ขบวนคนและม้าของฝั่งตรงข้ามในพื้นที่ว่างเปล่าดั่งน้ำเดือดถ่านติดไฟ เสียงดังเอะอะโวยวายขึ้นมา
คลื่นเสียงสะเทือนฟ้า แทบจะกรีดขอบฟ้าทะลุรั่ว มีทั้งโมโห ทั้งหวาดกลัว ทั้งร้อนรน ทั้งกระวนกระวาย และสงสัย
ผู้เฒ่าเถียนส่งสายตาเป็นสัญญาณ ลูกน้องข้างๆ ก็เข้าใจได้ทันใด แล้วกล่าวเสียงดัง “ราชสำนักฆ่าประชาชนที่ทุกข์ร้อน ขุนนางชั่ว ไม่ตายดีแน่!” ประสงค์จะดึงใจกลุ่มคนผ้าเหลืองที่กระวนกระวายวุ่นว้าใจให้กลับมา
“พลเมืองดีไม่ควรฆ่า แต่หัวคนในกล่องนั้นแต่ละคนเป็นชาวบ้านที่ก่อการจลาจลทั้งสิ้น ถึงตายก็ไม่สาสมกับความผิด!” ซือเหยาอันตอบกลับเสียงดัง
ซย่าโหวซื่อถิงสายตามองไปยังหลี่ว์ปา พูดเสริมอย่างเรียบเฉย “คนพวกนี้ เดิมทีข้าไม่อยากสังหาร เก็บไว้รอกลับเมืองหลวงค่อยลงโทษ แต่เพราะหัวโจกของพวกเจ้าบีบคั้นให้พวกเขาต้องถึงทางตัน”
หากไม่ใช่เพราะกลุ่มผ้าเหลืองจะใช้ตัวประกันแลกกับเสบียงอาหาร คนพวกนี้ก็ไม่ต้องตาย
คนพวกนั้นก็เอะอะโวยวายขึ้นอีกครั้ง
“อย่าไปฟังสุนัขราชสำนักภาพลักษณ์ดูดีมายุยงปลุกปั่น มาหลอกลวงทำให้หลงใหล!” หลี่ว์ปากล่าวคำราม “พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าขุนนางชั่วพวกนี้แจกเสบียงช่วยเหลือภัยเพียงครึ่งหนึ่ง เก็บซ่อนไว้อีกครึ่งหนึ่ง”
กลุ่มผ้าเหลืองชูหอกเหล็กดาบกระบี่ แล้วโห่ร้องด้วยความโกรธแค้น
เว่ยเสียวเถี่ยร้อนรน แย่แล้วแย่แล้ว เสี่ยวชิ่งเกอยังอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่ได้ ดูจากสถานการณ์แล้ว หากทั้งสองฝั่งสู้กันขึ้นมา ไม่ใช่แค่ดาบหอกของจริงลอยไปมา รูปร่างอย่างชิ่งเกอเอ๋อร์นั้น เกรงว่าไม่นาน ก็จะถูกพวกทหารตัวสูงใหญ่กับกีบม้าเหยียบตายได้! จึงรีบส่งสัญญาณถี่รัว ให้ชิ่งเกอเอ๋อร์รีบหาโอกาสหนีกลับมา ส่งสายตาอยู่นาน แต่กลับเห็นว่านางไม่ได้ขยับเขยื้อนใด
การเจรจาแลกเปลี่ยนในวันนี้ดับมอดไปจนหมดสิ้น ฉินอ๋องใช้โอกาสครั้งนี้ใช้หัวชาวบ้านที่ก่อจลาจลหลายสิบหัวมาสยบพวกกลุ่มผ้าเหลือง ทำให้ประชาชนชาวเมืองเยี่ยนหยางได้เข้าใจว่า คนที่ต่อต้านราชสำนักล้วนไม่มีจุดจบที่ดี! สยบพลังอำนาจของกลุ่มผ้าเหลืองเสียหน่อย!
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลี่ว์ปาก็ไม่เกรงใจ กัดฟัน “พาขุนนางชั่วแซ่ชีมาด้านหน้า!”
ปลัดชีเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้แล้วว่าวันนี้จบสิ้นแล้ว องค์ชายสามไม่เคยคิดจะแลกตนกลับไป ท้องเกร็ง กางเกงร้อน ฉี่ราดเปียกปอนไปหมด ถูกชายฉกรรจ์สองคนผลักออกมา ขาอ่อนทันใด คุกเข่าลง “ฉินอ๋อง…ช่วยข้าน้อยด้วย ช่วยข้าน้อยด้วย…”
หลี่ว์ปาชักดาบที่พกข้างเอวออกมา เดินขึ้นหน้าไป ปลายดาบจี้ไปที่คอปลัดชี พู่แดงที่ผูกไว้บนด้ามดาบห้อยลง แล้วกล่าวกับฝั่งตรงข้าม “พวกเจ้าหาเรื่องเอง! เช่นนั้นก็ให้ขุนนางปลัดของพวกเจ้า ชดใช้ชีวิตให้พี่น้องหลายสิบคนของพวกข้าแล้วกัน! ว่าพวกข้าเป็นชาวบ้านก่อการจลาจลหรือ ขุนนางระดับห้า ตายในน้ำมือของชาวบ้านบ้าคลั่งก่อการจลาจลนี้ ข้าจะดูว่าพวกเจ้าจะขายหน้าหรือไม่!” แล้วใช้ด้ามดาบตบหน้าปลัดชีเบาๆ “เมื่อครู่องค์ชายสามของพวกเจ้าบอกว่าข้าบีบพี่น้องห้าสิบคนให้ถึงแก่ความตาย ตอนนี้เจ้าดูให้ชัด ว่าองค์ชายสามของพวกเจ้าเป็นคนบีบให้เจ้าตาย!”
ปลัดชีตดแตกฉี่ราด ไร้ซึ่งมาดของขุนนางแห่งราชสำนัก รู้ตัวว่าฉินอ๋องไม่ช่วยชีวิตตนแน่ กลับไปยอมเข้าพวกกับพวกโจรกบฎ “หลี่ว์ ลูกพี่หลี่ว์ ข้ายอมโดนปลดจากตำแหน่งขุนนาง เข้าร่วมกับกลุ่มผ้าเหลือง ขอแค่ไว้ชีวิตข้า…ขอร้องล่ะ ขอร้องล่ะ…”
หลี่ว์ปาหัวเราะร่า “ใครนะ…ฉินอ๋องใช่หรือไม่ ได้ยินหรือยัง! คนของเจ้า ไม่เอาตำแหน่งขุนนางแล้ว จะเข้าร่วมกับพวกข้า!”
แล้วก็เหลือบตามองดูปลัดชี เดินหน้าสองสามก้าว ในคำพูดแฝงความท้าทายอยู่ “ยากแล้วสินะองค์ชายสาม เจ้าว่าข้าจะรับปลัดเมืองของพวกเจ้าเอาไว้ ล้างส้วมซักเสื้อผ้าให้พี่น้องพวกข้าดี หรือจะใช้ดาบฟันลงไปบูชาพี่น้องหลายสิบคนนั้นของข้าดี!”
ชายฉกรรจ์กลุ่มผ้าเหลืองก็หัวเราะตาม บางคนก็โห่ร้องใส่
“ไว้ชีวิตข้าด้วย ไว้ชีวิตข้าด้วย อย่าฆ่าข้า ข้า ข้ายอมล้างส้วมซักเสื้อผ้าให้ลูกพี่หลี่ว์!…” ปลัดชีโอดครวญเสียงแหบแทบหมดแรง
อวิ๋นหว่านชิ่นแอบถอนหายใจ ปลัดชีนี่หากไว้มาดเสียบ้าง ไม่แน่ว่าฉินอ๋องยังจะปกป้องชีวิตเขาได้ แต่รักตัวกลัวตายถึงขั้นนี้ หนีความตายไปไม่พ้นเป็นแน่
“มีอย่างที่ไหน!” ซือเหยาอันเลิกคิ้ว ทหารขุนนางก็เริ่มวุ่นวายขึ้น เพียงแต่อย่างไรก็เป็นทหารที่ผ่านการฝึกมาตามระเบียบ เห็นว่านายนิ่ง ทหารส่วนมากจึงยังคงนิ่งอยู่
ซย่าโหวซื่อถิงไม่ได้ตอบรับการเยาะเย้ยของฝ่ายหลี่ว์ปา รับคันธนูยาวลายมังกรแดงที่ลูกน้องยื่นมาให้ หนีบท้องม้าแน่น โค้งลำตัวเล็กน้อย จับสายเล็งเป้าตรงมายังด้านหน้า
ผู้คนกลุ่มผ้าเหลืองตกใจ เห็นเพียงลูกศรพุ่งทะลุผ่านลมมา ไม่เฉียดไม่เฉียง ลอยตรงเข้าหาปลัดชี ชายฉกรรจ์สองคนรีบหลบไปทันใด
เห็นเพียงปลายลูกศรอันแหลมคมปักทะลุเข้าเนื้อ ฉึก! หายเข้าไปในเนื้อหน้าอกของปลัดชีตรงๆ ทะลุผ่านจากหน้าไปหลัง!
เสียงร้องขอชีวิตเมื่อครู่ยังไม่ทันขาดคำ ปลัดชียังไม่ทันได้ตอบสนองใด เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นแล้วล้มลง
“เป็นขุนนางอย่างไรให้มีสภาพเช่นนี้ มีชีวิตอยู่ก็เปลืองข้าวปลาอาหาร กินเงินบำนาญของราชสำนักมาตั้งหลายปีเสียเปล่า” ซย่าโหวซื่อถิงงอข้อศอก พลิกมือยัดคันธนูคืนสู่อ้อมอกลูกน้อง “จัดการสุนัขรับใช้ไร้ประโยชน์ ไม่ต้องลำบากคนนอกหรอก”
หลี่ว์ปาตะลึงไปสักพักใหญ่ แน่ใจแล้วว่าฉินอ๋องผู้นี้ไม่ใช่คนมีเมตตาดั่งที่คิดไว้ในตอนแรก โชคดีที่ตนยังพาคนมาอีกคน มีไพ่เก็บไว้อีกใบ ถึงแม้ครั้งนี้จะไม่ได้บรรลุจุดประสงค์ของการขอเสบียง แต่ก็จะให้ทหารขุนนางอยู่เหนือกว่าไม่ได้ ถ่มน้ำลาย “ดี! ข้าจะดูว่าเจ้าจะใจแข็งได้ถึงเพียงไหน! จะไม่เอาตัวประกันทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่!” แล้วปรบมือเรียก
กลุ่มคนก็ถอยกระจายออกไป คนกลุ่มผ้าเหลืองสองนายกุมตัวหนุ่มน้อยชุดลายปักดิ้นทองมาจากในขบวนทัพ อายุประมาณไม่เกินแปดเก้าปี หน้าตาผิวเนื้อเนียนละเอียด ขาวสะอาด หูใหญ่หน้ากว้าง ท่าทางอ้วนทึ่ม ดูก็รู้ว่าเป็นท่านชายบ้านขุนนาง พอถูกกุมตัวออกมา ก็ตะโกนร้องไห้โวยวาย “ท่านพ่อ…ท่านพ่อ…ช่วยลูก ช่วยลูกด้วย!” เมื่อเห็นปลัดชีที่มีลูกศรธนูปักอกอยู่บนพื้นอีก ก็ยิ่งร้องไห้เอะอะขึ้นมาใหญ่ “ลูกไม่อยากตาย ท่านพ่อ…”
อวิ๋นหว่านชิ่นโน้มตัวไปดูให้ละเอียดถี่ถ้วน เมื่อเช้านี้ตามอยู่หลังสุดของขบวน ไม่ทันได้สังเกตเช่นกัน ที่แท้หลี่ว์ปายังพาตัวประกันมาอีกคน
ท่านชายอ้วนเผยหน้าออกมา ในกลุ่มคนของค่ายทหารชั่วคราวนั้น ก็มีม้าตัวหนึ่งขยับ มีคนผู้หนึ่งล้มลุกคลุกคลานลงจากม้าพุ่งกระโจนไปข้างหน้าในเวลาเดียวกัน “ลูกเอ๋ย ลูกข้า…” กลับถูกซือเหยาอันออกคำสั่งให้คนรั้งเอาไว้
เป็นข้าหลวงเมืองเยี่ยนยางสวีเทียนขุยที่โชคดีหนีออกไปได้ตอนที่กลุ่มคนผ้าเหลืองบุกจวน
สวีเทียนขุยรีบหันกลับไปคุกเข่าหน้าม้าของฉินอ๋อง สะอื้นไห้ “ฉินอ๋อง เด็กคนนั้นเป็นบุตรชายของข้าน้อย ท่านจะต้องช่วยชีวิตเขาให้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ บ้านตระกูลสวีมีทายาทคนนี้เพียงคนเดียวแล้ว…”
สวีเทียนขุยปีนี้ก็อายุห้าสิบกว่าแล้ว เรือนหลังมีภรรยาใหญ่หนึ่งภรรยารองอีกหก ภรรยาหลวงน้อยเจ็ดคนต่างก็ไม่มีบุตรชายกัน จนกระทั่งสิบปีที่แล้ว ในที่สุดก็มีภรรยารองคนหนึ่งกำเนิดบุตรชายเพียงคนเดียวนี้มา ปกติแล้วเอ็นดูหวงแหนมากเสียกระไรดี ประตูจวนผู้ว่าถูกทลายในครั้งนี้ ภรรยาทั้งหลายกับบุตรสาวหนีออกมาไม่ได้ไม่เป็นไร แต่บุตรชายหนีออกมาไม่ทัน กลับทำให้สวีเทียนขุยเหมือนกับนั่งอยู่บนพรมเข็ม ตอนอยู่ในค่ายทหารก็ร้อนรนอยู่ทุกวัน ตอนนี้เมื่อเห็นว่าถูกกลุ่มคนผ้าเหลืองนั้นนำมาเป็นตัวประกันแล้ว จะไม่ร้อนรนเหมือนไฟเผาได้อย่างไร
หลี่ว์ปาเห็นว่าทางฝั่งฉินอ๋องนั้นคึกคักขึ้นมาแล้ว ก็หัวเราะร่าออกมา “สวีเทียนขุย รีบขอร้องนายเจ้าสิ! ลูกชายเจ้าเนื้อหนานัก ข้ากรีดเนื้อต้องใช้พละกำลังเยอะอยู่!”
สวีเทียนขุยได้ยินดังนั้น หน้าก็ม่วงไป แทบจะเป็นลมล้มพับ ดึงหัวม้าของฉินอ๋องเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ
ซย่าโหวซื่อถิงขมวดคิ้วแน่น ดึงบังเหียนหลบการยื้อดึงของสวีเทียนขุย “มือธนู” หันหน้ามาเล็กน้อย ทิ้งคำพูดให้สวีเทียนขุยอย่างเย็นชา “กลุ่มคนผ้าเหลืองทำเจ้าเสียบุตรชาย ข้าหลวงสวี จากนี้ไป จะต้องคิดแล้วว่าจะทำลายกลุ่มชาวบ้านที่ก่อการจลาจลเพื่อแก้แค้นได้อย่างไร”