จิงจิงกับแม่เดินห่างออกมาไกลแล้ว ทันใดนั้นจิงจิงก็หยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง
ภายในสนามบินมีคนเดินขวักไขว่ ฉิวฉิวกับไป๋จิ่นที่กำลังกอดกันอยู่ห่างออกไปไกล จิงจิงเห็นสีหน้าของพวกเขาไม่ชัด รู้สึกได้ว่าสองคนนี้เหมือนเพื่อนกัน แต่อีกใจก็รู้สึกว่าพวกเขาเป็นมากกว่าเพื่อน คล้ายกับเป็นคู่รัก แต่ก็ดูไม่ถึงกับเป็นคู่รัก แปลกจัง
จิงจิงจับตรงหน้าอก เธอรู้สึกแปลกๆ ในความทรงจำของเธอเหมือนมีภาพเหตุการณ์บางอย่างปรากฏอยู่แต่มันช่างเลือนลาง
“จิงจิงเป็นอะไรเหรอ?” แม่จิงจิงถามด้วยความหวั่นใจ กลัวลูกสาวจะเข้าไปหาสองคนนั้น กลัวว่าเธอจะนึกอะไรออก
“หนูรู้สึกว่า คนเมื่อกี้…อบอุ่นมาก” เป็นครั้งแรกที่จิงจิงรู้สึกกับ ‘คนแปลกหน้า’ แบบนี้
“งั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา นั่นคงเป็นแฟนเขาแหละมั้ง พวกเขาน่าจะไปกันได้ดี” แม่จิงจิงดึงตัวลูกสาวเดินต่อพลางพูด ถึงเธอจะรู้สึกผิดต่อฉิวฉิวอยู่บ้าง แต่มนุษย์เราก็ย่อมมีความเห็นแก่ตัว เธออยากให้ฉิวฉิวเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่บ้าง
“ค่ะ ไปกันได้ดีก็ดีค่ะ ไม่รู้ทำไม พอรู้ว่าพวกเขาไปกันได้ดี ตรงนี้กลับรู้สึกอบอุ่นแต่ก็ไม่โอเคนิดหน่อยไปด้วยในเวลาเดียวกัน…” จิงจิงไม่เคยรู้สึกอะไรที่ซับซ้อนแบบนี้มาก่อน
แต่ตอนที่เธอกับแม่เดินไปถึงอีกทางออกหนึ่ง ความรู้สึกนี้ก็ถูกลืมไว้ข้างหลัง จิงจิงกับฉิวฉิวสุดท้ายก็เป็นเพียงเส้นขนาน เพียงแต่ในจิตใต้สำนึกของทั้งสองคนต่างรู้สึกหวังดีต่อกันและกัน
เสี่ยวเชี่ยนมองเหตุการณ์นี้อยู่อีกด้านหนึ่ง จากมุมของเธอสามารถมองเห็นได้ทั้งฉิวฉิวและจิงจิงตั้งแต่ต้นจนจบ
อวี๋หมิงหลางยืนจับมืออยู่ข้างเธอ เขาอ่านปากจิงจิงให้เสี่ยวเชี่ยนฟัง
“ก็ดีนะ ผู้หญิงคนนี้ตอนนี้ฟื้นฟูกลับมาได้ไม่เลว ดูท่าทางจะมีชีวิตปกติแล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า การที่ฉิวฉิวกับจิงจิงเดินมาได้ถึงจุดนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว ถึงจะต้องลืมทุกอย่าง แต่ในส่วนลึกทั้งสองคนต่างปรารถนาดีต่อกัน
อวี๋หมิงหลางรู้สึกอยากแสดงความคิดเห็น คำพูดของเขาทำให้เสี่ยวเชี่ยนงง “เมียจ๋า ผมรู้สึกว่าการที่คุณเก็บค่ารักษาแพงๆไม่ถือเป็นการขูดเลือดขูดเนื้อเลยสักนิด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสองแสนเมื่อกี้นั่น คุณถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์เลยนะ”
“หืม? ทำไมอยู่ๆมาพูดเรื่องนี้?” เสี่ยวเชี่ยนไม่เข้าใจ
“พวกเขาสามารถใช้เงินซื้อสุขภาพจิตที่ดีจากคุณได้ แต่เงินของคุณซื้อความรู้สึกจากพวกเขาไม่ได้”
หมออย่างเสี่ยวเชี่ยนไม่เหมือนหมอคนอื่น
หากเป็นหมอสูติ เดินๆอยู่ข้างนอกเจอคนที่ตัวเองเคยทำคลอดให้จะต้องได้รับการทักทายอย่างเป็นกันเองแน่นอน ขอบคุณหมอที่ทำคลอดให้ในตอนนั้น หรือไม่ก็อาจจะเล่าให้หมอฟังว่า เด็กคนนี้ที่หมอทำคลอดให้โตเท่าไหนแล้ว
สำหรับหมอส่วนใหญ่แล้ว คำขอบคุณของคนไข้เป็นความภูมิใจในวิชาชีพ
แต่นักบำบัดจิตใจไม่เหมือนกัน คนไข้บางคนของพวกเขาหลังจากที่รักษาเสร็จแล้ว เจอกันข้างนอกอาจแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก ไม่มีใครอยากยอมรับว่าตัวเองเคยเป็นโรคจิตเวช
ถึงในใจคนพวกนี้จะรู้สึกขอบคุณนักบำบัดจิตใจก็ตาม แต่หลายคนก็คงเป็นเหมือนจิงจิง ถ้าไม่แกล้งทำเป็นลืมก็ถูกทำให้ลืม
“ฉันโอเคดี ฉันไม่ใช่คนบุคลิกแบบนักแสดง ฉันไม่ได้แคร์กับเรื่องการเป็นที่ยอมรับจากคนอื่นเท่าไร เรื่องพวกนี้ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญ”
“บุคลิกแบบนักแสดง?”
“อืม มีส่วนหนึ่งเป็นเหมือนนักแสดง อีกส่วนเป็นนักเขียน พวกคนที่ทำงานศิลปะ งานบันเทิง งานเขียน จะมีบุคลิกแบบนี้ได้ง่าย กระหายการอยากเป็นที่ยอมรับจากคนอื่น ฉันเคยรู้จักกับนักเขียนที่ดังมากคนหนึ่ง เขาได้รางวัลอันทรงเกียรติมากมาย แต่กลับกลายเป็นโรคซึมเศร้าเพียงเพราะได้รับคำวิจารณ์แย่ๆจากผู้อ่านไม่กี่คน สุดท้ายกระโดดตึกตาย”
เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงนักเขียนคนหนึ่งที่เธอชอบมากเมื่อชาติก่อน
“คุณหมายความว่า คนบุคลิกนักแสดงพวกนี้รับได้แต่คำชมงั้นเหรอ? คำวิจารณ์แง่ลบสักนิดก็รับไม่ได้เลยเหรอ?” อวี๋หมิงหลางคิดในใจ หรือนี่จะเป็นพวกใจแคบอย่างที่ว่ากัน?
“นายจะเข้าใจว่าคนบุคลิกนักแสดงเป็นคนที่เกิดความเคารพในตัวเองโดยตั้งอยู่บนการยอมรับจากคนอื่นก็ได้ พวกเขาแคร์คำพูดของคนอื่นที่มีต่อตัวเองมากเกินไป จนกลัวว่าจะถูกเกลียด อัตราที่จะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึงสี่เท่า ในวงการบันเทิงเจอคนนิสัยแบบนี้ได้มากมาย ส่วนคนทั่วไปที่จะมีบุคลิกแบบนี้มีเพียงสองเปอร์เซ็นต์ แต่นอกจากคนพวกนี้ที่แคร์สายตาคนอื่นมากเกินไปแล้ว อันที่จริงคนทั่วไปส่วนใหญ่ก็แคร์คนอื่นนะ แค่ไม่ถึงกับป่วย”
ดังนั้นไป๋จิ่นถึงได้เป็นทุกข์มากขนาดนั้น ก็เพราะแคร์ แคร์มากเกินไป
อวี๋หมิงหลางยิ้ม เธอพูดอย่างสบายๆ แต่เขารู้ว่าเธอก็แคร์นั่นแหละ เพียงแต่ไม่ได้หนักถึงขั้นมีบุคลิกแบบนักแสดง
โลกในจิตใจของคนเรามักจะมีเส้นขอบเขตกั้นอยู่ อัจฉริยะอยู่ซ้าย คนบ้าอยู่ขวา แคร์สายตาคนอื่นมากเกินไปก็จะป่วย ไม่แคร์เลยก็เลือดเย็น ส่วนเธอยืนเหยียบเส้นพอดี ช่วยชีวิตได้ทั้งอัจฉริยะและคนบ้า
ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่แคร์จริงๆ เธอคงไม่มีทางไปกินเหล้าแก้กลุ้มหลังจากที่รักษาบางเคสเสร็จ หลังจากที่มีอวี๋หมิงหลางเธอก็มีความสามารถในการปรับสภาพอารมณ์ได้ดีขึ้น
ทุกครั้งที่อวี๋หมิงหลางยืนอยู่กับเสี่ยวเชี่ยนเป็นพยานในการรักษาคนไข้ให้เธอ เขาเหมือนมีภารกิจอย่างหนึ่ง การมีตัวตนของเขาทำให้เธอมีความสุข ก็เหมือนฉิวฉิวกับไป๋จิ่น คนอื่นจะมองยังไงไม่สำคัญ มีเธออยู่เคียงข้างก็พอแล้ว
ตอนที่ไป๋จิ่นกับฉิวฉิวกลับมา เสื้อผ้าที่สกปรกมอมแมมก็ไม่อยู่บนตัวฉิวฉิวแล้ว เขาใช้ทิชชู่เปียกเช็ดทำความสะอาดไปหลายห่อพอให้ไม่มีกลิ่น ปรากฏตัวอีกครั้งด้วยลุคใหม่พร้อมไป๋จิ่นที่ดูสนิทสนมกันมาก
ออกไปด้วยกันแค่แปปเดียวสองคนนี้กลับมาด้วยบรรยากาศที่ไม่เหมือนเดิม ทุกคนต่างรู้สึก แต่ก็ไม่มีใครถาม
จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ชอบหน้ากัน จนมาถึงตอนนี้ที่เข้ากันได้ดี ก็เหมือนกับที่เสี่ยวเชี่ยนเคยพูดไว้ คนเราเปลี่ยนไปทุกวัน ตอนนี้ไม่ใช่คู่กัน แต่ใครจะไปรู้อนาคตล่ะ?
ฉิวฉิวมองไม่เห็นจิงจิงแล้ว แต่เขาไม่ได้เสียใจเลยสักนิด
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ฉิวฉิวมักจะจินตนาการว่า ถ้าวันหนึ่งเขาได้เจอจิงจิงเขาจะรู้สึกอย่างไร จะร้องไห้ฟูมฟายหรือเปล่า หรือจะอึ้งจนพูดไม่ออก หรือจะถูกจิงจิงทำเย็นชาใส่จนเขาต้องกลับไปกินเหล้าย้อมใจ
วันนี้ปมในใจถือว่าได้คลายจนหมดสิ้นแล้ว รอมยิ้มบางๆที่มีให้ พร้อมคำอวยพรให้มีความสุขอย่างจริงใจ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เขาได้รู้ว่าเธอมีชีวิตที่ดี ปมในใจก็คลายออก
ลาก่อน จิงจิงที่เขาเคยชอบ กระโปรงสีขาวที่ยากจะเลือนหายจากความทรงจำ สุดท้ายได้จากไปแบบนี้ ไม่เจ็บปวด กลับสบายใจ
เมื่อบินกลับไปถึงแล้วอวี๋หมิงหลางไปส่งเสี่ยวเชี่ยนที่บ้านแล้วกลับหน่วยทันที เขางานยุ่งมากจริงๆ
พอฉิวฉิวกลับไปถึงก็เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ ย้ายออกจากบ้านที่เคยเช่าเพราะกลัวว่าพ่อจะมาจับตัวกลับไปอีก แค่ครั้งเดียวก็เกินพอ
เสี่ยวเชี่ยนนอนพักผ่อน พอตื่นมาในวันรุ่งขึ้นก็พบว่าโทรศัพท์ที่เธอปิดเสียงไว้มีสายที่ไม่ได้รับหลายสาย
มีสายจากศาสตราจารย์หลิวและข้อความจากอวี๋หมิงหลาง
เสี่ยวเชี่ยนเปิดดูข้อความของอวี๋หมิงหลางก่อน จากนั้นก็ยิ้ม
เธอเปิดประตูออกไปก็เห็นอาหารเช้าที่เขาให้คนเอามาส่ง ถูกบรรจุไว้ในกล่องเก็บอุณหภูมิ
พอย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านทหารจะแขวนของไว้หน้าประตูยังไงก็ได้ ไม่ต้องกลัวหาย เขางานยุ่งกลับบ้านไม่ได้ ถึงเขาจะอยู่ห่างจากบ้านเดินแค่ไม่กี่นาทีแต่ก็กลับไม่ได้
ตัวไม่อยู่ แต่ใจมาถึงแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนเทโจ๊กที่ยังร้อนๆใส่ชาม มีกับแกล้มเล็กน้อยจากหน่วยทหาร เธอหยิบโทรศัพท์มาเตรียมโทรหาอาจารย์