บทที่ 466

บทที่ 466

ถังหยินกลอกตามองมูฉิงแล้วถาม “เจ้ามีเงินหรือไม่ ?”

มูฉิงกะพริบตาปริบ ๆ เช่นเดียวกับพวกแม่ทัพคนอื่นและเฮอเปิงที่ต่างก็ไม่เข้าใจว่าถังหยินต้องการอะไร

“ข้าถามว่าเจ้ามีเงินหรือไม่ ?!”

ครั้งนี้มูฉิงเข้าใจแล้ว เขารีบหยิบแท่งเงินออกมาให้ชายหนุ่ม “ขออภัยขอรับนายท่าน”

“ในเมื่อเจ้ามีเงินแล้วจะกลัวอะไรกัน ?” ถังหยินมองไปที่ประตูร้าน

มูฉิงพยักหน้าให้กับพวกแม่ทัพด้านหลัง จากนั้นก็มีชายร่างสูงใหญ่เดินไปที่หน้าร้าน ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วเคาะประตู

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

แม้ว่าจะเป็นการออกหมัดที่ดูรุนแรง แต่ประตูก็ไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งเสียงของมันก็ดังมากจนทำให้ฝุ่นสั่นไหว และหลังจากที่เคาะไปแล้ว มันก็ไม่มีเสียงตอบกลับแต่อย่างใด เขาจึงหันมามองทั้งสองคน

ถังหยินกำลังถอดใจและจะเดินกลับ ทว่ามูฉิงกลับถาม “เจ้าหยุดทำไม ? เคาะต่อไปสิ”

ได้ยินแบบนั้นชายร่างใหญ่จึงเริ่มเคาะประตูอีกครั้ง

ก่อนที่ประตูจะพังลงมา ก็ได้มีบางคนพูดขึ้นจากข้างใน “ข้ามาแล้ว ข้ามาแล้ว หยุดเคาะสักที !”

บานประตูเปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ปรากฏตัวออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทว่าเมื่อเปิดออกมาและได้เห็นทหารเฟิงที่ยืนอยู่ข้างนอกพร้อมกับคบเพลิงที่วางเรียงราย เขาก็พลันหวาดกลัวจนแทบจะล้มลงไปทันที “นี่มัน ? ท่านแม่ทัพ ?”

ชายร่างใหญ่ปัดตัวอีกฝ่ายให้หลีกทาง จากนั้นจึงเดินเข้าไปข้างใน และด้วยร้านปิด มันจึงไม่มีใครอยู่ทั้งนั้น “ทำไมเจ้าไม่เปิดให้เร็วกว่านี้ หูหนวกหรือไง ?”

ชายคนนั้นส่ายหัว “ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้ยินอันใดขอรับ ต้องขอโทษจริง ๆ ขอรับ”

ชายร่างใหญ่สะบัดสายตาแล้วเดินออกมาตรงหน้าถังหยินกับมูฉิง “นายท่าน ข้างในไม่มีอะไร”

ถังหยินส่ายหัว เขาหันไปยิ้มให้มูฉิงก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน ก่อนที่จะบอกให้มูฉิงมอบแท่งเงินให้กับชายบริกรคนนั้น

“เอาอะไรก็ได้ออกมาให้พวกเราเท่าที่แท่งเงินแท่งนี้จะจ่ายได้” มูฉิงบอกกับอีกฝ่าย ทำให้ชายบริกรมีสีหน้าอึดอัด

“ข้าต้องขอโทษท่านด้วย แต่ว่าร้านของเขาปิดแล้ว เจ้าของร้านเองก็หลับแล้ว ดังนั้นท่านคงจะกินอะไรไม่ได้”

ถังหยินไม่ได้พูดอะไร เขาเดินไปเปิดหน้าต่าง

ส่วนมูฉิงและแม่ทัพคนอื่นก็พากันเดินมาตบโต๊ะ ! “ก็ไปเรียกพวกเขามาสิวะ !”

เมื่อเห็นพวกแม่ทัพกำลังชักดาบออกมา บริกรหนุ่มก็พลันรีบวิ่งหายไปทันที

ไม่นานนักก็มีคนอีกสองคนเดินออกมาพร้อมกับหนุ่มคนนั้น หนึ่งในนั้นเป็นชายวัย 40 ร่างกายอ้วนท้วมและอีกคนเป็นหนุ่มอายุ 20

เมื่อเห็นแม่ทัพมากมายในร้านของเขา ชายวัยกลางคนพลันยิ้มออกมาทันที “ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านจะมาในวันนี้ ดังนั้นอย่าถือโทษโกรธข้าเลยขอรับ”

มูฉิงมองเขา “เจ้าคือ ?”

“ข้าคือเจ้าของร้านนี้”

มูฉิงพยักหน้าให้แล้วมองอีกคน

“เขาคือผู้ช่วยของข้า”

ร้านอาหารนี้เล็กมาก มีเพียงแค่ชั้นเดียวกับโต๊ะประมาณ 7 โต๊ะ มูฉิงมองถังหยินแล้วหันไปบอกกกับเจ้าของร้าน “เอาอะไรมาก็ได้ให้เท่ากับราคาของแท่งเงินแท่งนี้”

“ได้เลยนายท่าน โปรดรอสักครู่” เจ้าของร้านตอบแล้วรีบกลับเข้าไปในครัว

ในเวลานี้พวกบริกรต่างก็เอาเก้าอี้ลงมาแล้วเอาชามกับตะเกียบมาให้

ถังหยินกลับมานั่งที่โต๊ะกับมูฉิง ก่อนที่มูฉิงจะเอาแผนที่มากางบนโต๊ะแล้วถาม “นายท่าน พวกเราค้นที่นี่จนทั่วแล้ว ทว่าเรายังไม่พบอะไรอื่นเลย”

ถังหยินนั่งฟังจนจบแล้วหยิบแผนที่ขึ้นมา “ถ้าว่ากันตาม …ด้วยความเร็วขนาดนี้ น่าจะต้องใช้เวลา 3 วันถึงจะค้นได้ทั่วเมือง”

มูฉิงถอนหายใจ “นายท่าน พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก มันไม่ง่ายที่จะหาซ่งเทียนในเมืองนี้เลย เราอาจจะพลาดอะไรบางอย่างไปก็ได้”

ถังหยินเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “เจ้าพูดถูก”

มูฉิงรู้สึกโล่งอกที่เจ้านายของเขาเริ่มมีเหตุผลขึ้นมาบ้างจากตอนแรกที่ไม่มีเลย “วางใจเถิดนายท่าน ถ้ามันปรากฏตัวออกมาเมื่อไหร่ ข้าจะจับมันมาให้นายท่านลงโทษเอง !!”

ชายผู้ช่วยกุ๊กหยิบถาดที่มีน้ำชามากมายเอามาวางด้วยมือที่สั่นเทาจนทำให้มันหกลงบนโต๊ะ

เขารีบหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดทันที

ทั้งสองมองชายคนนั้นแล้วปล่อยผ่านไป ผิดกับเฮอเปิงที่อยู่ข้าง ๆ ที่ไม่คิดจะปล่อยไป

เฮอเปิงจ้องอีกฝ่ายจนกระทั่งคนผู้นั้นกลับเข้าไปในห้องครัว หากแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นทว่าเฮอเปิงก็ยังคงไม่ละสายตา และเมื่อเห็นแบบนั้น ชายหนุ่มกับมูฉิงก็พลันรู้สึกผิดปกติจนต้องถามออกมา “เจ้ามองอะไรกัน ?”

เฮอเปิงที่ได้สติก็รีบตอบ “ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็แค่…”

ถังหยินหัวเราะ “แค่อะไรล่ะ ? ถ้ามีอะไรก็พูดมาเถอะ”

เฮอเปิงรวบรวมคำพูดแล้วกล่าว “ร้านนี้ทำให้ข้าคุ้นเคยมาก แถมเด็กหนุ่มคนนั้นก็คุ้นตา แต่ข้านึกไม่ออกว่าคล้ายกับใคร”

ถังหยินยิ้มให้ “มีคนมากมายบนโลกนี้ เจ้าอาจจะคิดไปเองก็ได้”

เฮอเปิงเข้าใจดี แต่ก็เลิกคิดไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยคนรู้จักของเขาไม่น่าจะมีใครอยู่ในเมืองนี้แน่ ๆ

ถังหยินเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว และเขาเองก็ไม่อาจจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้เหมือนกัน

ถังหยินบอกกับทุกคนในร้าน “ใช้เนตรทิพย์ซะ”

ทุกคนตะลึงก่อนที่จะทำตาม พวกเขามองเข้าไปในครัวด้วยวิชาเนตรทิพย์ หลังจากมองเสร็จ พวกเขาก็หันมาส่ายหัวให้กับถังหยินเป็นนัยว่าไม่มีใครที่มีพลังยุทธ์เลย

ถังหยินกะพริบตาแล้วบอกกับเฮอเปิง “เจ้าคิดมากไปแล้ว กินกันก่อนเถอะ เราจะต้องค้นหาตัวมันให้ได้”

เฮอเปิงพยักหน้าให้แล้วหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

หลังจากนั้นไม่นาน ชาที่นำมาเสิร์ฟก็หมดลง มูฉิงจึงหันไปตะโกน “ชาหมดแล้ว เอามาเพิ่มหน่อย”

“ได้เลยท่านแม่ทัพ” สองบริกรเดินเข้าไปในห้องครัวแล้วหยิบเอาหม้อน้ำชามาอีก 4 กา

ถังหยินใช้โอกาสนี้สังเกตพวกเด็กบริกรทั้งหลาย ก่อนที่เขาจะมองเห็นอะไรบางอย่างบนฝ่ามือของเด็กบริกรคนหนึ่ง ที่มันเกิดจากการที่ทำงานหนักจนมือเริ่มมีตุ่มขึ้นมา ทว่าผู้ช่วยคนนั้นกลับไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงการเป็นคนทำงานหนักเลย ผิวของอีกฝ่ายดูดีเหมือนกับไม่เคยเจอความลำบากใดเลย

ถังหยินเลิกคิ้วแล้วหยิบชาขึ้นมาจิบ ก่อนที่จะสะบัดมือให้น้ำชายภายในถ้วยกระเด็นไปทางชายร่างสูงคนนั้น !!!