ตอนที่ 229-2 คำขอร้องของเหยาจี

ชายาเคียงหทัย

“ท่านอ๋อง พระชายา เหยาจีขอเข้าพบเพคะ”

 

 

“เข้ามาเถิด” คิ้วคิ้มของม่อซิวเหยาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นเรียบๆ

 

 

เหยาจีผลักประตูเข้ามา ชั่วเวลาห้าปีผ่านไป นางรำอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงที่มากด้วยความเย้ายวน ยามนี้ดูจะมีเสน่ห์และความเย้ายวนที่สุขุมมากขึ้นหลายส่วน เมื่อล้างเครื่องประดับที่หรูหราออกไปจนหมดสิ้นแล้ว เหยาจีในยามนี้เพียงอยู่ในชุดเรียบง่ายธรรมดาๆ และมีปิ่นหยกเสียบแซมอยู่เท่านั้น ภาพลักษณ์ความถือดีของนางรำอันดับหนึ่งก็หายไปหลายส่วน แต่มีความสงบนิ่งและเรียบง่ายเข้ามาแทนที่

 

 

เยี่ยหลีพิศมองเหยาจีที่บนศีรษะมีปิ่นหยกรูปดอกบัวเสียบแซมอยู่ แล้วคิ้วเรียวก็เลิกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ได้พบกันหลายวัน เหยาจีดูจะงดงามขึ้นอีกแล้ว”

 

 

เหยาจีระบายยิ้มกว้าง “พระชายากำลังล้อเลียนข้าอยู่หรือไร ข้าจะเทียบกับพระชายาที่ดูมีสง่าราศีเปล่งปลั่งขึ้นอีกแล้วได้อย่างไรเพคะ”

 

 

เยี่ยหลีหรี่ตาลงมองนาง เอ่ยกระเซ้าถึงเครื่องประดับหยกว่า “ปิ่นหยกอันนี้ไม่เลวเลยทีเดียว ข้าดูแล้วช่างคุ้นตายิ่งนัก”

 

 

เหยาจียกมือขึ้นจับปิ่นบนศีรษะด้วยความขัดเขินโดยไม่รู้ดตัว “ปิ่นอันนี้ธรรมดาออกเพคะ แบบก็คงไม่ต่างกันมากกระมัง”

 

 

เยี่ยหลียิ้มส่ายหน้า “กล่าวเช่นนี้คงไม่ถูก เจ้าอย่าดูแต่ว่าปิ่นหยกอันนี้มีรูปแบบและการแกะสลักที่ดูธรรมดาๆ ไม่ถือว่าเป็นของดีอันใด แต่หยกประเภทนี้เป็นหยกที่พ่อค้าจากดินแดนทางตะวันตกนำเข้ามา ทั่วทั้งเมืองหลีมีอยู่ประมาณสามชิ้นเท่านั้น เดิมทีข้าเก็บอันที่เป็นดอกฝูหรงไว้ อีกอันหนึ่งเป็นดอกหลัน ให้ฮูหยินรองตระกูลสวีไป แต่อีกอันหนึ่งมีคนมาขอไป ที่แท้…”

 

 

เมื่อถูกเยี่ยหลีมองด้วยสายตาล้อเลียนเช่นนี้ เหยาจีที่เคยอยู่ท่ามกลางสายตาผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนกลับอดหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาไม่ได้ ในใจนึกโกรธผู้ที่ให้ของสิ่งนี้มาเป็นยิ่งนัก เดิมทียามที่คนผู้นั้นให้ปิ่นชิ้นนี้กับนาง นางย่อมไม่ยอมรับไว้ แต่คนผู้นั้นกลับยัดใส่มือนาง บอกว่ามีคนส่งของขวัญมาให้ผิด เขาเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ หากไม่ต้องการก็ให้โยนทิ้งไปเสีย คิดไม่ถึงว่าของที่ดูหน้าตาธรรมดาๆ เช่นนี้ กลับมีที่มาที่ไปเช่นนี้

 

 

เยี่ยหลีมองใบหน้าที่แดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ ของนาง ก็รู้ว่าไม่ควรเอ่ยล้อนางต่อ หากทำให้โชคชะตาของลูกน้องเสียไปเสีย คงถูกโกรธแค้นไปตลอดชีวิต หากเอ่ยอย่างในชาติที่แล้วก็คือ การทำลายโชคชะตาของผู้อื่น จะต้องถูกม้าเตะเอา

 

 

“เอาล่ะ ไม่เย้าเจ้าแล้ว มีเรื่องอันใดหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

 

 

เมื่อเหยาจีเห็นว่าเยี่ยหลีวางให้บันไดนางลงแล้ว ย่อมเปลี่ยนเรื่องด้วยความดีใจ รีบเอ่ยว่า “ในบรรดาบัณฑิตที่มาลงชื่อเข้าสอบ รายชื่อคนที่มีปัญหาอยู่ที่นี่แล้ว จะให้ไปจับตัวมาเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่เพคะ” เหยาจียื่นส่งรายชื่อให้ด้วยความนอบน้อม

 

 

เยี่ยหลีรับมาอ่านดูเล็กน้อย ก่อนส่งให้ม่อซิวเหยา “ดูท่าเหลยเจิ้นถิงกับม่อจิ่งฉีจะให้เกียรติพวกเรายิ่งนัก เมื่อเห็นโอกาสจะแทงเข็มเข้ามา ก็คิดอยากจับคนของตนเข้ามาในเมืองหลีทันที ครานี้คนจากต้าฉู่และซีหลิงที่มาลงชื่อเข้าสอบ ดูท่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งคงเป็นคนของพวกเขา”

 

 

เยี่ยหลีนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยกับเหยาจีว่า “ยังไม่ต้องทำอันใด ไว้รอให้การสอบเสร็จเรียบร้อยเสียก่อนค่อยว่ากัน ข้าเองก็อยากรอดูว่า คนที่เจิ้นหนานอ๋องกับม่อจิ่งฉีส่งมานั้น จะเป็นคนมีความสามารถเป็นเลิศเพียงใด”

 

 

ก่อนการสอบจะเริ่มต้นขึ้น หากมีบัณฑิตจำนวนมากหายตัวไป คงง่ายที่จะถูกคนค้นพบและอาจทำให้เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นได้ง่ายๆ เพียงแต่หากหลังจากการสอบก็คงไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้มีคนหายไป โดยมากคงคิดว่าเพราะสอบไม่ติด จึงคิดจากไปเงียบๆ

 

 

เหยาจีรับคำ นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เดิมทีเหยาจีให้คนไปรายงานแก่ใต้เท้าม่อหวาแล้ว แต่ในเมื่อท่านอ๋องและพระชายามาที่นี่ ก็ขอรายงานต่อท่านอ๋องและพระชายาเองเลยก็แล้วกัน ช่วงนี้ที่เมืองหลวงของต้าฉู่ดูจะไม่ค่อยสงบนัก คนที่โรงสุราทางด้านล่าง ได้ยินคนที่มาจากเมืองหลวงของต้าฉู่พูดมาอีกที”

 

 

คิ้วเข้มของม่อซิวเหยาขมวดเข้าหากันทันที “ได้พูดหรือไม่ว่ามีเรื่องอันใด”

 

 

เหยาจีส่ายหน้าเอ่ยว่า “อีกฝ่ายมิใช่คนใหญ่คนโต คาดว่าก็คงรู้อันใดไม่มากนัก”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “ดูท่าคนที่เมืองหลวงของพวกเราคงจะใช้การไม่ได้เสียแล้ว”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ อย่างไม่แปลกใจว่า “ความขี้ระแวงของม่อจิ่งฉีผู้นี้ หนักหนาเอาการทีเดียว ยิ่งก่อนหน้านี้ถูกถานจี้จือหลอกมาอีกเกือบสิบปี ยามนี้เกรงว่าเขาเห็นผู้ใดก็คงคิดว่าคนผู้นั้นเป็นกบฏไปเสียหมด ต่อให้ตนเองต้องเดือดร้อน ก็คงยอมขจัดคนข้างกายของตนเองออกให้สะอาดหมดจด”

 

 

ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะมีหมากลับที่อยู่ในวังอีก แต่นั่นก็เป็นหมากตัวที่ซ่อนไว้อย่างลึกลับยิ่งนัก หากมิใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ก็จะไม่หยิบมาใช้พร่ำเพรื่อ

 

 

“ดูท่าทุกคนจะใช้ชีวิตสงบๆ กันจนเบื่อแล้ว อาหลี อีกเดี๋ยวกลับไปเลือกคนที่เหมาะสมกลับเมืองหลวงไปช่วยเหลิ่งเฮ่าอวี่เถิด” ม่อซิวเหยาเอ่ยพร้อมยิ้มเยาะ

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า เหยาจีที่ยืนอยู่ตรงประตูกัดฟันแน่น แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋อง พระชายา หากท่านเชื่อใจข้า เหยาจียินดีกลับเมืองหลวงเพคะ”

 

 

“เจ้า?” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “แต่ฐานะของเจ้า แล้วยังอันตรายหากกลับเข้าเมืองหลวง เจ้าคิดดีแล้วหรือ”

 

 

เหยาจีพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เหยาจีคิดดีแล้ว ถึงแม้หลายปีนี้ข้าจะอยู่ที่เมืองหลี แต่ก็น้อยนักที่จะออกไปให้ผู้คนพบหน้า คนในเมืองหลวงที่รู้จักหน้าข้าก็มีอยู่เพียงไม่กี่คน อีกอย่าง เหยาจีมิใช่เหยาจีคนเก่าเสียนานแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ความสามารถในการป้องกันตัวเองของเหยาจีก็พอมีอยู่บ้าง”

 

 

เมื่อเยี่ยหลีเห็นท่าทีแน่วแน่ของนาง จึงได้แต่ถอนหายใจด้วยความจนใจ “เจ้ายังตัดไม่ขาด?”

 

 

เหยาจีฝืนยิ้ม เอ่ยว่า “บางทีกลับไปครานี้อาจตัดขาดแล้วก็ได้นะเจ้าคะ เหยาจีจะไม่มีทางทำให้ท่านอ๋องกับพระชายาเสียเรื่อง ขอท่านอ๋องและพระชายาได้โปรดอนุญาต”

 

 

เยี่ยหลีคิดไปคิดมา แล้วเอ่ยว่า “เจ้ากลับไปก่อน ข้าขอใคร่ครวญให้ดีแล้วจะตอบเจ้า”

 

 

เหยายจีเอ่ยขอบคุณ ก่อนหมุนตัวเดินออกไปพร้อมปิดประตูกลับให้สนิท

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หากนางบอกว่านางตัดเรื่องมู่หยางได้ขาดแล้ว ข้าก็คงไม่เชื่อ แต่หากจะว่า นางสามารถทรยศตำหนักติ้งอ๋องเพื่อมู่หยางข้าเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน บุตรของนางยังอยู่ที่ซีเป่ย ต่อให้เพื่อบุตรของนาง นางก็ไม่มีทางทรยศตำหนักติ้งอ๋อง อีกอย่าง…ต่อให้นางยังมีใจให้มู่หยาง แต่เกรงว่าก็คงโกรธแค้นคนของจวนมู่หยางยิ่งนัก เหยาจีผู้นี้รักคือรัก เกลียดคือเกลียด…”

 

 

ม่อซิวเหยานึกสงสัย “ในเมื่ออาหลีรู้ว่านางยังมีความผูกพันกับมู่หยาง เหตุใดถึงเห็นดีเห็นงามเรื่องนางกับฉินเฟิงเล่า”

 

 

“อันใดที่เรียกว่าข้าเห็นดีเห็นงามเรื่องนางกับฉินเฟิงหรือ” เยี่ยหลีมองค้อนพลางเอ่ยว่า “ข้าเพียงแค่ไม่ชอบเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องชีวิตส่วนตัวของลูกน้องเท่านั้น ขอเพียงไม่กระทบกับงานหลัก ฉินเฟิงอยากจะรักใครชอบใคร ก็เป็นเรื่องของเขา หรือคนที่เป็นพระชายาอย่างข้า ยังต้องควบเป็นแม่สื่อด้วยหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาเองก็ไม่สนใจเรื่องชีวิตส่วนตัวของลูกน้องเช่นกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงไม่เห็นด้วยที่เหยาจีจะกลับเมืองหลวง”

 

 

เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ ส่ายหน้าพลางเอ่ยถามว่า “ข้าใจอ่อนเกินไปหรือไม่” เรื่องการเป็นสายลับนั้น เยี่ยหลีใช่ว่าไม่คุ้นเคย ย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่สายลับต้องเผชิญนั้นมีอันใดบ้าง ด้วยฐานะของเหยาจี หากกลับเมืองหลวงไป ทางที่ดีที่สุดก็คือการหาทางกลับเข้าไปอยู่ข้างกายมู่หยางให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อไปหากเรื่องของเหยาจีแดงขึ้น ไม่ถูกมู่หยางฆ่าตาย ก็คือรอให้สุดท้ายแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างหาโอกาสลอบสังหารกันเอง ไม่ว่าอย่างไร เหยาจีและมู่หยางต่างก็ต้องยืนอยู่ในจุดยืนของตนเอง สำหรับคู่บุรุษสตรีที่มีบุตรด้วยกันหนึ่งคนทั้งยังเคยรักใคร่กัน คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดจนเกินไป เช่นเดียวกันก็เป็นเรื่องที่บีบหัวใจเหยาจีเกินไปเช่นกัน

 

 

“อาหลีของข้าเดิมทีก็เป็นสตรีที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเบาๆ ในขณะที่เยี่ยหลีไม่ทันสังเกตนั้น อีกฝ่ายลอบยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย โหดร้ายกับมู่หยางหรือ? เขากลับไม่คิดเช่นนั้น เขาจำได้เพียงว่า ยามที่อาหลีตกหน้าผาไป และไม่รู้จะเป็นหรือตายนั้น ตาเฒ่ามู่หยางโหวก็มีส่วนในเรื่องนี้ด้วย ยามนั้นที่เขาปล่อยตัวมู่หยางกลับไป มิใช่เพื่อให้มู่หยางโหวเสพสุขกับความสุขในโลกมนุษย์หรอกนะ ถึงแม้อาหารหลักจะยังไม่มา ก็เริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องเหยาจี? นั่นเป็นสิ่งที่นางร้องขอเอง อีกอย่างตำหนักติ้งอ๋องช่วยชีวิตนางไว้ นางไม่สมควรจะตอบแทนสักเล็กน้อยหรือ