้ายกาจอย่างไร อย่างไรก็ต้องเป็นไปตามกฎของห้าธาตุและหยินหยาง ดังนั้นจึงไม่มีผลกับนาง

 

 

เสวียนอี่เยื้องย่างข้ามฝูชางไป แล้วเดินไปทางเสาหินหักหลายต้นนั้น ที่ตาของค่ายกลมีแท่นหินวางไว้แท่นหนึ่งบนนั้นมีเปลือกหอยขนาดใหญ่เปิดอ้าอยู่ ของเหลวสีทองไหลเวียนอยู่ภายในช้าๆ สร้อยไข่มุกใสหนึ่งเส้นลอยอยู่ในน้ำนั้น

 

 

ดูแล้วนี่น่าจะเป็นสร้อยไข่มุกของอาจารย์

 

 

นางยื่นมือเข้าไปในแสงสีแดงระยิบระยับของค่ายกลนั้นอย่างง่ายดาย พลางไปช้อนเอาสร้อยไข่มุกเส้นนั้นขึ้นมาจากในเปลือกหอย ยังไม่ทันจะได้พิจารณาดูให้ละเอียด ก็เห็นว่าที่พื้นด้านล่างเสาหินเต็มไปด้วยกองกระดูกมากมาย กระดูกเหล่านั้นมีสภาพที่ไม่สมบูรณ์ บ้างก็มีรอยกัดแทะ

 

 

กระดูกเหล่านี้มีลักษณะโปร่งใสราวกับหยกน้ำดี ซึ่งก็คือกระดูกของเผ่าเทพ เสวียนอี่อดที่จะขมวดคิ้วมิได้ มิน่าสร้อยไข่มุกเส้นนี้ถึงได้มีประกายระยิบระยับ เทพีอูเจียงจะต้องใช้ค่ายกลชีซาชิงเอาพลังของเหล่าเทพที่ผ่านมาเพื่อมาหล่อเลี้ยงสร้อยไข่มุกเส้นนี้ไว้ และจับเทพเหล่านั้นกินจนหมดแน่

 

 

ปีศาจที่กินมนุษย์มีอยู่ทั่วไป แต่ปีศาจที่กล้ากินเทพ นับแต่โบราณมาเทพีอูเจียงน่าจะเป็นตนแรก นางบ้าไปแล้วแน่ นี่คือโทษร้ายแรงที่ไม่สามารถลดหย่อนได้ นางมั่นใจว่าเทพเบื้องบนไม่มีใครสามารถฆ่านางได้ หรือว่านางอยากจะตายกัน?

 

 

ในตำหนักมีเสียงของกู่ถิงร้องดังออกมา พร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของเทพีอูเจียงดังออกมา ดูแล้วนางไม่เพียงแต่จะกินเทพได้เท่านั้น ยังเป็นปีศาจสาวหื่นกามด้วย

 

 

เสวียนอี่เดินไปตามทางตำหนักอยู่รอบหนึ่ง แล้วลองผลักประตูตำหนักดู แต่มันกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย นางมั่นใจว่าจากกำลังของนางคนเดียว อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะออกไปได้แน่

 

 

นางถอนหายใจออกมาแล้วหมุนตัวเดินกลับไป นางเอาผ้าเช็ดหน้าวางไปบนพื้นแล้วนั่งลงช้าๆ

 

 

หิมะมากมายตกลงมาจากฟ้า ไม่นานก็ปกคลุมไปทั่วศีรษะและบ่าของฝูชาง ไม่ถึงหนึ่งเค่อ หิมะสีขาวก็สูงจนถึงเข่า คิดว่าน่าจะเป็นเพราะความหนาวเย็นเสียดแทงถึงกระดูกที่เข้ามา ทำให้ฝูชางขยับตัวน้อยๆ แล้วเปิดตาขึ้น

 

 

ภาพแรกที่เข้ามาในม่านตาของเขาก็คือองค์หญิงเสวียนอี่ที่นั่งอย่างไม่ทุกข์ร้อนอยู่ตรงข้าม

 

 

นางกอดกระบี่ฉุนจวินและกำลังนั่งอยู่บนผ้าเช็ดหน้า ร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าสะอาดหมดจรด ใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ และกำลังมองมาที่เขาอย่างไม่เกรงใจ สร้อยไข่มุกที่พวกเขากำลังหากันอยู่ ตอนนี้คล้องอยู่ที่ข้อมือเรียวบางของนางเป็นประกายระยับ

 

 

ฝูชางมองไปที่นางแล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “นั่งสบายหรือไม่”

 

 

เสวียนอี่พยักหน้าอย่างสง่างาม “สบายอยู่”

 

 

“รบกวนเจ้าช่วยเอากระบี่ฉุนจวินมาวางที่มือข้าหน่อยจะได้หรือไม่”

 

 

เสวียนอี่มองไปยังหิมะที่ตกลงมามากมายอย่างใจไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่ว่าท่านมอบกระบี่เล่มนี้เป็นของแทนใจให้ข้าแล้วหรือ จะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน [1] อย่างนี้ได้อย่างไร”

 

 

 

 

 

 

[1] ข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน เป็นสำนวน หมายถึง เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็ขับไสไล่ส่งผู้ที่ช่วยเหลือทิ้ง