ตอนที่ 478 รู้แจ้งโดยพลัน โดย ProjectZyphon
จินจู๋หลิว
อัจฉริยะอันดับเก้าในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ชื่อเสียงเลื่องระบือในสาขายุทธ์วิถี มีคะแนนด้านการศึกอันรุ่งโรจน์ทำให้ผู้คนกล่าวขวัญอย่างเซ็งแซ่
เขารูปร่างสูงโปร่ง ท่วงท่าหล่อเหลาสะดุดตา ในทุกๆ อิริยาบถเผยชัดถึงความทรงพลังแข็งกร้าวดุดัน นั่นคือกลิ่นอายที่ต้องผ่านศึกเนิ่นนานกว่าจะเคี่ยวกรำออกมาได้
ฟุ่บ!
โดยไม่มีการพูดพล่ามเลยสักนิด จินจู๋หลิวขว้างป้ายประจำตัวออกไปแล้วตรงดิ่งมายังลานแสดงยุทธ์ เงาร่างดั่งทวนหนึ่งเล่ม แสงสนธยาร้อยเรียงไม่ขาดสายพวยพุ่งออกจากรอบกายเขา ทำให้เขายิ่งดูทรงเสน่ห์สะกดผู้คนมากขึ้น
บัดนั้นทั่วทั้งลานต่างตื่นเต้น พวกเขากลั้นหายใจอยู่ในอก เมื่อจินจู๋หลิวลงสนาม ทำให้พวกเขามองเห็นความหวังที่จะกำราบหลินสวิน โค่นเขาลงได้โดยสมบูรณ์
“เปลี่ยนคนหรือ ก็ได้ ให้ข้าพักสักเดี๋ยวก่อน ดวลศึกสองครั้งติด ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะก็ยังต้านไม่ไหวเลย”
หลินสวินกล่าวพลางหย่อนก้นนั่งลงบนพื้น
ฝูงชนเหยียดหยามทันใด เจ้าหมอนี่ผิวหน้าหนาจริงๆ ระดับหยั่งสัจจะก็ยังต้านไม่ไหวงั้นหรือ ผู้แข็งแกร่งระดับนั้นต่อให้ต้องกรำศึกสามวันสามคืนติดยังไม่รู้สึกเหนื่อยเลย!
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า ต้องการยาวิญญาณหรือไม่”
จินจู๋หลิวสีหน้าไร้อารมณ์ กล่าวเย็นชา
“ไม่ต้อง หากว่ามีพิษจะทำอย่างไร ข้าได้ยินว่าบนโลกนี้มียาพิษไม่น้อยที่สามารถทำให้คนสูญเสียเรี่ยวแรงไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียง”
หลินสวินกล่าวพลางหัวเราะร่า
“เจ้า…”
สีหน้าจินจู๋หลิวเย็นชา เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยคำ “รออีกเดี๋ยว ข้าจะทำให้เจ้าลิ้มรสความพ่ายแพ้เช่นเดียวกับญาติผู้พี่หลินเสวี่ยเฟิงของเจ้า”
เห็นชัดว่ากำลังยั่วโมโหอยู่ เพียงแต่หลินสวินกลับคลี่ยิ้มบาง ไม่ได้เอ่ยมากความ
จากนั้นไม่นานหลินสวินก็หยัดตัวขึ้น กล่าวอย่างน่าเกรงขามเหลือล้น “มาสิ”
“เฮอะ!”
จินจู๋หลิวแค่นเสียงเย็น เขากวัดแกว่งทวนเล่มหนึ่ง ดุจเทพเจ้าสงครามขวางสมรภูมิ เชือดเฉือนอากาศธาตุ พุ่งโจมตีอย่างดุเดือดประหนึ่งฟ้าคำราม
ตูม!
ห้วงอากาศในลานแสดงยุทธ์ส่งเสียงคราญ เมฆลมผันเปลี่ยน และสิ่งนี้ล้วนเกิดขึ้นโดยจินจู๋หลิวทั้งสิ้น
ไม่อาจไม่พูด คนผู้นี้ทรงพลังมากจริงๆ ทวนหนึ่งเล่มคละคลุ้งด้วยแสงวิญญาณพร่างพราว ชี้นภาผ่าปฐพี ทรงพลังเกรี้ยวกราด เปี่ยมด้วยท่าทีดุจเย้ยหยัน พบเทพฆ่าเทพ พระขวางก็สังหารพระ ไม่เสียแรงที่เป็นบุคคลโดดเด่นอันดับเก้าในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ
สิ่งนี้ทำให้ศิษย์จำนวนมากกลางลานสั่นสะท้าน
ส่วนพวกฉือฉางเหมย ฮวาอู๋โยวเองก็เริ่มมีท่าทีจริงจังขึ้นมา พลังการต่อสู้ของจินจู๋หลิวแข็งแกร่งเป็นที่ประจักษ์ ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้กล้าคนอื่นๆ เลยสักนิด
โดยเฉพาะยามที่ประลองตัวต่อตัวอย่างแท้จริง จินจู๋หลิวองอาจเหนือมนุษย์ พลังการต่อสู้ที่งัดออกมายิ่งแข็งแกร่งขึ้น เมื่อเทียบกับหลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้นแล้วก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันไม่นัก
“ฆ่า”
กลางลานเต็มไปด้วยเสียงตะโกนดุเดือดกรุ่นไอสังหารของจินจู๋หลิว เส้นผมดำขลับของเขาปลิวไสว ทวนพุ่งอย่างดุดันดั่งอสนีบาตฟาดชั้นฟ้า ไอเข่นฆ่ากวาดม้วนทั่วสนาม ก่อให้เกิดเสียงร้องอุทานเป็นระลอก
ในทางกลับกัน หลินสวินกลับดูจืดจางมากอย่างเห็นได้ชัด ถูกกำราบจนเงยหน้าไม่ขึ้น ไม่นานก็เผยสัญญาณผู้พ่ายแพ้ มีหลายต่อหลายครั้งที่เกือบถูกซัดสะเทือนปลิวออกนอกลานแสดงยุทธ์
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร รอบๆ ลานแสดงยุทธ์มีคนเพิ่มมาอีกมากมาย ทั้งจั่วอวี้จิงอันดับสามบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ จ้าวจิ่งเหวินลูกหลานราชวงศ์ผู้มีฐานะสูงส่งทรงภูมิมากที่สุด…
และมีศิษย์จากสาขาสลักวิญญาณ สาขากลยุทธ์เทพ สาขามังกรเร้นมาไม่น้อย กระทั่งยังมีอาจารย์บางส่วนที่ถูกทำให้ตกตื่น จนรุดหน้ามาดูการต่อสู้
หนิงเหมิง สืออวี่ เย่เสี่ยวชี กงหมิง… สหายเก่าของหลินสวินเหล่านี้ต่างเร่งรุดมาด้วย ตอนนี้พวกเขาล้วนฝึกปราณอยู่ในสาขามังกรเร้น
พวกเขาต่างพิศวงมาก หลินสวินถึงขั้นประลองศึกที่สาขายุทธ์วิถี เดิมคิดว่าเขายังคงปิดด่านกักตนอยู่บนภูเขาชำระจิตเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขาไม่เพียงแต่ออกด่านแล้ว ซ้ำยังแจ้นมายังสำนักศึกษามฤคมรกต ก่อเรื่องอย่างกระปรี้กระเปร่า กลายเป็นเป้าสายตาของผู้คนมากมาย
“สถานการณ์ไม่ค่อยดีแล้ว”
เย่เสี่ยวชีที่มีรูปร่างอ้วนเป็นทรงกลมเบิกตากว้าง
“หึๆๆๆ”
ได้ฟังถ้อยคำดังกล่าว สืออวี่และหนิงเหมิงล้วนอดหัวเราะขึ้นไม่ได้ รอยยิ้มน่าพิศวงยิ่ง
“นี่พวกเจ้าทำบ้าอะไรกัน ไม่เห็นว่าหลินสวินถูกกดดัน เกือบถูกคนซัดจนฟุบแล้วหรือ”
เย่เสี่ยวชีถลึงตา
“เฮ้อ เจ้ายังไม่เข้าใจหลินสวินสินะ เจ้าหนูนี่ดูแล้วไม่มีพิษมีภัย แต่ความจริงอุบายชั่วร้ายในท้องมีมากกว่าใครเชียวล่ะ น่าขยาดกลัวยิ่ง”
หนิงเหมิงตบหัวไหล่ของเย่เสี่ยวชี ท่าทีดั่งผู้เจนจัดช่ำชอง
“จินจู๋หลิวต้องพบเคราะห์แล้ว”
สืออวี่กล่าวเนิบๆ
เย่เสี่ยวชีนิ่งงัน รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติมาโดยตลอด
“เหมือนหมาป่าสวมหนังแกะจริงๆ”
กงหมิงที่ไม่เอ่ยคำมาโดยตลอดกล่าวแสดงทรรศนะหนึ่งประโยค
เย่เสี่ยวชีกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นกลางลานพลันเกิดเสียงโครมครืนดังขึ้นหนึ่งระลอก
และเห็นว่ากลางลานแสดงยุทธ์ จินจู๋หลิวถึงขั้นถูกหลินสวินซัดหมัดเข้าบนหัวไหล่หนึ่งที ทั้งตัวคนพลันกระเด็นลอยออกไป
ใครก็ไม่อาจเห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลินสวินที่เมื่อครู่หลบหลีก จวนเจียนจะแพ้พ่ายอยู่แท้ๆ ทว่าชั่วพริบตาเดียวจินจู๋หลิวกลับถูกโจมตีสวนเสียอย่างนั้น!
ทั้งลานฉงนเลิกลั่ก รู้สึกว่าเริ่มมีบางอย่างผิดปกติ
มุมปากเย่เสี่ยวชีกระตุกอย่างแรง ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้หลินสวินต้องจงใจแสร้งอ่อนแอแน่!
“ฆ่า!”
จินจู๋หลิวตะโกนลั่น ถูกหลินสวินโจมตีจนพ่ายด้วยหมัดเดียวทำให้เขาเองก็ตกตะลึง งุนงงอยู่บ้างเหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะยังมีเรี่ยวแรงสู้กลับ
เพียงแต่ไม่นานเงาร่างของหลินสวินทอประกาย พุ่งโจมตีอย่างหนักหน่วงดุจดั่งภูตผีก็ไม่ปาน ยันเท้าเข้าท้องน้อยของจินจู๋หลิวอย่างจัง
เนื่องจากเร็วเกินไป ฝูงชนจึงรู้สึกตาลายอีกครั้ง จินจู๋หลิวส่งเสียงโอดครวญ ซัดเซสู่สภาพหัวทิ่มหกคะเมน
นี่…
ทั่วลานล้วนตกตะลึง จินจู๋หลิวก่อนหน้านี้ทรงอำนาจอาจหาญมากเพียงใด แต่ไฉนตอนนี้จู่ๆ ก็เริ่มกำราบหลินสวินไม่อยู่เสียแล้ว?
“การแก้แค้นเริ่มต้นแล้ว”
ในขณะนี้ ฉือฉางเหมยกับฮวาอู๋โยวต่างก็มองออก จินจู๋หลิวก็ต้านไม่ไหวแล้วเช่นกัน
ในใจของพวกนางต่างฉงน หลินสวินปิดด่านไปสองเดือน ยามนี้คล้ายกับเปลี่ยนเป็นยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผู้คนแทบสัมผัสไม่ได้เลยว่าแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่!
“รนหาที่ตาย!”
เห็นชัดว่าจินจู๋หลิวไม่เชื่อ สีหน้าเขียวคล้ำ เรือนผมยุ่งเหยิง ควงทวนกวาดไปทั่ว ทั้งร่างเต็มไปด้วยแสงเรืองรอง ทรงพลังน่าเกรงขาม
“ฮ่าๆ”
หลินสวินหัวเราะอย่างสดใสยิ่งโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ ทว่ารอยยิ้มนั้นของเขาเมื่อเข้าสู่สายตาของจินจู๋หลิว กลับกลายเป็นการยั่วยุและความอัปยศอดสูอย่างหนึ่ง
สำหรับผู้คนในลานที่ชมดูการต่อสู้ รอยยิ้มนี้ของหลินสวินดูขวางตาเป็นอย่างมาก ท่าทางอัปลักษณ์ดั่งอันธพาลได้ใจ!
เพียะ!
ทว่าไม่นานหน้าผากของจินจู๋หลิวก็ถูกฝ่ามือหนึ่งตบเข้าให้ ทิ้งร่องรอยนิ้วมือห้านิ้วสีแดงโลหิตบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา นี่ทำให้ทั่วลานต่างอดพรั่นพรึงไม่ได้ รู้สึกว่าเริ่มมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“หน้าผากนี้ช่างแข็งเหลือเกินจริงๆ ถึงขนาดตบไม่ยุ่ยเลย” หลินสวินพึมพำหนึ่งที
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
จินจู๋หลิวโกรธจนไม่อาจรักษาความสุขุมได้อีกต่อไป ดวงตาเปี่ยมด้วยเลือด สีหน้าโกรธเขียว เสียงคำรามดั่งอสนีบาต ก่อนพุ่งโจมตีออกไปอย่างบ้าคลั่ง
โครม!
บนลานแสดงยุทธ์ห้วงอากาศแปรผันปั่นป่วน แสงวิเศษโหมซัด แสงพร่างพราวแสบตานั้นทำให้ผู้คนต่างไม่กล้าจดจ้อง
“เจ้าไม่ไหวหรอก เหตุใดไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ อีกประเดี๋ยวข้ายังต้องแลกเปลี่ยนฝีมือกับคนอื่นอีก ไม่อาจเสียเวลาไปกับเจ้าแล้ว”
ยามที่เสียงของหลินสวินดังขึ้น ก็ได้ยินเสียงปังหนึ่งที ใบหน้าของจินจู๋หลิวถูกซัดกระแทกอย่างจังหนึ่งหมัด เลือดกระฉูดออกจากปากและจมูก ฟันก็ไม่รู้ว่าปลิวลิ่วออกไปกี่ซี่แล้ว ส่งเสียงครวญโอดโอย
ผู้คนในลานต่างรู้สึกเจ็บไปด้วย หมัดนี้ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ!
ส่วนผู้มากประสบการณ์ที่สายตาเฉียบคมบางคนต่างสังเกตได้อย่างฉับไวแล้วว่า ฝีมือก่อนหน้านี้ของหลินสวินนั้น จงใจแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแออย่างแจ่มแจ้ง
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ในเสียงคำรามนั้นจินจู๋หลิวพุ่งโถมออกไปอีกครั้ง
เรือนผมกระเซิงของเขา ใบหน้าที่เป่งแดงเหมือนหัวหมู ภาพลักษณ์ดูน่าสังเวชยิ่งนัก ไร้ซึ่งความทรงสง่าสะกดผู้คนก่อนหน้านี้ไปสิ้น ตรงกันข้ามเขาเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกยุจนโมโหตัวหนึ่ง อารมณ์รุนแรง เต้นเร่าๆ ด้วยความกราดเกรี้ยว
เขาถูกยั่วจนโมโหจัด เพลิงโทสะสุมหัว ภายใต้สายตาที่จ้องมาฝูงชน ได้ถูกหลินสวินปล่อยหมัดกระแทกลอยไปห่อนหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นท้องก็ถูกเตะไปหนึ่งที หน้าผากถูกตบหนึ่งฝ่ามือ ในเวลานี้แม้แต่แก้มยังถูกหมัดซัดจนเกือบล้มทั้งยืน นี่จะให้เขาทนไหวได้อย่างไรกัน
สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือ หลินสวินเอาแต่ยิ้มเจิดจ้าตลอดเวลา น้ำคำที่เอ่ยออกมายิ่งน่าโมโห จะให้เขารักษาความเยือกเย็นได้อีกอย่างไรกันเล่า
“เจ้าหมอนี่จงใจสินะ!”
“ตอนที่เขาต่อสู้กับสืออวิ๋นเผิง เซวียอวิ้นก่อนหน้านี้นั้น จะต้องจงใจทำเป็นอ่อนแอ ล่อคนมาติดกับอยู่ตลอดแน่ๆ!”
ในเวลานี้ต่อให้เป็นคนความรู้สึกช้าแค่ไหนก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง ท่าทีล้วนเปลี่ยนเป็นหลากสีสัน ทั้งฉงนสนเท่ห์ ทั้งอับอาย ทั้งขุ่นข้อง และยังตื่นตระหนก
ความจริงข้อนี้ทำให้พวกเขายากจะทำใจยอมรับ หนาวเยือกในใจยิ่ง เดิมคิดว่าในสาขายุทธ์วิถีนี้ ต่อให้หลินสวินเป็นมังกรก็ต้องขดนิ่งอยู่กับที่ ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เขาแทบไม่เคยงัดพลังที่แท้จริงออกมาใช้เลย!
และสิ่งที่ทำให้พวกเขาอับอายคือ พวกเขาเพิ่งจะเข้าใจเอาป่านนี้
น่าชังเกินไปแล้ว!
“เจ้าดูออกตั้งแต่แรกแล้วหรือ”
สีหน้าท่านหญิงเซียนเซียนไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
“คนที่สามารถสยบหลิงเทียนโหวได้ ไหนเลยจะเรียบง่ายเพียงนี้”
สีหน้าฮวาอู๋โยวราบเรียบไร้อารมณ์
และในเวลานี้ พวกหนิงเหมิง สืออวี่ เย่เสี่ยวชี กงหมิงเอาแต่หัวเราะฮ่าๆ ไม่ผิดไปจากที่พวกเขาคาดการณ์ไว้เลย หลินสวินล่อเจ้าคนเบาปัญญาได้อีกคนแล้ว
ตูม!
กลางลานแสดงยุทธ์ เสียงปะทะลั่นฟ้าสะเทือนดินดังก้องขึ้น ท่ามกลางฝุ่นควันลอยคลุ้ง จินจู๋หลิวถูกกดลงกับพื้น
ส่วนเท้าข้างหนึ่งของหลินสวินกลับเหยียบทับร่างของเขา ทำให้เขาไร้กำลังต่อต้านหยัดตัวขึ้นมา
ยามที่ภาพนี้ปรากฏ ทั้งลานไร้สุ้มเสียง นิ่งงันไปทั้งแถบ คนจำนวนมากล้วนอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
หากเทียบกับสืออวิ๋นเผิง เซวียอวิ้นก่อนหน้านี้ นับว่าจินจู๋หลิวในเวลานี้พ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชที่สุดแล้ว ทำเอาผู้คนไม่อาจทนมอง
นี่เป็นถึงอันดับเก้าของกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณเชียวนะ เหตุใดจึงถูกกำราบได้ถึงขนาดนี้
พวกเขาไม่อาจยอมรับผลลัพธ์นี้ได้เลย
ในลานนั้นผู้ที่มีท่าทีหลากหลายที่สุดคงหนีไม่พ้นหลันอวี่ ก่อนหน้านี้เขาถูกหลินสวินเอาแต่เรียกว่าผมขาวจนโกรธแทบกระอักเลือด หลายครั้งที่ตั้งใจจะก้าวขึ้นแท่นหินไปล่าสังหาร แต่ล้วนไม่อาจสมดังใจ นี่ทำให้เขาอัดอั้นถึงขีดสุด
เดิมทีเขายังกังวลว่าถ้าหลินสวินพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของจินจู๋หลิว อาจทำให้ตนไม่มีที่ให้ระบายเพลิงโทสะ ทว่าครั้นได้เป็นพยานเห็นฉากนี้ เขาพลันแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น สีหน้าท่าทีไหววูบไม่แน่นอน
เขาไม่ได้โง่ ย่อมมองออกว่าก่อนหน้านี้หลินสวินแทบไม่ได้งัดฝีมือที่แท้จริงออกมาเลย ส่วนความพ่ายแพ้แสนอดสูของจินจู๋หลิว ก็ทำให้กลางใจของเขาเริ่มหวาดกลัว
เจ้าคนน่าชังนี่เหตุใดจึงแข็งแกร่งเพียงนี้
ไม่เพียงแต่หลันอวี่ คนอื่นๆ ในลานต่างก็คิดไม่ออกเช่นเดียวกัน
“เฮ้อ ชนะสามครั้งรวดแล้ว”
หลินสวินถอนใจหนึ่งครา ยามเอ่ยคำพูด เขาเตะจินจู๋หลิวที่อยู่บนพื้นออกจากลานแสดงยุทธ์จนร่วงตุบลงกับพื้นอย่างแรง ก่อนสลบเหมือดไปทั้งอย่างนั้น
หมัดนี้ของเขาใช้พลังที่แท้จริง โจมตีจนจินจู๋หลิวบาดเจ็บสาหัส คิดจะฟื้นตัวคงไม่ง่ายดายนัก
ช่วยไม่ได้ ที่นี่คือสำนักศึกษามฤคมรกต ไม่สามารถฆ่าคนได้ ไม่เช่นนั้นหลินสวินก็ไม่ถือสาการจบชีวิตอีกฝ่ายทิ้ง
จินจู๋หลิวแพ้แล้ว!
ฝูงชนตระหนักถึงความแข็งแกร่งของหลินสวิน ยามได้ยินเสียงทอดถอนใจของเขาก็ไม่ได้โกรธขึ้งปานนั้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ใบหน้ายังคงปั้นยากตามเดิม
โอหัง!
โอหังอย่างยิ่ง มองสาขายุทธ์วิถีของพวกเขาเป็นดั่งที่รกร้างไร้ผู้คน น่ารังเกียจถึงที่สุด!
“ยังมีใครอีกหรือไม่”
หลินสวินกวาดสายตามองไปทั่วลาน ก่อนปริปากเอ่ยเนิบๆ
……………………